'จตุพร' แจงเปิดทาง นปช. ไปร่วม 'เพื่อชาติ' เหตุ 'เพื่อไทย' ไม่มีที่ว่างให้ นปช. บางคน ระบุเพื่อชาติเป็นการสร้างทางเลือกเข้าสภา ยันไม่ขัดแย้งกับ ณัฐวุฒิ ขณะที่ 'ณัฐวุฒิ' ยันปักหลัก 'เพื่อไทย' 

 ที่มาภาพ เพจ Banrasdr Photo

10 ต.ค.2561 จากกรณีที่มีกระแสข่าว จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. จับสนับสนุน ยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา และจะร่วมจัดตั้งพรรคการเมืองกับสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รวมทั้งอดีตพระพุทธะอิสระนั้น

ล่าสุดวันนี้ จตุพร แถลงข่าวที่อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 5 โดยปฏิเสธข่าวการจับมือดังกล่าว โดยยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง

จตุพร กล่าวว่า ในวันนี้ขอชี้แจง สร้างความเข้าใจกับสื่อมวลชน และประชาชน โดยเรื่องนี้เกิดขึ้นในระหว่างที่ตนถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ได้พบปะพูดคุยทั้ง สนธิ และอดีตพระพุทธะอิสระ ในหัวข้อการหาทางออกให้ชาติบ้านเมือง มิเคยคุยกันถึงเรื่องการตั้งพรรคการเมือง หากจะตั้งจริงก็เป็นไปไม่ได้ เนื่องจากนายสนธิต้องโทษถึง 20 ปี ตนก็ถูกตัดสิทธิทางการเมือง 10 ปี

ส่วนกระแสข่าวนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ ยงยุทธ ได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน และได้พูดถึงความประทับใจระหว่างเดินทางไปเยี่ยมตนในเรือนจำฯ ซึ่งตนได้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับการพูดคุยกับทั้งสองคน

“ผมขอยืนยันว่า กระแสข่าวจับมือนี้เป็นเรื่องเท็จ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นการกุข่าว ผสมผสานเรื่อง จากเรื่องในจุดต่ำสุดของชีวิต ที่ผมเล่าหลังออกมาจากเรือนจำฯ”

จตุพร กล่าวว่า พรรคเพื่อชาติ ไม่ใช่พรรคการเมืองใหม่ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2556 และ นปช. ไม่ได้ก่อตั้งขึ้น ประกอบกับ นปช. ประกาศจุดยืนตั้งแต่ต้น จะไม่ตั้งพรรคการเมือง ด้านตนก็ถูกตัดสิทธิทางการเมือง มีเพียงสิทธิเลือกตั้งได้เท่านั้น

“พรรคเพื่อชาติ เปิดกว้างรับคนในฝ่ายประชาธิปไตยเข้าร่วม โดยเฉพาะ กลุ่ม นปช. ที่ไม่มีพื้นที่ในพรรคเพื่อไทย ก็จะมาเข้าร่วม เนื่องจากพวกผมคิดได้ภายหลัง สุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลังประชาชาติไทย ที่ได้แยกอดีต กปปส. เป็น 5 พรรคการเมือง รองรับกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ พวกผมจึงได้แยกกันอยู่ในหลายๆ พรรคการเมือง ทั้งนี้ยังเป็นการสร้างสมดุลให้กับรัฐสภา ให้มีทั้งฝ่าย กปปส. และ นปช. เข้าไปอยู่ในสภาฯ ด้วยความที่รัฐธรรมนูญถูกเขียนมาให้สามารถเกิดวิกฤติได้ตลอดเวลา จึงจำเป็นต้องมีแผนการรองรับ” ประธาน นปช. กล่าว

