บอร์ด 'นิวส์' ไฟเขียวขายหุ้น 'สปริงนิวส์' ให้ 'ทีวีไดเร็ค' 90.1% มูลค่า 949 ล้านบาท

บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS ไฟเขียวขายหุ้น 'สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น' ให้กลุ่ม 'ทีวีไดเร็ค' 90.1% มูลค่ารวม 949 ล้าน พร้อมอนุมัติลด-เพิ่มทุนจดทะเบียน ขายผู้ถือหุ้นเดิม และผู้ถือหุ้นใหม่แบบเฉพาะเจาะจง เผยเตรียมเรียกประชุมผู้ถือหุ้น 22 พ.ย. 2561 นี้ เพื่อพิจารณาอนุมัติ

22 ก.ย. 2561 เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ รายงานว่านายอารักษ์ ราษฎร์บริหาร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทเมื่อวันที่ 21 ก.ย.2561 มีมติให้จัดประชุมผู้ถือหุ้นเพื่อพิจารณาอนุมัติให้ บริษัท สปริงนิวส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ SPC ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท จำหน่ายหุ้นสามัญที่ SPC ถือในบริษัท สปริงนิวส์ เทเลวิชั่น จำกัด หรือ SPTV คิดเป็นสัดส่วน 90.1% ให้แก่ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD รวมมูลค่าอุปกรณ์และระบบออกอากาศในราคาหุ้นละประมาณ 10.54 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 949.22 ล้านบาท โดย TVD จะชำระเงินสดให้แก่ SPC เป็นรายเดือนจำนวน 7.655 ล้านบาท จนถึงวันสิ้นอายุใบอนุญาตกิจการ คือ วันที่ 24 เม.ย.2572

พร้อมทั้งให้บริการผลิตรายการข่าวสารและสาระ ตลอดอายุใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิทัลช่องรายการหมวดข่าวสารและสาระ สำหรับช่องสปริงนิวส์ ทีวีดิจิทัลช่อง 19 โดยคิดค่าบริหารเดือนละ 1.055 ล้านบาท และได้รับสิทธิในการขายโฆษราสัดส่วน 30% ของระยะเวลาที่สามารถโฆษณาได้สำหรับช่วงเวลารายการดังกล่าว

ทั้งนี้ SPC ยังคงสัดส่วนการถือหุ้น SPTV จำนวน 9.9% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้ทั้งหมด เนื่องจากภายหลังจากการซื้อขายหุ้น SPC ยังคงมีการบริหารผลิตรายการให้กับ SPTV โดยการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นใน SPTV ไม่ส่งผลกระทบต่อคุณสมบัติในการเป็นผู้ถือใบอนุญาจกิจการโทรทัศน์ ของ SPTV และเป็นการดำเนินการตามพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ.2553 และพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 โดยปัจจุบันใบอนุญาตกิจการโทรทัศน์คงเหลืออายุอีก 10 ปี 6 เดือน

สำหรับประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ คือ บริษัทสามารถปรับโครงสร้างธุรกิจให้มีความคล่องตัวมากขึ้น จากการดำเนินธุรกิจประกอบกิจการโทรทัศน์เป็นผู้ให้บริการเนื้อหา ซึ่งจะเพิ่มความคล่องตัวในการดำเนินธุรกิจประกอบกิจการโทรทัศน์ในการเป็นผู้บริการเนื้อหาและลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง

นอกจากนี้ การขายหุ้น SPTV จะทำให้บริษัทไม่มีบริษัทย่อยที่มีสถานะเป็นผู้ถือใบอนุญาตประกอบกิจการสถานีโทรทัศน์ ทำให้บริษัท สามารถเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้จากการขายโฆษณาด้วยการเช่าช่วงเวลาออกอากาศจากสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น และให้บริการผลิตรายการให้กับสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น โดยไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์กับบริษัทย่อย

ขณะเดียวกันบริษัทจะได้รับกระแสเงินสดเดือนละ 8.71 ล้านบาท อย่างต่อเนื่องตลอดอายุใบอนุญาต นำมาเป็นเงินหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่ม และยังสามารถรับรู้กำไรทางบัญชีจากการจำหน่ายเงินลงทุนในงบการเงินของบริษัท และจะมีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นต่อเนื่อง โดยบริษัทจะพิจารณาบันทึกโอนกลับขาดทุนการด้อยค่าใบอนุญาตกิจการโทรทัศน์ และกำไรจากการจำหน่ายเงินลงทุนแผนการใช้เงินที่ได้รับจากการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์  บริษัทคาดว่าจะสามารถทำรายการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 ธ.ค.2561  

การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุน ที่ ทจ.20/2551 เรื่องหลักเกณฑ์การทำรายการที่มีนัยสำคัญที่เข้าข่ายเป็นการได้มาหรือจำหน่ายไปซึ่งทรัพย์สิน โดยบริษัทมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลสารสนเทศที่กำหนด และแต่งตั้งที่ปรึกษาทางการเงินอิสระเพื่อให้ความเห็นต่อการทำรายการจำหน่ายไปซึ่งสินทรัพย์ และจัดให้มีการประชุมผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาอนุมัติการเข้าทำรายการ โดยต้องได้รับมติเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของจำนวนเสียงทั้งหมดของผู้ถือหุ้นที่มาประชุมและมีสิทธิออกเสียง

นอกจากนี้ ที่ประชุมยังมีมติอนุมัติให้นำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้น พิจารณาอนุมัติการลดทุนจดทะเบียนของบริษัทจำนวน 149,530 ล้านหุ้น จาก 281,961 ล้านบาท เป็น 132,430 ล้านบาท โดยตัดหุ้นสามัญที่ยังไม่ได้ออกจำหน่ายจำนวน 149,530 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 1 บาท ทั้งนี้หุ้นดังกล่าวเป็นหุ้นที่จัดสรรไว้เพื่อรองรับการเสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่ ตามที่ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2560 และรองรับการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ภายใต้ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญของบริษัทรุ่นที่ 5

นายอารักษ์ แจ้งด้วยว่า ที่ประชุมยังมีมติเสนอผู้ถือหุ้นพิจารณาอนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนจำนวน 67,887 ล้านบาท จาก 132,430 ล้านบาท เป็น 200,317 ล้านบาท โดยออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนใหม่ 67,887 ล้านบาท พาร์ 1 บาท เพื่อรองรับ การจัดสรรหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนจำนวนหุ้นที่ผู้ถือหุ้นแต่ละรายถืออยู่และจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่บุคคลในวงจำกัด 

สำหรับหุ้นเพิ่มทุนจำนวน 67,887 ล้านหุ้น พาร์ 1 บาท ที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิม จัดสรรให้ตามสัดส่วน 1 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุนใหม่ ราคาเสนอขายหุ้นละ 0.01 บาท และเนื่องจากบริษัทมีขาดทุนปรากฎในงบการเงิน งวดสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.2561 บริษัทจึงอาจกำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่ำกว่าราคาพาร์ โดยบริษัทจะต้องปฎิบัติตามมาตรา 52 แห่ง พระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด พ.ศ.2535 และได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น  โดยบริษัทได้กำหนดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 22 พ.ย.นี้ เวลา 14.00 น.

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท