Skip to main content
sharethis

“นัดเขามาเลยมาคุยกับฉันมีเรื่องต้องคุยกันมากมาย” บก.ลายจุด คอสเพลย์คนถังแตก ขอเคลียร์ประยุทธ์หน้าทำเนียบ ขอคืนบัญชีธนาคาร และคืนอำนาจให้ประชาชน ระบุคดีความไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. จบไปเป็นปีแล้ว แต่ทำไมยังอายัดบัญชีอยู่ เผยมีลูกต้องดูแล มีพรรคเกียนที่ต้องทำ

5 ต.ค. 2561 เวลา 10.00 น. สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด ผู้จดจัดตั้งพรรค ‘เกียน’ ได้เดินทางมาทำเนียบรัฐบาลประตู 5 เพื่อขอเคลียร์กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อพูดคุยเรื่องการอายัดบัญชีธนาคาร

โดยสมบัติ ให้สัมภาษณ์ว่า หลังจากมียึดอำนาจเกิดขึ้นเพียงวันเดียว ตนถูก คสช. เรียกให้ไปรายงานตัวทันที แต่ตนตัดสินใจว่าจะไม่ไป ต่อมา คสช. จึงมีการออกคำสั่งให้อายัดบัญชีผู้ที่ไม่ไปรายงานตัว ตนจึงถูกอายัดบัญชี และถูกจับตัวได้ในที่สุด สำหรับตอนนี้คดีความตัดสินจบในชั้นศาลฎีกา ศาลสั่งปรับ 3000 บาท เมื่อปีที่ผ่านมา แต่บัญชีธนาคารยังถูกอายัดอยู่

“เดือดร้อนสิ เพราะผมมีลูกที่ต้องดูแล และกำลังเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษา ในความเป็นจริงผมต้องสนับสนุนลูก แต่ตอนนี้ลูกสาวผมต้องไปทำงานหารายได้ดูแลตัวเอง โอเคมันเป็นเรื่องดีที่เด็กสามารถหารายได้เลี้ยงดูตัวเอง แต่ว่าในฐานะของพ่อ พ่อก็ควรมีสิทธิที่จะได้ดูแลลูกด้วย ผมเรียกร้องแค่ให้ปลดการอายัดบัญชีผมจะได้ทำหน้าที่ของพ่อ สองชีวิตผมจะได้เดินต่อได้ และสามผมจะต้องไปเปิดบัญชี ตอนนี้ผมทำพรรคเกียนอยู่ ถ้าไม่มีบัญชีผมทำอะไรไม่ได้เลย กฎหมายมันระบุว่าหัวหน้าพรรคต้องไปเปิดบัญชีธนาคาร ผมอยากจะคุยกับพลเอกประยุทธ์ เพื่อนัดเคลียร์ปัญหากัน”

สมบัติระบุต่อว่า หากพล.อ.ประยุทธ์ไม่มาพบ ตนก็ต้องหาวิธีการต่อไปว่าจะทำอย่างไร วันนี้มตนมาถึงที่ทำงานของ พล.อ.ประยุทธ์แล้ว แต่คิวงานของพล.อ.ประยุทธ์อาจจะไม่ได้เข้ามาทำเนียบ ตนก็ต้องดูต่อไปว่าจะนัดเคลียร์กันอีกครั้งที่ไหน เมื่อไหร่ และหากเรื่องนี้จบได้ ตนก็ไม่มีเรื่องอะไรที่อยากจะยุ่งเกี่ยวกับพล.อ.ประยุทธ์อีก

ต่อมาเวลา 10.45 น. สมบัติได้รับการเชิญเข้าไปพูดคุยที่ศูนย์ดำรงธรรม ที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน โดยเจ้าหน้าที่ประสานศูนย์ดำรงธรรมได้ถามถึงเอกสารร้องเรียน แต่สมบัติระบุว่า ไม่มีเอกสารอะไร เพราะคิดว่าเรื่องนี้แค่พูดคุยกันก็น่าจะเข้าใจ หากต้องการเอกสารมีให้เพียงแค่กระดาษลังที่ที่เขียนข้อความว่า “คืนบัญชี คืนอำนาจ ให้ประชาชน” เจ้าหน้าที่จึงขอเป็นบัตรประชาชนแทนเพื่อนำไปสืบค้นข้อมูลในระบบว่าการร้องเรียนในครั้งก่อนที่สมบัติเคยมายื่นเรื่องไว้เมื่อเดือน พ.ค. 2561 เรื่องไปถึงไหนแล้ว สมบัติ ระบุว่า วันนี้ลมเอากระเป๋าเงินมา จึงให้เจ้าหน้าที่นำชื่อตนไปสืบค้นแทน เจ้าหน้าที่ระบุว่า “มันทำยาก” สมบัติจึงให้เลขประจำตัวประชาชนไปแทน

เวลาผ่านไปประมาณ 30 นาที เจ้าหน้าที่กลับมาพบสมบัติอีกครั้ง พร้อมเอกสาร 1 ชุด พร้อมชี้แจ้งว่า สมบัติได้ยื่นเรื่องเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2561 ในวันที่ 23 พ.ค. ทางศูนย์ดำรงธรรมได้ส่งเรื่องต่อไปยังนายกรัฐมนตรี ต่อมานายกรัฐมนตรีได้ส่งเรื่องกลับมาที่สำนักนายกรัฐมนตรีให้นำเรื่องนี้เรียนไปยังเลขาธิการ คสช. และทางสำนักนายกรัฐมนตรีก็ได้นำเรื่องเรียนไปยังเลขาธิการ คสช. เรียบร้อยแล้ว

สมบัติ ระบุว่า แล้วจะให้ตนดำเนินการอย่างไรต่อ จะต้องไปพบ พลเอกอภิรัชต์ คงสมพงษ์ หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ระบุว่ากำลังประสานให้ผู้ที่เกี่ยวข้องมาพูดคุย อย่างไรก็ตามวันนี้ไม่สามารถติดใครได้จึงขอให้สมบัติเดินทางกลับไปก่อน หากเรื่องมีความคืบหน้าจะแจ้งให้ทราบอีกที ด้านสมบัติยอมเดินทางกลับ พร้อมบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า จะกลับไปคิดก่อนว่าจะทำอย่างไรต่อไป

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สาเหตุที่สมบัติ ถูกอายัดธนาคารบัญชีธนาคารเกิดจากการไม่ยอมไปรายงานตัวกับ คสช. ในช่วงหลังการรัฐประหารปี 2557 ซึ่งมีการออกคำสั่งเรียกผู้คนให้ไปรายงานตัวกับ คสช. และถูกนำเข้าสู่กระบวนการปรับทัศนคติ สมบัติถูกเรียกตัวตามคำสั่งคณะรักษาความสงบฉบับที่ 3/2557 โดยคำสั่งออกมาเมื่อวันที่ 23 พ.ค. 2557 เวลานั้นเขาไม่เห็นด้วยกับการใช้อำนาจเรียกตัวบุคคลไปปรับทัศนคติจะทำการอารยขัดขืนด้วยการไม่ยอมไปรายตัว โดยเก็บตัวอยู่ในประเทศไทย และยังคงใช้ทวิตเตอร์วิพากษ์วิจารณ์คณะรัฐหารอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งถูกเจ้าหน้าที่เข้าจับกุมกลางดึกเมื่อวันที่ 5 มิ.ย. 2557 ที่บ้านหลังหนึ่ง ใน อ.พานทอง จ.ชลบุรี โดยการสนธิกำลังของ ผบก.ปอท. ร่วมกับ ร.21 รอ. ซึ่งปฎิบัติการในครั้งนั้นเจ้าหน้าที่ห้ข้อมู,ว่า สามารถทราบที่อยู่ของสมบัติจากการตรวจไอพี โดยสำนักข่าวกรองแห่งชาติ 

สมบัติถูกควบคุมตัวอยู่ 7 วัน เจ้าหน้าที่ทหารจึงได้นำตัวมาขออำนาจศาลทหารเพื่อฝากขัง  โดยนอกจากการดำเนินคดีฐานฝ่าฝืนคำสั่ง คสช. แล้ว สมบัติยังถูกดำเนินคดีเพิ่มเติมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 และ พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย สมบัติถูกศาลทหารฝากขัง 2 ครั้ง (24 วัน) และในการขอฝากขังครั้งที่ 3 เขาได้รับอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว

สำหรับคดีไม่ไปรายงานตัวกับ คสช. นี้ ศาลฎีอ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 9 ส.ค. 2560 โดยพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์  ให้จำเลยมีความผิดตามประกาศคสช.ฉบับที่ 25/57 และฉบับที่ 29/57 อันเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานไม่มารายงานตัวตามคำสั่งและประกาศคสช. อันเป็นกฎหมายที่มีโทษหนักที่สุดตามมาตรา 90 ประมวลกฎหมายอาญา ให้จำคุก 2 เดือน และปรับ 3,000 บาท โทษจำคุกรอการลงโทษไว้ 1 ปี (อ่านรายละเอียดคดีจากศูนย์ทนายความฯ)

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net