จาตุรนต์ ฉายแสง: คสช.กลัวอะไรนักหนา จึงไม่ยอมปลดล็อค

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

เห็นคำสั่งคลายล็อคที่กลายเป็นล็อคแน่นเข้าไปอีก โดยเฉพาะเรื่องห้ามหาเสียง แล้วก็รู้สึกว่าเป็นตลกร้าย จะขำก็ขำไม่ออก เพราะคำสั่งนี้กำลังทำลายการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นให้กลายเป็นอะไรก็ไม่รู้ แต่ที่รู้แน่ๆคือกำลังเป็นการเลือกตั้งที่ผู้มีอำนาจต้องการให้ประชาชนไดรับรู้ข้อมูลน้อยที่สุด มีส่วนร่วมน้อยที่สุดคือสักแต่ว่าให้ไปหย่อนบัตรโดยไม่ต้องรู้อะไรเลย

ที่พิลึกกึกกือที่สุดคือห้ามพรรคการเมืองใช้โซเชียลมีเดียหาเสียง ซึ่งก็ไม่รู้คำว่า”หาเสียง”ว่าแปลว่าอะไร การหาเสียงตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งนั้นจะหมายถึงการไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้คนเลือกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งหรือเลือกนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการสมัครรับเลือกตั้งแล้ว เป็นช่วงรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งซึ่งจะมีระเบียบว่าในการหาเสียง ห้ามทำอะไรบ้างเช่นซื้อเสียง จัดมหรสพ สัญญาว่าจะให้เป็นต้น แต่ไม่ใช่ห้ามพูดนโยบายหาเสียง เว้นโจมตีใส่ร้ายคู่แข่งด้วยความเท็จก็ต้องถูกดำเนินคดีไป

เวลานี้ยังไม่มีการประกาศวันเลือกตั้งและวันรับสมัครเลือกตั้ง จึงยังไม่มีการหาเสียงเลือกตั้งที่กกต.จะต้องออกระเบียบอะไร  ใครจะไปให้ทานแจกเงินใคร จัดมหรสพให้ใครดูก็ไม่ผิดกฎหมาย ส่วนการพูดถึงนโยบายหรือพูดหาเสียงยิ่งไม่ผิดกฎหมาย ทำได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้คำว่า “หาเสียง” ยังมีอีกความหมายหนึ่งคือพูดให้คนชอบหรือเกิดความนิยมในตัวผู้พูดหรือองค์กรของผู้พูด เช่นการที่พล.อ. ประยุทธ์ก็พูดอยู่ทุกวัน เพียงแต่ไม่แน่ว่าจะทำให้คนชอบหรือไม่เท่านั้น หรือการที่นักการเมืองอาจจะพูดถึงผลงานของตนเองในการดึงงบประมาณเข้าจังหวัดตัวเองได้มาก การหาเสียงเหล่านี้ย่อมไม่ผิดกฎหมาย แต่คำสั่งคลายล็อคนี้กลับทำให้การโฆษณาประชาสัมพันธ์ถึงนโยบายของพรรคการเมือง การพูดถึงบุคลากรหรือสิ่งที่พรรคทำอยู่การเป็นเรื่องต้องห้าม

ไม่ทราบเหมือนกันว่าออกคำสั่งอย่างนี้กันมาได้อย่างไร

ผมมีประสบการณ์กับการหาเสียงมาตั้งแต่ตอนเป็นเด็กช่วยพ่อหาเสียง ด้วยการปิดป้ายเล็กๆตามเสาไฟฟ้าบ้างและการเอาใบปลิวไปให้เพื่อนช่วยไปแจกต่อๆกันบ้าง สมัยนั้นก็ได้ยินเรื่องเล่าว่าสมัยก่อนๆมีผู้สมัครจัดฉายหนังในหมู่บ้าน ผู้สมัครอีกคนมีเงินน้อยกว่าก็เอาไต้ไปยืนแจกตอนชาวบ้านที่มาดูหนังจะกลับบ้าน แย่งคะแนนกับคนจัดฉายหนัง ในยุคต่อมามีการหาเสียงด้วยการแจกปลาทูบ้าง สังกะสีบ้าง จนกระทั่งแจกเงินซื้อเสียงกันเป็นระบบก็มี