'ชัชชาติ - นพดล' นั่งหัวหน้าเพื่อชาติ ยังคงเป็นแค่ข่าวลือ

จตุพร กล่าวว่า ตนอยู่ในฐานะกองเชียร์เท่านั้น เพียงแค่เห็นด้วย และสนับสนุนพรรคดังกล่าวเท่านั้น ส่วนข่าวลือชื่อหัวหน้าพรรคเพื่อชาติ ทั้ง นพดล ปัทมะ และ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ยังคงเป็นแค่ข่าวลือเท่านั้น การประชุมใหญ่เพื่อเลือกหัวหน้าพรรค จะเกิดขึ้นในกลางเดือนพฤศจิกายน แต่จะมีการประชุมเพื่อแก้ไขข้อบังคับพรรค ในวันที่ 14 ตุลาคม 2561 เวลา 8 นาฬิกา 30 นาที ที่อิมพีเรียล สำโรง

“ผมคิดว่า การแบ่งเป็นหลายพรรคนั้น ไม่ใช่การดึงคะแนนกัน เราควรห่วงบ้านเมือง มากกว่าห่วงคะแนนเสียง ทางอีกซีกหนึ่งเขายังแบ่งเป็น 5 พรรคได้เลย ไม่เคยมีใครมาอธิบายความกันว่า เป็นการดึงคะแนน ทุกคะแนนเสียง ประชาชนล้วนเป็นคนตัดสิน” จตุพร กล่าว

ยันไม่ขัดแย้งกับ ณัฐวุฒิ

ส่วนกรณีข่าวขัดแย้งกับ ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการ นปช. นั้น จตุพร กล่าวยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง

'ณัฐวุฒิ' ยันปักหลัก 'เพื่อไทย' 

ขณะที่วานนี้ ณัฐวุฒิ  ระบุกระแสข่าวการตั้งพรรคเพื่อชาติ ว่า ทั้งโดยส่วนตัวและในนาม นปช.ไม่เคยร่วมหารือเรื่องพรรคกับคณะผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อชาติ แต่เข้าใจว่าคงมีการพบปะพูดคุยกันในกลุ่มผู้สนใจมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อ จตุพร ออกจากเรือนจำก็ได้ยินว่าให้ความสนใจเรื่องนี้ต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของ นปช. เคยหารือนอกรอบในหมู่แกนนำได้ข้อสรุปว่า องค์กรเราเป็นขบวนการต่อสู้ภาคประชาชน ยังไม่มีแนวคิดตั้งพรรคการเมือง ส่วนสมาชิกหรือแกนนำคนไหนสนใจจะร่วมงานกับพรรคการเมืองใด ตราบเท่าที่พรรคนั้นยืนบนหลักการประชาธิปไตยถือเป็นเสรีภาพ ถ้ามีจุดยืนที่เปลี่ยนแปลงไปก็ถือว่าสิ้นสภาพความเป็น นปช. ที่ผ่านมาเข้าใจตรงกันแบบนี้ หากพรรคเพื่อชาติยืนยันหลักการประชาธิปไตยก็ไม่มีอะไรเป็นข้อขัดแย้ง การตัดสินใจของแต่ละคนให้เป็นไปตามที่ได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้

ณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีสมาชิกคนใดเข้าร่วมงานกับพรรคเพื่อชาติบ้าง แต่ตนและแกนนำอีกส่วนหนึ่งที่ได้ยืนยันความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยไปแล้ว ตั้งใจว่าจะร่วมงานกับพรรคต่อไป และยังไม่มีใครทราบบทบาทของตัวเองในพรรคภายใต้กติกาใหม่ ความชัดเจนคงเกิดขึ้นหลังการประชุมคัดเลือกกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 28 ต.ค. ทั้งนี้ ไม่คิดว่าพรรคไหนจะเป็นนอมินีให้กันได้เมื่อลงสนาม ในความเป็นจริงน่าจะเป็นแนวร่วมกันในทางหลักการมากกว่า เพราะเลือกตั้งคราวนี้มี 2 ฝ่ายเท่านั้น คือพรรคประชาธิปไตยกับพรรคเผด็จการ

ที่มา : เพจ Banrasdr Photo, PEACE NEWS และ วอยส์ออนไลน์