Skip to main content
sharethis

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงาน ศาลทหารยกฟ้องคดี 'เสาวณี แม่ครัวลำพูน' ครอบครองอาวุธ รวมทั้ง สัญลักษณ์เสื้อหรือป้ายเกี่ยวกับ 'คนเสื้อแดง' หลังสู้คดีตั้งแต่ถูกจับกุมหลังรัฐประหารไม่กี่วัน จนถูกสั่งฟ้องศาลทหาร และวันพิพากษา 4 ปี 3 เดือน แถมถูกขังฟรีหลายเดือนก่อนได้ประกันตัว

ภาพใหญ่ เสาวณี อินต๊ะหล่อ อายุ 53 ปี อดีตแม่ครัวร้านอาหารในจังหวัดลำพูน (ที่มาภาพ เว็บไซต์ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ) ภาพเล็ก ภาพขณะเจ้าหน้าที่รัฐเข้าตรวจค้นสวนลำไยเมื่อวันที่ 26 พ.ค.57 (ที่มาภาพ ผู้จัดการออนไลน์)

24 ส.ค. 2561 ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า วันนี้ เวลา 8.30 น. ศาลมณฑลทหารบกที่ 33 จังหวัดเชียงใหม่ นัดอ่านคำพิพากษาในคดีของ เสาวณี อินต๊ะหล่อ อายุ 53 ปี อดีตแม่ครัวร้านอาหารในจังหวัดลำพูน ซึ่งถูกกล่าวหาในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ.2490 โดยร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครอง, ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ และร่วมกันมีใช้ซึ่งเครื่องวิทยุคมนาคมโดยไม่ได้รับใบอนุญาต

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานว่า เวลาประมาณ 10.45 น. ศาลทหารได้ขึ้นบัลลังก์ และอ่านคำพิพากษาในคดีโดยสรุป โดยพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย โดยศาลพิเคราะห์ว่าพยานฝ่ายโจทก์ คือ ร.อ.ณัฐ วาณิชบำรุง หัวหน้าชุดรักษาความสงบเรียบร้อยในจังหวัดลำพูน และส.อ.อาทิตย์ บัวศรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ทหารชุดจับกุม เบิกความเรื่องการตรวจพบอาวุธของกลาง แต่กลับตอบทนายจำเลยขัดกัน โดยร.อ.ณัฐเบิกความว่ามีการพบเสื้อเกราะภายในรถยนต์ที่จอดในบริเวณสวนลำไย ส่วน ส.อ.อาทิตย์เบิก ความว่าพบที่เพิงจอดรถใกล้บ้านพักในสวน ขณะที่เอกสารบันทึกการตรวจยึดที่พนักงานสอบสวนจัดทำ ระบุว่าพบในเพิงจอดรถ ทำให้พยานหลักฐานของโจทก์มีความขัดกัน และมีพิรุธชวนสงสัย ทั้งโจทก์ก็ไม่ได้นำสืบให้เห็นว่ารถคันดังกล่าวเป็นของใคร เกี่ยวข้องกับจำเลยอย่างไร

ขณะที่อาวุธปืนยาว 3 กระบอก และกระสุนปืนที่พบบริเวณโต๊ะหน้าบ้านพัก แม้พยานหลักฐานโจทก์จะตรงกันถึงการตรวจพบของกลาง และพบตัวจำเลยอยู่ในบ้านพัก แต่ก็มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเจ้าของของกลางดังกล่าวหรือไม่ โดยจำเลยเองเบิกความว่าตนมีความสัมพันธ์กับนายสมพงษ์ ผู้ดูแลสวนและเป็นผู้ต้องหาที่หลบหนีไป แต่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน และไม่ได้อยู่อาศัยที่สวนดังกล่าวแต่อย่างใด เพียงแต่เข้ามาช่วยงานบางวันหลังเลิกงานที่ร้านอาหาร ประกอบกับนายไพรัชที่เป็นพยานโจทก์ซึ่งเบิกความว่ารู้จักกับนายสมพงษ์มา 2-3 เดือนก่อนเกิดเหตุ ก็เบิกความว่าไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน และเจ้าของที่ดินที่เกิดเหตุที่เป็นพยานโจทก์ก็เบิกความว่าไม่เคยพบจำเลยที่สวน และไม่เคยรู้จักกับจำเลยมาก่อน