ผมเองเคยหาเสียงด้วยการปราศรัยเป็นจุดเล็กๆบ้าง ตามงานบวชบ้าง กว่าจะพูดกับคนให้ทั่วถึงได้ก็ต้องเหนื่อยและใช้เวลามาก พอมีการเชิญผู้สมัครไปออกรายการทีวี ก็ช่วยได้พอสมควร แต่ผู้ที่ได้รับเชิญก็มีจำนวนจำกัด ส่วนการจัดปราศรัยที่กกต.หรือจังหวัดจัด ส่วนใหญ่มีคนไปฟังน้อยมาก คือก็มักเป็นผู้ช่วยหาเสียงของผู้สมัครไปฟังกันเอง ไม่เกิดประโยชน์อะไร

ย้อนหลังไป 30-40 ปีก่อนหรือแม้แต่ 20 ปีก่อน การหาเสียงด้วยการพูดเรื่องนโยบายมีคนสนใจน้อย เพราะรัฐบาลมักเป็นรัฐบาลผสมหลายพรรค บางช่วงก็มีคนนอกหรือคนกลางมาเป็นนายกรัฐมนตรี  รัฐบาลมักใช้นโยบายที่ทางราชการเขียนให้ นักการเมืองที่ไปหาเสียงด้วยนโยบายไว้ พอเข้าสภามาก็ทำไม่ได้ ต้องกลับไปขอโทษหรือแก้ตัวกับประชาชนว่าเป็นพรรคเล็ก เสียงไม่พอ บ่อยๆเข้าคนก็สรุปว่าเลือกพรรคไหนก็ไม่สามารถทำตามนโยบายได้ทั้งนั้น ก็เลยหันไปเลือกด้วยเหตุผลอื่นๆเสียมากกว่าเรื่องนโยบาย

เพิ่งประมาณ 17-18 ปีมานี้ ที่พฤติกรรมการตัดสินใจลงคะแนนในการเลือกตั้งเปลี่ยนไปมากคือประชาชนให้ความสนใจต่อนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มีงานวิจัยพบว่าแม้การซื้อเสียงยังมีอยู่ แต่ในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ การซื้อเสียงกลับได้ผลน้อยเพราะประชาชนต้องการได้นโยบายที่เป็นประโยชน์หรือได้คนที่ตนชอบเป็นนายกรัฐมนตรีเสียมากกว่า พรรคการเมืองจึงต้องแข่งขันกันทำนโยบายให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน กลายเป็นกระบวนการที่ประชาชนสามารถกำหนดว่าใครควรเป็นรัฐบาลและรัฐบาลควรมีนโยบายอย่างไร ผ่านการเลือกตั้งซึ่งเน้นที่พรรคการเมืองและนโยบายของพรรคการเมืองมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

ความจริงการเปลี่ยนแปลงนี้คือพัฒนาการทางการเมืองที่สำคัญของประเทศไทยที่ทำให้ประชาชนเป็นผู้กำหนดการบริหารประเทศได้มากขึ้นเช่นเดียวกับที่หลายๆประเทศที่เจริญก้าวหน้าเขาทำกันมานานแล้ว

แต่กระบวนการที่ว่านี้กลับเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจในขณะนี้ไม่เพียงไม่เชื่อถือ รังเกียจ ดูถูกดูแคลน แต่ยังหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งด้วย

เป็นเพราะความเกลียดกลัวการเลือกตั้งที่ทำให้ประชาชนกลายมาเป็นผู้กำหนดความเป็นไปของบ้านเมืองแทนผู้ที่มีอำนาจมาแต่เดิมนี่เอง ทีทำให้คสช.กับพวกจ้องหาทางทำลายการเลือกตั้งไม่ให้ทำหน้าที่อย่างที่ควรจะเป็น การเลือกตั้งครั้งต่อไปนี้จึงกำลังถูกทำให้พิกลพิการไปเสียหมด พรรคการเมืองถูกห้ามไม่ให้จัดทำนโยบายโดยการมีส่วนร่วมของประชาชน จะจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นกับผู้ประกอบอาชีพต่างๆก็ผิดฐานชุมนุมมั่วสุมเกินห้าคน จะไปประชุมรับฟังความเห็นเกี่ยวกับการทำกิจกรรมใดๆก็ไม่ได้ พอคาดการณ์ได้ไม่ยากว่าเมื่อมีการรับสมัครแล้ว การหาเสียงเลือกตั้งจะถูกจำกัดอย่างมากจากกฎระเบียบของกกต. ยิ่งพอคำสั่งคลายล็อคออกมา แม้ช่วงที่ยังไม่ประกาศให้มีการเลือกตั้ง พรรคการเมืองก็ไม่สามารถสื่อสารกับประชาชนเพราะถือว่าเป็นการหาเสียงที่ต้องห้าม

ส่วนวิธีการสื่อสารนั้น ในยุคปัจจุบัน โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางวิธีการที่สามารถช่วยให้การสื่อสารกับประชาชนเป็นไปได้สะดวกรวดเร็วและกว้างขวางมาก ค่าใช้จ่ายก็น้อยมากด้วย ล่าสุดมีการทำโพลล์พบว่าประชาชนเกือบ 70 % ต้องการให้พรรคการเมืองใช้โซเชียลมีเดียสื่อสารกับประชาชน แต่การสื่อสารวิธีนี้ก็กลับถูกห้ามตั้งแต่วันนี้และอาจจะห้ามเรื่อยไป ด้วยการห้ามใช้ในการหาเสียง ซ้ำยังให้อำนาจกกต.และคสช.ห้ามการโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่เป็นภัยต่อความสงบเรียบร้อยหรืออาจสั่งห้ามการประชาสัมพันธ์ใดๆตามใจชอบได้ด้วย

ที่ผ่านมาการวิพากษ์วิจารณ์คสช.หรือรัฐบาลทางโซเชียลมีเดียมักถูกคสช.แจ้งความกล่าวโทษให้ดำเนินคดีตามพรบ.คอมพิวเตอร์แบบเลือกปฏิบัติอยู่บ่อยๆ แม้การนั่งแถลงข่าววิจารณ์ผลงานคสช.ก็ถูกดำเนินคดีฐานชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองเกินห้าคนและฝ่าฝืนกฎหมายอาญามาตรา 116 คำสั่งคลายล็อคนี้จะยิ่งทำให้การวิพากษ์วิจารณ์คสช.และรัฐบาลทำได้ยากยิ่งขึ้น

การห้ามโน่นห้ามนี่ทั้งหลายเหล่านี้ อาศัยข้ออ้างตลอดกาลของคสช.คือเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยซึ่งไม่เป็นเหตุเป็นผลอะไรเลย แท้จริงแล้วสิ่งที่คสช.กับพวกต้องการก็คือทำให้พรรคการเมืองไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชน ไม่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการกำหนดการทำหน้าที่ของพรรคการเมือง ไม่ต้องการให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารว่าพรรคใดมีนโยบายอย่างไรและคสช.กับรัฐบาลทำความเสียหายแก่ประเทศชาติไว้อย่างไรบ้างและจะยิ่งเสียหายมากขึ้นอย่างไรหากปล่อยให้คสช.สืบทอดอำนาจต่อไปอีกหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น

ที่น่าเกลียดก็คือคำสั่งนี้นอกจากมัดมือมัดเท้า ปิดปากพรรคการเมืองและปิดหูปิดตาประชาชนแล้ว ยังเป็นการสร้างเกราะคุ้มกันให้แก่คสช.จากการวิพากษ์วิจารณ์ของนักการเมืองและประชาชน ทั้งๆที่ผู้นำคสช.เองก็กำลังจะเสนอตัวเข้าแข่งขันเป็นนายกรัฐมนตรีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งด้วย

ที่น่าเศร้าก็คือสุดท้ายแล้วการเลือกตั้งที่กำลังจะมีขึ้นเป็นเพียงสิ่งที่คสช.กับพวกจำยอมต้องให้เกิดขึ้นเพื่อไม่ให้อับอายขายหน้าชาวโลกนานเกินไป แต่เมื่อใจจริงไม่อยากให้มีและยังหวาดกลัวว่าประชาชนจะไม่เออออห่อหมกด้วย ก็เลยทำเสียจนกระทั่งการเลือกตั้งนี้ต้องพิกลพิการไป ไม่มีความหมายอย่างที่ควรจะเป็น

สิ่งที่คสช.กับพวกอาจจะมองผิดไปอย่างหนึ่งก็คือประชาชนไม่ได้โง่อย่างที่พวกเขาคิด ไม่เชื่อก็คอยดูกันต่อไป

 

คัแร

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท