Skip to main content
sharethis

ชมรมเรือท่องเที่ยวเกาะสิมิลันร้องขอความเป็นธรรม/นายจ้างรับมือแรงงานสูงวัย ใช้ 'เออร์ลี่รีไทร์' ลดต้นทุนเงินเดือน/การบินไทยเล็ง 'ปรับทัศนคติ' พนักงาน/ขยายเกษียณอายุราชการไป 63 ปี ไม่น่าทันรัฐบาลนี้/ไต้หวันบุกรวบแก๊งแรงงานไทยค้ายาเสพติด รวบ 52 คนงานจาก 16 โรงงาน ทั้งเสพและค้า/กรมการจัดหางานระบุ อายุ 20-24 ปี ว่างงานมากสุด สาขาพาณิชย์ว่างงานมากสุด ตามด้วยศึกษาศาสตร์และสังคมศาสตร์

บุกจับ 23 แรงงานต่างด้าวคาไซต์งานบนเกาะสมุย พบปลอมแปลงเอกสาร-หลบหนีเข้าเมือง

28 ต.ค. 2561 ผู้สื่อข่าวได้รับการเปิดเผยจาก พ.ต.อ.วัชนะ บวรบุญ ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี โดยได้รับรายงานจาก ร.ต.อ.เทอดศักดิ์ ธวัชร์วรกุล รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ว่า ได้สนธิกำลังร่วมกับ พ.ต.อ.ธงชนะ หาญกิตติกาญจนา ผกก.สภ.กะปาง ภ.จว.นครศรีธรรมราช รรท.ผกก.สภ.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี พ.ต.ต.ปริญญา รักษาแก้ว สวป.สภ.บ่อผุด ร.ท.อดุลย์ พรหมบุตร หน.ชป.กกล.รส.มทบ.45 พื้นที่เกาะสมุย ได้ร่วมกันนำกำลังเจ้าหน้าที่เข้าทำการควบคุมไซต์งานก่อสร้างที่กำลังก่อสร้างโรงแรมหรูแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 4 ต.บ่อผุด อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

โดยพบว่ามีแรงงานต่างด้าวสัญชาติพม่า ทั้งหญิงและชาย จำนวน 23 คน สวมใส่เสื้อสีแดง และสีน้ำเงินกำลังทำงานก่อสร้าง โดยมี นายสันติ ผาชัน อายุ 37 ปี ภูมิลำเนา จ.สกลนคร เป็นหัวหน้าควบคุมคนงาน เจ้าหน้าที่ตำรวจ และทหารได้กระจายกำลังเข้าทำการตรวจสอบเอกสารของแรงงานต่างด้าว พบว่า แรงงานทั้งหมดมีการปลอมแปลงเอกสารในการทำงาน และในแรงงาน จำนวน 7 คน ลักลอบหลบหนีเข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต

จากการสอบถาม นายสันติ ผาชัน หัวหน้าควบคุมคนงานให้การรับสารภาพว่า เป็นผู้ควบคุมดูแลคนงานทั้งหมด ทางเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้แจ้งข้อกล่าวหา นายสันติ ในข้อกล่าวหาให้ที่พักพิงปิดบังซ่อนเร้นแก่บุคคลต่างด้าว ซึ่งรู้ว่าเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายให้รอดพ้นจากการจับกุม และแจ้งข้อกล่าวหา 23 แรงงานต่างด้าว ลักลอบทำงานโดยไม่ได้รับอนุญาต นำตัวส่งพนักงานสอบสวน สภ.บ่อผุด ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การจับกุมในครั้งนี้เป็นการบูรณาการร่วม ตามนโยบายของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. และ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.สตม. ตามนโยบายมาตรการการปฏิบัติการ x ray out law foriegner

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 28/10/2561

'เทสโก้ โลตัส' ชี้แจงข่าวลือ หลังโลกออนไลน์กุข่าวปลดพนักงาน-ปิดสาขา

จากกรณี สมาชิกเว็บไซต์พันทิป หมายเลข สมาชิกหมายเลข 4902841 ได้ตั้งกระทู้ เทสโก้ โลตัสจ้างพนักงานออก พร้อมระบุว่า "เทสโก้ โลตัส จ้างพนักงานออกทั้งประเทศ คนที่ออกจะทำอะไรต่อ คนที่เหลืออยู่จะทนแรงกดดันไหวไหม" ซึ่งกระทู้ดังกล่าวได้รับความสนใจเป็นจำนวนมาก

ล่าสุด ฝ่ายสื่อสารองค์กรเทสโก้โลตัส ขอชี้แจงว่า ข้อมูลเรื่องพนักงาน 30-50% ถูกจ้างให้ลาออกนั้นไม่เป็นความจริง ข้อมูลเรื่องสาขาจำนวน 43 สาขาถูกปิดนั้นก็ไม่เป็นความจริง หากแต่เป็นข่าวเก่าเกี่ยวกับเทสโก้ในสหราชอาณาจักร (อังกฤษ) ตั้งแต่ปี 2558 ที่ถูกนำมาแชร์ต่อกันโดยคลาดเคลื่อนจาดความเป็นจริง

ทั้งนี้ เทสโก้โลตัส ให้บริการลูกค้าในประเทศไทยมานานกว่า 24 ปี โดยมุ่งมั่นที่จะมอบสินค้าคุณภาพสูงในราคาที่เอื้อมถึง ควบคู่ไปกับการสนับสนุนเศรษฐกิจ สังคม และชุมชนไทยมาโดยตลอด

เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจเพื่อให้ตอบรับกับความต้องการของลูกค้าที่มีความเปลี่ยนแปลงไปได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ดังนั้นจึงต้องการปรับโครงสร้างทีมงานให้สอดคล้องกับรูปแบบธุรกิจใหม่

ทั้งนี้ โครงสร้างทีมงานใหม่ของเราจะมุ่งเน้นไปที่ส่วนงานที่มีความสำคัญสำหรับลูกค้าที่เป็นกลุ้มเป้าหมายของเรา และโครงสร้างทีมใหม่นี้จะลดขั้นตอนต่างๆ เพื่อให้การทำงานของเพื่อนพนักงานง่ายขึ้น

จากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท จำเป็นต้องยกเลิกบางตำแหน่งเพื่อให้เหมาะสมกับโครงสร้างทีมงานใหม่ บริษัทได้พิจารณาตัดสินใจเรื่องนี้อย่างรอบคอบ และคำนึงถึงพนักงาน โดยได้พยายามจัดทำข้อเสนอที่ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ และให้ความช่วยเหลืออย่างดีแก่พนักงานที่ได้รับผลกระทบจากการปรับเปลี่ยนนี้ อีกทั้งยึดหลักการปฏิบัติต่อพนักงานทุกท่านอย่างเป็นธรรมอีกด้วย

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 27/10/2561

รมว.แรงงาน เผย แรงงานต่างด้าวได้รับสิทธิ ทั้ง 7 กรณี เหมือนผู้ประกันตน กรณีประสบอันตราย เจ็บป่วย คลอดบุตร

พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า พระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว หากต้องการจะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมต้องมีใบอนุญาตการทำงาน (Work permit) และมีหนังสือเดินทาง (Passport) โดยตัวเลขแรงงานต่างด้าวที่อยู่ในระบบประกันสังคมที่ถูกต้องตามกฎหมาย ณ กันยายน 2561 ที่ผ่านมา มีจำนวน 1,211,894 คน ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกันตนสัญชาติพม่า จำนวน 789,372 คน สัญชาติกัมพูชา จำนวน 266,454 คน สัญชาติลาว จำนวน 50,877 คน และสัญชาติอื่น ๆ จำนวน 105,191 คน ซึ่งแรงงานต่างด้าวที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องจะได้รับความคุ้มครอง จากสำนักงานประกันสังคมทั้ง 7 กรณี เหมือนผู้ประกันตนในระบบทุกประการ ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน

อย่างไรก็ตาม กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมมีเจตนารมณ์ที่ดี ที่จะให้แรงงานต่างด้าวได้เข้ามาทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย จึงขอความร่วมมือนายจ้างที่มีแรงงานต่างด้าวทั้ง 3 สัญชาติ ได้แก่ ลาว กัมพูชา เมียนมา ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ทั้งนี้ยังได้รับความดูแลจากกองทุนประกันคมและกองทุนเงินทดแทนอย่างเท่าเทียมกัน

ที่มา: สำนักข่าวไอเอ็นเอ็น, 26/10/2561

กรมการจัดหางานระบุ อายุ 20-24 ปี ว่างงานมากสุด สาขาพาณิชย์ว่างงานมากสุด ตามด้วยศึกษาศาสตร์และสังคมศาสตร์

นางเพชรรัตน์ สินอวย รองปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการจัดหางาน กล่าวว่า แม้จะพบว่า สถานการณ์การว่างงานไม่ได้เป็นที่น่ากังวล โดยได้สั่งการให้กรมการจัดหางานวางแนวทางช่วยเหลือให้ผู้ว่างงานหลายช่องทางทั้งศูนย์ที่นี่มีงานทำ (Job Ready Center) ที่ตั้งขึ้นเพื่อหางานให้กับผู้จบปริญญาตรี พร้อมทั้งให้คำปรึกษา พัฒนาทักษะฝีมือ แนะแนวอาชีพ และจับคู่ตำแหน่งงาน (Matching) ซึ่งปัจจุบันเปิดให้บริการ 11 แห่งทั่วประเทศ คือ จังหวัดเชียงใหม่ พิษณุโลก พระนครศรีอยุธยา ปราจีนบุรี นครราชสีมา ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง สุราษฎร์ธานี สงขลา และกรุงเทพมหานคร หรือหางานผ่านทาง LINE JOBS ,Job fair, Mobile App รวมทั้งตู้งาน (Job Box) ที่ตั้งกระจายอยู่ทุกจุดทั่วประเทศ ได้เช่นกัน

นางเพชรรัตน์ กล่าวว่าอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2561 ที่มีคนว่างงานประมาณ 3.73 แสนคน ถือว่า ปัญหาการว่างงานนั้นไม่ได้รุนแรง และน่ากังวล เพราะหากนำอัตราการว่างงานในเดือนกันยายน 2561 มาเปรียบเทียบกับอัตราการว่างงานในช่วงเดียวกันของปี 2560 จะพบว่ามีคนว่างงานลดลงประมาณ 7 หมื่นคน คือ จาก 4.43 แสนคน เป็น 3.73 แสนคน และที่ช่วงต้นปี 2561 มีอัตราการว่างงานสูงในร้อยละ 1.3-1.2 ก่อนที่จะปรับตัวลดลงมาทรงตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.0 นั้น หากพิจารณาในรายละเอียดจะพบว่า การว่างงานในเดือนกันยายน 2561 จะเป็นผู้ที่ไม่เคยทำงานมาก่อน 1.78 แสนคน และเป็นผู้ที่เคยทำงานมาก่อน 1.95 แสนคน ซึ่งเป็นผู้ว่างงานที่มาจากภาคการผลิตมากที่สุด รองลงมาเป็นภาคบริการ และภาคเกษตร โดยเหตุผลของการว่างงานพบว่า เป็นการลาออกจากงานมากที่สุดประมาณ 1 แสนคน รองลงมาเป็นนายจ้างปิดกิจการ ประมาณ 3 หมื่นคน และหมดสัญญาจ้างประมาณ 2 หมื่นคน ดังนั้น จากข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการว่างงานนั้นไม่ได้รุนแรง และน่ากังวล และเมื่อพิจารณาเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนๆ จะพบว่า อัตราการว่างงานปี 2561 ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมเป็นต้นมามีแนวโน้มต่ำกว่าปี 2559 – 2560

สำหรับช่วงอายุที่มีผู้ว่างงานมากที่สุด คือ 20-24 ปี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ว่างงานคือแรงงานกลุ่มที่เพิ่งจบการศึกษา โดยเฉพาะในระดับอุดมศึกษา โดยสาขาวิชาที่ว่างงานมากที่สุดคือพาณิชยศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 20.2 รองลงมา คือ ศึกษาศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 17.1 และสังคมศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 11.7 โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่พร้อมจะทำงานแต่เหตุผลที่ไม่หางานทำเพราะหางานมาแล้วแต่หาไม่ได้ ร้อยละ 79.1 รองลงมาคือ ไม่สามารถหางานที่เหมาะสมได้ร้อยละ 14.6 สะท้อนให้เห็นว่าผู้สำเร็จการศึกษาในระดับปริญญาตรีส่วนใหญ่ยังขาดคุณสมบัติตามที่ตลาดแรงงานต้องการ และส่วนหนึ่งว่างงานเพราะเลือกงาน ขณะที่ผู้ว่างงานในระดับปริญญาตรีอีกกลุ่มหนึ่งนั้น เป็นกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน จำนวน 22,525 คน หรือร้อยละ 19.59 ว่างงานมาแล้วโดยเฉลี่ย 1-2 เดือน หรือร้อยละ 29.14 โดยเคยทำงานในอาชีพเสมียนทั่วไปมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 13.69 รองลงมาคือ พนักงานขายในร้านค้า คิดเป็นร้อยละ 11.42 และผู้จัดการภัตตาคารและร้านอาหาร คิดเป็นร้อยละ 8.80 โดยสาเหตุที่ออกจากงานส่วนใหญ่มาจากการลาออกเอง คิดเป็นร้อยละ 59.45 รองลงมาคือ เลิก/หยุด/ปิดกิจการ คิดเป็นร้อยละ 8.97 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกระทรวงแรงงาน โทร.1506 กด 2 กรมการจัดหางาน

