Skip to main content
sharethis

ตม.ปัตตานี ส่งหนังสือแจงประชาไท กรณีบุกจับแรงงานพม่าอาสาสอนเด็ก ระบุดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ และปฏิบัติหน้าที่ตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ ผู้ต้องหาทั้งสามคนยินยอมออกนอกประเทศโดยสมัครใจ

จากกรณีที่ประชาไทนำเสนอข่าว ตม.ปัตตานีบุกจับแรงงานพม่าอาสาสอนหนังสือเด็ก อ้างทำงานนอก กม. ชี้กินข้าววัดเท่ากับรับค่าจ้าง

หนังสือชี้แจงจาก สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี

ล่าสุด ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานีได้ทำหนังสือหมายเลข ตช 0029.73(9)/1438 ลงวันที่ 24 สิงหาคม 2561 มายังประชาไทเพื่อชี้แจงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้

เรื่อง ขอชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม

เรียน บรรณาธิการข่าวสื่อออนไลน์ประชาไท

ตามที่ท่านได้นำเสนอข่าว กรณีเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี ได้ทำการจับกุมแรงงานต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ขณะทำงานสอนหนังสือเด็กนักเรียนต่างด้าวสัญชาติเมียนมา ภายในสำนักสงฆ์แหลมนก ตำบลบานา อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ซึ่งมีหนังสือเดินทาง วีซ่า และใบอนุญาตทำงานถูกต้ออง และทำงานในลักษณะเป็นจิตอาสา โดยได้ลงในสื่อออนไลน์เว็บไซต์ PRACHATAI.COM เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2561 เวลา 14.51 นาฬิกานั้น

ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี จึงเรียนมายังท่านเพื่อชี้แจงขั้นตอนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานีและเจ้าหน้าที่ชุดจับกุม เนื่องจากกรณีดังกล่าวเป็นการบูรณาการร่วมกันจับกุมหลายหน่วยงาน ประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ทหารกองอำนวยการรักษาคามมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) จังหวัดปัตตานี, ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี, จัดหางานจังหวัดปัตตานี, ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดปัตตานี และกองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 444 ซึ่งชุดจับกุมมีพยานหลักฐานครบถ้วน โดยได้ดำเนินการไปตามอำนาจหน้าที่ ปฏิบัติหน้าที่เป็นไปตามขั้นตอนของระเบียบและกฎหมาย โดยยึดหลักสิทธิมนุษยชนเป็นสำคัญ โดยได้แจ้งข้อกล่าวหา สิทธิของผู้ต้องหาตามกฎหมาย ผ่านล่ามแปล ซึ่งผู้ถูกจับกุมได้รับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาและยินยอมลงลายมือชื่อในบันทึกจับกุมโดยสมัครใจ จากนั้นได้นำตัวคนต่างด้าวนำส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ซึ่งหลักจากพนักงานสอบสวนได้ดำเนินการเปรียบเทียบปรับคนต่างด้าวตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานีได้รับตัวคนต่างด้าวและนำส่งไปยังตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนอง เพื่อดำเนินการส่งตัวกลับออกนอกราชอาณาจักร ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และคนต่างด้าวยินยอมเดินทางออกนอกราชอาณาจักรโดยสมัครใจ อนึ่งหากท่านประสงค์จะขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานียินดีให้ความร่วมมือ เพื่อการนำเสนอข่าวที่ถูกต้องและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณชนต่อไป จึงเรียนมาเพื่อโปรดพิจารณา โดยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความอนุเคราะห์จากท่านด้วยดีและขอขอบคุณเป็นอย่างสูงมา ณ โอกาสนี้

ลงชื่อ พันตำรวจโทธีร์รชสิษ เจี่ยงเพ็ชร สารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี

เอ็นจีโอสิทธิฯ แรงงานข้ามชาติ ชี้ปัญหาความจริงที่ยังไม่ได้ถูกค้นหาโดยกระบวนการยุติธรรม

โดยเมื่อวันที่ 23 ส.ค.ที่ผ่านมา เครือข่ายประชากรข้ามชาติและมูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.) ออกแถลงการณ์ระบุว่า เจ้าหน้าที่กล่าวหาว่า แรงงานข้ามชาติทั้งสอง ทำงานนอกเหนือจากที่กฎหมายอนุญาต และดำเนินการเปรียบเทียบปรับขณะที่แรงงานทั้งสองถูกสั่งให้ลงนามในเอกสารภาษาไทยที่ตนไม่สามารถอ่านได้ และจะมีการดำเนินการผลักดันทั้ง 2 คน กลับไปยังประเทศต้นทางตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 และยังได้ออกคำสั่งห้ามเข้ามาทำงานในประเทศไทยอีกเป็นเวลา 2 ปี นอกจากนี้ ยังมีชาวเมียนมาที่ถือวีซ่านักท่องเที่ยวและขอเข้าเยี่ยมชมการเรียนการสอนที่วัดถูกจับปรับในข้อหาเดียวกัน

แถลงการณ์ทั้ง 2 องค์กร ระบุอีกว่า จุดเริ่มต้นของการใช้กลไกทางกระบวนการยุติธรรม เพื่อการคุ้มครองสิทธิ ในครั้งนี้ สืบเนื่องจาก การดำเนินการของพนักงานเจ้าหน้าที่นั้นขาดการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงการทำงานของหญิงชาวเมียนมาทั้ง 2 คน  รวมถึงการละเลยข้อเท็จจริงที่ว่า การสอนหนังสือให้เด็กๆ ในชุมชน มิได้เป็นการดำเนินการอย่างเป็นทางการ การเข้ามาให้ความรู้ด้านการศึกษาและวัฒนธรรมแก่เด็กๆ ในชุมชน เป็นการทำโดยจิตอาสา มิได้รับค่าตอบแทนหรือค่าจ้างแต่อย่างใด ดังนั้น การยื่นคำร้องตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงเป็นกระบวนการขอให้ศาลไต่สวนเพื่อแสวงหาความจริงว่าการควบคุมตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งนั้น เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ แต่การแสวงหาข้อเท็จจริงประเด็นนี้กลับยุติลงด้วย “การส่งตัวหญิงชาวเมียนมาทั้ง 2 คนออกไปนอกราชอาณาจักรแล้ว” ซึ่งการ “ปล่อยตัว” ในลักษณะนี้ ย่อมไม่ใช่การคืนเสรีภาพให้แก่ผู้ร้องตามเจตนารมณ์ของมาตรา 90

สำหรับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 90 ระบุว่า เมื่อมีการอ้างว่าบุคคลใดถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย บุคคลเหล่านี้มีสิทธิยื่นคำร้องต่อศาลท้องที่ที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญาขอให้ปล่อย คือ ผู้คุมขังเอง พนักงานอัยการ พนักงานสอบสวนผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดี สามี ภริยา หรือญาติของผู้นั้นหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง และเมื่อได้รับคำร้องแล้วให้ศาลไต่สวนฝ่ายเดียวโดยด่วน ถ้าศาลเห็นว่า คำร้องนั้นมีมูลศาลมีอำนาจสั่งผู้คุมขังให้นำตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลโดยพลันและถ้าผู้คุมขังแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลไม่ได้ว่าการคุมขังเป็นการชอบด้วยกฎหมาย ให้ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไปทันที

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 23 ส.ค. ที่ผ่านมาศาลจังหวัดปัตตานี ได้นัดไต่สวนคำร้องกรณีที่มีการจับกุมและควบคุมตัวแรงงานข้ามชาติหญิงชาวเมียนมา 2 คน โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลได้ออกหมายเรียกสารวัตรตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานี ผู้เกี่ยวข้องกับการคุมขังแรงงานมาให้การในชั้นไต่สวน ซึ่งผู้คุมได้แถลงต่อศาลได้นำตัวผู้ถูกคุมขังทั้งสองไปยังตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดระนองแล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ส.ค.2561 เวลาประมาณ 18.00 น. เพื่อดำเนินการส่งออกไปนอกราชอาณาจักรตามระเบียบต่อไปแล้ว ดังนั้น ขณะนี้ผู้ถูกคุมขังทั้งสองไม่ได้ถูกคุมขังอยู่ที่ตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดปัตตานีแต่อย่างใด ดังนั้น ศาลจึงมีความเห็นว่า ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไต่สวนคำร้องต่อไป จึงมีคำสั่งยกคำร้อง

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net