ทั้งพยานจำเลยสองราย ได้แก่ กำนันในหมู่บ้านที่จำเลยอาศัยอยู่ และเพื่อนบ้านของจำเลยที่อำเภอสันป่าตอง จังหวัดเชียงใหม่ ก็เบิกความตรงกันว่าจำเลยเคยมีบุตร 3 คน กับสามีเดิมมาก่อน โดยไม่เคยเห็นจำเลยมีสามีใหม่ และจำเลยเคยไปมาหาสู่กับนายสมพงษ์เป็นครั้งคราว แต่ไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน คดีจึงยังมีเหตุสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำความผิดตามฟ้องของโจทก์จริงหรือไม่ ศาลจึงพิพากษาให้ยกฟ้องจำเลย ส่วนของกลางทั้งอาวุธปืนและเครื่องกระสุน ถือเป็นทรัพย์สินที่เป็นความผิด จึงให้ริบของกลาง

ทั้งนี้ คำพิพากษาคดีนี้ถือเป็นที่สุดในศาลเดียว เนื่องจากเหตุเกิดขึ้นในช่วงของการประกาศใช้กฎอัยการศึก คู่ความทั้งสองฝ่ายไม่สามารถอุทธรณ์และฎีกาได้ เมื่อรวมระยะเวลาตั้งแต่ที่ เสาวณีถูกจับกุม ถูกสั่งฟ้องศาลทหาร จนถึงวันพิพากษา รวมระยะเวลาต่อสู้คดีทั้งสิ้น 4 ปี 3 เดือน โดยที่หลังถูกจับกุม เสาวณี ถูกฝากขังจนถึง 9 ธ.ค.57 กว่าจะได้สิทธิประกันตัวเนื่องจากก่อนหน้านั้น ทนายความ เสาวณี ยื่นขอประกันตัวหลาย 4 ครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต

สำหรับคดีนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ให้ข้อมูลด้วยว่า ก่อนหน้านี้ศาลทหารนัดอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 22 มิ.ย. ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากศาลยังจัดทำคำพิพากษาไม่แล้วเสร็จ จึงให้เลื่อนมาอ่านคำพิพากษาในวันนี้แทน โดยจำเลยและทนายความของจำเลยเดินทางมาศาล

เหตุในคดีนี้เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 26 พ.ค.57 จากกรณีที่เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจได้สนธิกำลังเข้าตรวจค้นภายในสวนลำไยแห่งหนึ่ง บริเวณตำบลเหมืองจี้ อำเภอเมือง จังหวัดลำพูน โดยเจ้าหน้าที่กล่าวอ้างว่ามีการสืบทราบว่าบริเวณสวนลำไยดังกล่าว มีการฝึกการใช้อาวุธของกลุ่มการ์ดผู้ชุมนุมทางการเมือง และได้พบชายฉกรรจ์ 5 คน ซึ่งเมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ทหารเข้าไป ทั้งหมดต่างพากันวิ่งหลบหนี ก่อนที่เจ้าหน้าที่ทหารจะสามารถควบคุมตัวนางเสาวณีเอาไว้ได้ รวมทั้งมีการตรวจค้นบริเวณสวน พบอาวุธปืนยาวแบบไทยประดิษฐ์ เครื่องกระสุนจำนวนหนึ่ง เสื้อเกราะกันกระสุน วิทยุสื่อสาร และสัญลักษณ์เสื้อหรือป้ายเกี่ยวกับคนเสื้อแดงอีกจำนวนหนึ่ง จึงมีการดำเนินคดีกับเสาวณี ที่เจ้าหน้าที่พบตัวในสวนลำไยดังกล่าว

คดีนี้ อัยการทหารมีคำสั่งฟ้องคดีต่อศาลทหาร เมื่อวันที่ 15 ก.ย.57 โดยจำเลยไม่ได้รับการประกันตัวภายหลังสั่งฟ้อง จนกระทั่งการยื่นประกันตัวครั้งที่ 5 ศาลทหารจึงอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวด้วยหลักทรัพย์ 5 แสนบาท ทำให้เธอถูกคุมขังในเรือนจำเป็นเวลาประมาณ 3 เดือน หลังจากนั้น เสาวณีมีนัดต้องไปศาลทหารทุกๆ 2-3 เดือนต่อครั้ง มาเป็นเวลา 3 ปีเศษ โดยคดีนี้มีการสืบพยานโจทก์ไปทั้งสิ้น 7 ปาก และพยานจำเลย 3 ปาก ก่อนศาลจะนัดฟังคำพิพากษา

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net