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 27/10/2561

ก.แรงงาน มอบเงินช่วยแรงงานไทยเสียชีวิตในเกาหลีใต้

พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน มอบเงินสิทธิประโยชน์ทดแทนจากสำนักงานประกันสังคม ประกอบด้วย ค่าจัดการศพ 40,000 บาท เงินสงเคราะห์กรณีเสียชีวิต 26,564.60 บาท เงินบำเหน็จชราภาพ 54,850.10 บาท รวมทั้งสิ้น 121,414.70 บาท แก่นายวีระพงษ์ โสบันเทา สามีของน.ส.รัติกาล พลบูรณ์ ชาวหนองบัวลำภู ที่เสียชีวิตด้วยโรคหอบหืด หลังลักลอบไปทำงานอย่างผิดกฎหมายที่ประเทศเกาหลีใต้ พร้อมกับสามี ตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.2561 โดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว หลังได้รับการชักชวนผ่านเฟซบุ๊ก เสียค่าใช้จ่ายคนละ 55,000 บาท เพื่อทำงานในภาคเกษตร รายได้วันละประมาณ 2,000 บาท ต่อมา น.ส.รัติกาล ป่วยด้วยโรคหอบหืดและพักรักษาตัวในโรงพยาบาลของประเทศเกาหลีใต้ จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 18 ต.ค. 2561 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตามเนื่องจากลักลอบไปทำงานผิดกฎหมายจึงทำให้ไม่ได้รับสิทธิใด ต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองกว่า 1 ล้านบาท และค่าทำศพประมาณ 6 แสนบาท โดยกงสุลสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโซล จึงได้เจรจาเพื่อขอลดหย่อนค่ารักษาพยาบาลจากประมาณ 1ล้านบาท คงเหลือ 3 แสนบาท และช่วยดำเนินการด้านฌาปนากิจศพน.ส.รัติกาล เมื่อวันที่ 25 ต.ค.2561 และจัดการตั๋วเครื่องบินให้กับนายวีระพงษ์กลับประเทศไทยพร้อมกับอัฐิของ น.ส.รัติกาล ช่วงบ่ายวันนี้ (26 ต.ค.) ก่อนเดินทางมารับเงินข่วยเหลือ เนื่องจากก่อนไปเกาหลี ผู้ตายได้ทำงานในระบบของไทยและลาออกจากงานยังไม่พ้น 6 เดือน นับจากออกจากงาน จึงยังอยู่ในความคุ้มครอง 6 เดือน ตาม มาตรา 38 แห่งพระราชบัญญัติประกันสังคม

พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวด้วยว่า หลังจากเกาหลีใต้เปิดโอกาสให้แรงงานไทยที่ลักลอบไปทำงานผิดกฎหมายได้กลับไทยโดยไม่ติดแบล็คลิสต์ จนถึงวันนี้มีแรงงานไทยประสงค์เดินทางกลับแล้วกว่า 1,000 คน จากผีน้อยทั้งหมด 1.2 แสนคน และจะเปิดโอกาสให้เดินทางกลับจนถึงสินเดือน มี.ค.ปีหน้า โดยแรงงานไทยที่กลับไทย ไม่ต้องห่วงกระทรวงแรงงานมีอาชีพรองรับ

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 26/10/2561

ไต้หวันบุกรวบแก๊งแรงงานไทยค้ายาเสพติด รวบ 52 คนงานจาก 16 โรงงาน ทั้งเสพและค้า

เรดิโอไต้หวันอินเตอร์เนชั่นแนล รายงานว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวัน บุกเข้าทลายแก๊งค้ายาเสพติดแรงงานไทย ในนิคมอุตสาหกรรมหนานกัง จ.หนานโถว ภาคกลางของไต้หวัน เมื่อวันที่ 23 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยมีหัวหน้าเป็นแรงงานไทยชื่อ "จิราวัฒน์" (ออกเสียงชื่อตามเสียงภาษาจีน) กลุ่มเป้าหมายคือคนงานไทยที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำ จำหน่ายแอมเฟตามิน ทำกำไรอย่างมหาศาล เจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันได้ติดตามขยายผลของคดีมานานกว่า 3 เดือน ในที่สุดจึงบุกเข้าทลายแก๊งดังกล่าว รวบตัวคนงานไทย 52 คน จาก 16 โรงงาน ซึ่งพัวพันทั้งการเสพและค้ายาเสพติด นอกจากนี้ ยังรวบระดับหัวหน้าได้อีก 11 คน

เจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันสืบสวนพบว่า แรงงานไทยจำนวนมากติดยาเสพติด ตอนแรกเสพเพียงเพื่อให้มีกำลังวังชา ทำงานกะดึก หรือสังสรรค์กับเพื่อนฝูง จึงติดยา แก๊งค้ายาเสพติดดังกล่าวจึงอาศัยจเงื่อนไขนี้ เจาะเข้าสู่แรงงานกลุ่มนี้ ส่งสายไปจำหน่ายยาเสพติดตามโรงงานต่าง ๆ จนขยายเป็นอาณาจักรค้ายาเสพติด แบ่งงานกันทำ ทำให้มีคนงานไทยจาก 16 โรงงาน จำนวน 52 คน เข้าพัวพันการค้ายาเสพติดในครั้งนี้

แรงงานไทยที่ติดยาแล้ว หากหยุดเสพแอมเฟตามิน ก็จะอยู่ในสภาพจิตใจไม่ปกติ ไม่มีสมาธิ เข้าทำงานไม่ปกติ ทำให้รายได้ลดลง แต่ก็ต้องเสพยาต่อไป จึงต้องไปกู้ยืมเงินจากแก๊งค้ายาเพื่อเอามาซื้อเสพต่อ กลายเป็นวัฏจักรอันเลวร้าย และก็ทำลายฝันที่เคยตั้งไว้ก่อนมาไต้หวันด้วย ได้ไม่คุ้มเสีย

เจ้าหน้าที่ตำรวจย้ำว่า ตอนนี้ได้กวาดล้างจนเกือบหมดแล้ว ต่อไปจะให้ความสำคัญกับการกวาดล้างยาเสพติดในนิคมอุตสาหกรรมด้วย และจะสืบขยายผลไปยังแหล่งต้นตอที่แท้จริง เพื่อทำลายแก๊งค้ายาให้ราบคาบ

ที่มา: Radio Taiwan International, 24/10/2561

กทม.รายได้อู่ฟู้ คาดปลายปีนี้ เจียด 2.7 พัน ล.จากรายได้ 7.89 พัน ล.จ่ายโบนัส ขรก.-ลูกจ้าง 9 หมื่นคน

แหล่งข่าวจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการจัดสรรเงินรางวัล หรือโบนัส ของกรุงเทพมหานคร ประจำปี 2561 เตรียมอนุมัติอัตราการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี 2561 ตามที่สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการกรุงเทพมหานคร (ก.ก.) ได้รวบรวมคะแนนและจัดลำดับการให้เงินรางวัลของหน่วยงานต่างๆ โดยคาดว่าจะใช้เงินในการจ่ายโบนัส ประมาณ 2,700 ล้านบาท

โดย แนวทางการจ่ายเงินรางวัล หรือโบนัสประจำปี 2561 แก่ข้าราชการและบุคลากรของ กทม. ที่ปัจจุบันมีอยู่ 90,000 คน แบ่งเป็นข้าราชการประมาณ 30,000 คน ข้าราชการครู 10,000 คน และเป็นลูกจ้างประมาณ 50,000 คน คาดว่า เพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ 2562 และเป็นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรของ กทม.

“คาดว่า อัตราการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี 2561 ในอัตรา 1.5 เท่าของเงินเดือน ขณะที่ลูกจ้างชั่วคราว จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 1 เท่าของเงินเดือน เนื่องจากลูกจ้างชั่วคราวมีภาระงานและความรับผิดชอบไม่เท่ากับข้าราชการและลูกจ้างประจำ เพราะปี 2561 นี้ กทม.จัดเก็บรายได้ 86,400 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการที่ได้ตั้งไว้  78,500 ล้านบาท คิดเป็น 10.11 เปอร์เซ็นต์ เป็นเงิน 7,932.73 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) เคยมีข้อทักท้วงไปยัง กทม.เกี่ยวกับนำเงินสะสมออกมาจ่ายโบนัสให้กับข้าราชการและบุคลากร เพราะตามหลักเกณฑ์การใช้เงินสะสมต้องเกิดจากกรณีฉุกเฉิน หรือมีความจำเป็น และกรณีเร่งด่วนเท่านั้น ทำให้ กทม.ไม่สามารถนำเงินสะสมมาจ่ายได้ ดังนั้นคณะผู้บริหาร กทม. จึงได้มอบหมายให้ทั้ง 50 สำนักงานเขต เร่งจัดเก็บภาษีอย่างเข้มงวดให้ได้ตามเป้า รวมทั้งจัดเก็บภาษีรายใหม่ให้ครบถ้วน เพื่อจะได้มีเงินเหลือจ่ายเป็นโบนัสให้กับข้าราชการและบุคลากรทุกคน

มีรายงานว่า ที่ผ่านมา อัตราการจัดสรรเงินรางวัล ปี 2558 กำหนดในอัตรา 0.5-1 เท่า ซึ่งหน่วยงานสังกัด กทม. มีทั้งสิ้น 77 หน่วยงาน และ ที่ผ่านมาส่วนราชการสังกัด กทม. บางแห่งมีผลการประเมินอยู่ในระดับดีถึงระดับดีมาก

ขณะที่ปี 2559 กำหนดผลการประเมินดีเด่น ระดับคะแนน 90-100 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 1 เท่าของเงินเดือน ผลการประเมินเป็นที่ยอมรับได้ ระดับคะแนน 81-89 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.95 เท่าของเงินเดือน ระดับคะแนน 71-80 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.90 เท่าของเงินเดือน ระดับคะแนน 60-70 คะแนน จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.85 เท่าของเงินเดือน ส่วนผลการประเมินต้องปรับปรุง ระดับคะแนน ต่ำกว่า 60 คะแนน จะไม่ได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล ขณะที่ลูกจ้างชั่วคราว จะได้รับอัตราจัดสรรเงินรางวัล 0.75 เท่าของเงินเดือน เนื่องจากลูกจ้างชั่วคราวมีภาระงานและความรับผิดชอบไม่เท่ากับข้าราชการและลูกจ้างประจำ

ส่วนปีงบประมาณ 2560 กำหนดอัตราการจัดสรรเงินรางวัลในอัตรา 1.5 เท่า ส่วนการได้รับโบนัสระดับบุคคลนั้น ทั้งข้าราชการสามัญและลูกจ้างประจำจะจ่ายตามผลประเมินระดับบุคคลใน 3 ระดับ คือ 1.5 เท่า 1.4 เท่า และ 0.75 เท่าตามลำดับ

ทั้งนี้ เงินโบนัสในปีงบประมาณ 2560 ได้ใช้งบประมาณในการจ่ายโบนัส ประจำปี 2559 จำนวน 1,600 ล้านบาท

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 24/10/2561

ขยายเกษียณอายุราชการไป 63 ปี ไม่น่าทันรัฐบาลนี้

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการขยายอายุเกษียณราชการ จาก 60 ปีออกไปเป็น 63 ปี ว่า ยังไม่มีการเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีและเชื่อว่าจะไม่ทันรัฐบาลนี้ เพราะจะต้องแก้ไขกฎหมายหลายฉบับและมีหลายวิธีคิด เพื่อให้ได้รูปแบบที่เหมาะสม รวมถึงอาจจะพิจารณาไปอีกว่าอาจจะไม่ใช่ขยายการเกษียณอายุราชการไปถึงอายุ 63 ปี อาจจะเป็นตัวเลขอื่น

ขณะเดียวกันกำลังพิจารณาดูว่าจะใช้การเกษียณอายุราชการในแบบของศาล หรือตุลาการหรือไม่ โดยในตำแหน่งบริหารนั้น อาจมีข้อเสนอให้สามารถนั่งตำแหน่งบริหารต่อไปได้ หรือให้ไปนั่งในตำแหน่งอื่นแทน

ที่มา: สำนักข่าวกรมประชาสัมพันธ์, 24/10/2561

การบินไทยเล็ง 'ปรับทัศนคติ' พนักงาน

นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.การบินไทย (THAI) เปิดเผยถึงกรณีเที่ยวบิน TG 971 กรุงเทพ-ซูริก เกิดความล่าช้า ว่า ยอมรับองค์กรการบินไทยมีปัญหาที่ต้องแก้ไขและปฏิรูปเรื่องของคุณภาพบริการ โดยเฉพาะเรื่องจิตใจรักในการบริการ (Service Mind) และความคิดของคนในองค์กร (Mindset) ซึ่งปัญหาดังกล่าวนั้น จะเกี่ยวกันกับแผนในภาพรวม อย่างเรื่องแนวทางฟื้นฟูองค์กร เพราะการเพิ่มรายได้ต้องเพิ่มความประทับใจในงานบริการมากขึ้นด้วย

ดังนั้นในฐานะผู้บริหาร จึงมีแนวคิดที่จะนำนักจิต วิทยาชั้นนำเข้ามาปรับแนวคิดและทัศนคติของบุคลากรในองค์กร รวมถึงบุคลากรที่ต้องดูแลงานบริการและผู้โดยสาร เนื่องจากปัจจุบันยังมีบางฝ่ายยึดความคิดแบบเน้นการผลิต โดยคิดว่าแนวทางบริการหรือวิธีปฏิบัติงานที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นดีมากที่สุด แต่ใน ความเป็นจริงแล้ว ด้วยบริบทสังคมที่เปลี่ยนไป แนวทางการทำงานแบบเดิมอาจไม่ใช่คำตอบในปัจจุบัน

นายสุเมธกล่าวว่า สำ หรับเหตุการณ์ดังกล่าว ต้องเร่งสอบสวนว่าเกิดมาจากสาเหตุใด โดยเฉพาะในสอง ปัจจัยใหญ่ว่ามันมาจากกระ บวนการปฏิบัติ หรือวิธีคิดของพนักงาน

นายดำรงค์ ไวยคณี ประธานสหภาพแรงงานรัฐ วิสาหกิจการบินไทย (สร.กบท.) กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นยอมรับว่าส่งผลกระ ทบโดยตรงต่อภาพลักษณ์การบินไทยอย่างมาก และเมื่อผลสอบสวนเสร็จได้ข้อเท็จจริงตามที่นายสุเมธ ดำรงชัยธรรม กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (THAI) ยืนยันว่าจะเสร็จภายใน 7 วัน หลังจากนั้นสหภาพฯ จะเข้าพบเพื่อสอบถามแนวทางแก้ปัญหาคือประเด็นผู้โดยสารต้องรอ 2 ชั่วโมง เพื่อกู้ภาพลักษณ์ของการบินไทย

ที่มา: ไทยโพสต์, 23/10/2561

กสร. เผยผลการเลือกตั้ง “สหภาพแรงงานองค์การเภสัช-บริษัทขนส่ง” คว้าเก้าอี้ผู้แทนฝ่ายลูกจ้างเป็นกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์

นายวิวัฒน์ ตังหงส์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา กสร.ได้จัดให้มีการเลือกตั้งกรรมการฝ่ายลูกจ้างเพื่อเป็นคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์แทนกรรมการ 2 คน ที่หมดวาระ ณ ห้องประชุม ศ.นิคม จันทรวิทุร กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน ซึ่งผลการเลือกตั้งมีผู้ได้รับการเลือกตั้งเป็นกรรมการฯ ได้แก่ นางอารายา แก้วประดับ สหภาพแรงงานองค์การเภสัช และนายประจักษ์ สุขบัณฑิตย์ สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจ บริษัท ขนส่ง จำกัด

นายวิวัฒน์ กล่าวต่อไปว่า ผู้ที่ได้รับเลือกทั้งสองท่านนี้จะเข้าไปทำหน้าที่ในคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ ซึ่งเป็นคณะกรรมการไตรภาคีประกอบด้วยผู้แทนจากภาครัฐ ผู้แทนฝ่ายนายจ้าง และผู้แทนฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายละ 5 คน โดยมีอำนาจหน้าที่สำคัญ อาทิ 1.กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของสภาพการจ้าง 2.เสนอคณะรัฐมนตรีกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงินสำหรับรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งที่รัฐวิสาหกิจนั้นอาจดำเนินการได้เอง 3.พิจารณาให้ความเห็นชอบเกี่ยวกับสภาพการจ้าง และ 4.พิจารณาวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน เป็นต้น

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 22/10/2561

นายจ้างรับมือแรงงานสูงวัย ใช้ 'เออร์ลี่รีไทร์' ลดต้นทุนเงินเดือน

นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภา องค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยว่าขณะนี้บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในไทยมายาวนาน 20-30 ปี กำลังประสบปัญหาพนักงานก้าวสู่แรงงานสูงวัย ซึ่งทำให้ผลิตภาพการผลิต (Productivity) เมื่อเทียบกับอัตราค่าจ้างที่จ่ายเพิ่มขึ้นไม่คุ้มค่าจึงเริ่มทยอยดำเนินโครงการสมัครใจลาออกก่อนเกษียณอายุ หรือเออร์ลี่รีไทร์ คาดว่าแนวโน้มดังกล่าวจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง

"ปัญหาตอนนี้บริษัทที่ตั้งมานานแรงงานเองที่โตมาพร้อมกันก็เข้าสู่แรงงานสูงวัยแต่พบว่าตำแหน่งหน้าที่การงานยังไม่ได้ก้าวไปสู่ระดับที่สูงขึ้นนัก เช่น บางคนทำหน้าที่แค่จัดการเอกสารพื้นฐานธรรมดาแต่อยู่นานค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องก็ทำให้เกิดปัญหาเรื่องต้นทุนที่เริ่มไม่คุ้มกับค่าจ้าง นายจ้างกลุ่มนี้จึงเริ่มเอาพนักงานประเภท ดังกล่าวออกเพื่อรับเด็กหนุ่มสาวที่จบใหม่แทนเพื่อลดต้นทุน" นายธนิตกล่าว

ขณะที่แรงงานเองปัจจุบันยอมรับว่าเป็นเด็กรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งมักทำงานไม่ยั่งยืนมีการเปลี่ยนแปลงบ่อยและบางส่วนใช้ช่องว่างของสวัสดิการประกันสังคมรับเงินช่วงว่างงาน พอสักพักก็ไปหางานใหม่ทำ ฯลฯ ภาพรวมเหล่านี้จึงสะท้อนให้เห็นถึงตัวเลขผู้ว่างงาน เดือนกันยายน 2561 ที่สำนักงานสถิติ แห่งชาติ รายงานไว้ว่ามี 3.73 แสนคน และพบว่าในจำนวน 1.95 แสนคนนั้น เป็นคน ที่เคยทำงานมาก่อน ส่วน 1.78 แสนคน เป็นผู้ว่างงานที่ไม่เคยทำงานมาก่อน

"ในจำนวนของผู้ที่เคยทำงานมาก่อนว่างงานถึง 1.95 แสนคนนั้นก็ชี้ให้เห็นว่าเป็นคนมีงานทำแล้วออกมา และสาเหตุการออกก็เข้าใจได้ว่า เป็นการลาออกเอง การสมัครใจออก แต่ตัวเลขผู้ว่างงานในเดือนนี้ก็ถือว่าลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน" นายธนิตกล่าว

สำหรับในเดือนกันยายน ปีนี้ พบว่า ไทยมีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงานจำนวนทั้งสิ้น 38.39 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วยผู้มีงานทำ 37.95 ล้านคน ผู้ว่างงาน 3.73 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 6.7 หมื่นคน อย่างไรก็ตามแนวโน้มอัตราการว่างงานจะเริ่มสูงขึ้นในช่วงไตรมาสแรกของปี 2562 เพราะจะมีเด็ก จบใหม่เข้ามาสู่ระบบอีกอย่างต่ำ 3.5-4 แสนคน โดยคาดว่าระดับปริญญาตรีที่ไม่ใช่สาขาวิชาชีพก็จะประสบปัญหาว่างงาน เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

ที่มา: แนวหน้า, 22/10/2561

ชมรมเรือท่องเที่ยวเกาะสิมิลันร้องขอความเป็นธรรม

ที่ทำเนียบรัฐบาล สมาชิกชมรมเรือท่องเที่ยวหมู่เกาะสิมิลัน-สุรินทร์ ยื่นหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อขอความช่วยเหลือและขอความเป็นธรรม กรณีความเดือดร้อนจากมาตรการกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวในเขตอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะสิมิลัน ของกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช โดยระบุว่าหลังจากที่กรมอุทยานแห่งชาติมีประกาศดังกล่าวแล้วส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการเรือท่องเที่ยว และประชาชนที่ประกอบอาชีพในบริษัทท่องเที่ยวจำนวนกว่า 636 คน สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านที่เป็นแรงงานในพื้นที่ถิ่นอย่างมาก จึงขอให้รัฐบาลช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อนดังกล่าวโดยขอให้มีมาตรการลดจำนวน นักท่องเที่ยวแบบค่อยเป็นค่อยไปไม่ใช่จู่ๆ ประกาศฉุกเฉินแล้วมีผลในทันทีเช่นนี้ เพราะส่งผลกระทบต่อสังคมและมีความเสียหายในเชิงธุรกิจอย่างสูง จึงขอให้เร่งทำการศึกษาวิจัยใหม่โดยรอบคอบเสียก่อนที่จะกำหนดจำนวนนักท่องเที่ยวว่ามีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรวมไปถึงเศรษฐกิจและสังคมอย่างไรแล้วค่อยออกมาตรการ

ทั้งนี้ น่าจะมีการตั้งคณะกรรมการหรือคณะทำงานร่วมระหว่างกรมอุทยานแห่งชาตินักวิชาการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการและภาคประชาชนขึ้นมาร่วมศึกษาและวิจัยดังกล่าวเพื่อประโยชน์ของทุกฝ่ายอย่างยั่งยืน อย่างไรก็ตามขอให้รัฐบาลทบทวนการประกาศใช้มาตรการดังกล่าวนี้ก่อน เนื่องจากส่งผลกระทบในวงกว้างต่อประชาชนในท้องถิ่น

ที่มา: TNN24, 22/10/2561

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net