Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

9 พฤศจิกายน 2561

เราเจอพี่จ๋าครั้งแรกในเช้าวันที่ 2 ของการติดคุก โดยนักโทษการเมืองอีกคนพามาแนะนำ 
พี่จ๋ายืนหนีบขวดน้ำไว้ใต้รักแร้ข้างขวา แล้วก็เรียกแทนตัวเองว่า “พี่” ทั้งๆ ที่น่าจะแก่กว่าแม่เราแน่ๆ จากนั้นก็เรียกแทนเราว่า “น้อง” ไม่ยอมเรียกชื่อ 

คนไรวะ โคตรห้าวเป้งเลย

พี่จ๋าทำการนัดแนะกับเราเรื่องตอนกลางวันและตอนเย็นว่าจะเจอกันที่ไหนยังไง 
เราไม่รู้ว่าแกมาคดียิงฮอ รู้แต่ว่าแกเป็นเสื้อแดง 
มารู้อีกทีก็ตอนเย็นที่มีเวลามากหน่อยเลยได้คุยกัน

พอเข้าวันที่ 3 ของการติดคุก พี่จ๋าก็พาตัวเองย้ายมานั่งใกล้ๆ เรา ที่เป็นที่เฉพาะสำหรับคนใหม่ จัดแจงล้อมรั้วไม่ให้ใครเข้ามาใกล้จนเกินไป แถมยังด่าทุกคนที่ขยับมาใกล้ตัวแก แต่ไม่ว่ายังไงแกก็ยังคงกอดขวดน้ำขวดใหญ่ที่เขียนชื่อแกตัวเขื่องไว้อย่างเหนียวแน่น 

พอปล่อยแถวแกก็ออกไปหาขวดน้ำเล็กๆ มาให้เรา เป็นขวดเป๊ปซี่ ก่อนจะส่งให้เราเอาไปล้างแล้วเอามากรอกน้ำไว้กิน 

“อยู่ในนี้ห้ามให้ใครกินน้ำเรา และอย่าไปกินน้ำใคร โรคมันติดต่อง่าย ต้องดูแลตัวเองเข้าใจไหม” 

พี่จ๋าสั่ง ก่อนจะเห็นท่าทางเงอะเงิ้นของเราแล้วยื่นมือมาคว้าขวดที่แกเพิ่งให้เรากลับไปแล้วเดินออกไปจากที่นั่ง หลังจากสำทับว่า 

“อย่าให้ใครมานั่งตรงนี้ เฝ้าไว้” 

พี่จ๋าเดินไปล้างขวดเป๊ปซี่เล็กๆ นั่นมาให้ พร้อมกับกดน้ำมาเต็มขวด 

“คอยฟังชื่อเรียกเยี่ยมญาติ เห้ย ! ไอ้หนู เอ็งชื่ออะไรนะ” 

นั่นไง เริ่มไม่เรียกน้องละ เริ่มเป็นไอ้หนู
“ชื่อกอฟ” เราตอบ

“กูถามชื่อจริงโว้ย กูจะช่วยมึงฟังชื่อ เวลาเขาเยี่ยมญาติเนี่ย” พี่จ๋าแว๊ดกลับมาพร้อมคำอธิบาย 

และ นั่นไง เริ่มกลายเป็นมึง-กู ซะแล้ว 55555

แกเรียกแทนตัวเองว่าพี่สลับกับกู อยู่พักใหญ่ จนสักพักถึงตัดสินใจได้ว่าควรจะใช้ มึง-กู ให้ถนัดปาก

ไม่นานนัก วันนั้นก็มีชื่อเราประกาศให้ออกไปเยี่ยมญาติ แต่ตัวเราเองไม่ได้ยินหรอกนะ พี่จ๋าได้ยินก่อนแต่ไม่แน่ใจให้รอฟังซ้ำ จนแน่ใจแล้วก็เร่งให้เรารีบออกไปเยี่ยมญาติ ก่อนจะแนะว่าเราควรต้องสั่งให้ญาติซื้ออะไรมาให้บ้าง

กว่าเราจะออกไปเยี่ยมญาติได้ก็ทุลักทุเลพอสมควร เพราะเป็นเด็กใหม่ 

แต่พี่จ๋าก็จะเดินมาส่งที่ประตูเขตอาคารทับทิม และรออยู่หน้าประตูจนกระทั่งเราเดินกลับมาเสมอ ทุกครั้งที่เรากลับมาจากเยี่ยมญาติก็จะเจอแกยืนหนีบขวดน้ำรอรับอยู่ทุกครั้ง ถ้าครั้งไหนโดนห้ามแกก็จะไปนั่งซุกอยู่ที่อาคารทับทิมเพื่อคอยเรียกและส่งสายตาให้กำลังใจมาให้ แล้วถ้าวันไหนเราร้องไห้กลับเข้าแดนแกจะร้อนใจจนต้องรีบหาทางออกมาคุยกันจนได้ แกทำแบบนี้เสมอ จนกระทั้งแกต้องย้ายแดนไป

“กูกลัวเค้าแอบอุ้มมึงออกไปข้างนอก” แกเคยให้เหตุผล เพราะนอกจากเยี่ยมญาติแล้ว เรายังโดนเรียกในกรณีอื่นๆ อีกวันละหลายๆ ครั้ง เรามาเข้าใจตอนหลังว่าที่พี่จ๋ามานั่งใกล้ๆ เราเพราะว่ากลัวว่านักโทษคนอื่นๆ ถ้ารู้เรื่องคดีของเราแล้วจะมาทำร้ายเรา

“คดีมึงมันอันตราย พี่จ่าอยู่นี่ พี่จะดูแลน้องเอง ไม่มีใครกล้ากับพี่หรอก” 

หลังจากกลับมาจากเยี่ยมญาติครั้งแรกแล้ว พี่จ๋าที่ยืนรออยู่หน้าประตูเขตอาคารทับทิมก็กวักมือเรียกเราเข้าไปหา 

“พอแล้วไม่ต้องร้อง เช็ดน้ำตา เดี๋ยวพี่จ๋าพาไปแนะนำกับคนอื่นๆ ”

แกปลอบใจพร้อมกับกอดคอที่ตกซมของเรา ก่อนจะพาเดินไปด้านหลังเรือนนอนเพชร แล้วแนะนำคนโน้นคนนี้ที่มีบทบาทในเรือนนอน และในแดนให้เรารู้จัก 

“ไหว้พี่ๆ เค้า เดี๊ยวเค้าจะได้ช่วยดูแล พวกนี้คนของพี่จ๋าเอง มีอะไรวิ่งไปหาพวกนี้นะ”

เราไหวหลายต่อหลายคนตามที่พี่จ๋าบอก แต่ก็จำชื่อได้แค่บางคน ก่อนที่จะเดินกลับไปร้องไห้ต่ออีกนิด

สิ่งที่พี่จ๋าหวงพอๆ กับขวดน้ำคือแว่นตาและของกิน พี่จ๋ามีแว่นตาอยู่ประมาณ 3 อัน ทั้งๆ ที่เค้าอนุญาตให้มีได้แค่คนละอันเท่านั้น บางอันแกก็ได้มาจากทนาย บางอันแกก็ไปหาซื้อมาแบบเถื่อนๆ  
จนต้องให้เราซื้อน้ำส้มขวดละ 5 บาทมา 2 ขวด แล้วบังคับให้เรากินให้หมดเพื่อจะเอาขวดน้ำส้มสองขวดไปตัด ตัดแบบเถื่อนๆ ด้วยมีดที่ซุกซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่ง 

“มึงไม่ต้องรู้หรอก” แกตอบหลังจากที่เราถามเรื่องที่มาของมีด จากนั้นแกก็นั่งประกอบกล่องใส่แว่นที่ทำจากขวดน้ำส้มสองขวดแล้วอวดให้เราดูอย่างภูมิใจ 

“แบบนี้จะได้เอาขึ้นห้องได้ ไม่มีใครมาทับแตก แว่นมันหายาก มีไว้เยอะๆ หนะดี” 

ส่วนของกินหนะหรอ ที่แกจะกินประจำๆ เลยคือ ขนมปังปอนด์จิ้มนมข้นหวานแล้วโรยน้ำตาลอีกรอบ 

“ก็กูเป็นเบาหวาน เดี๋ยวน้ำตาลมันลงแล้วจะยุ่ง” นี่คือเหตุผลสนับสนุนการกินของแกเอง 

แกจะเก็บสองอย่างนี้ไว้อย่างมิดชิดเสมอ จะค่อยๆ ถ่ายเทนมข้นหวานจากกระป๋องลงสู่ขวดน้ำส้มขวดละ 5 บาทนั่นแหละ จะได้ปิดฝากันแมลงได้และไม่หกเลอะเทอะเวลาเก็บในลีอกเกอร์ แถมยังพกพาสะดวก 

อ่อ ลืมไป อีกอย่างหนึ่งก็คือ ยางวง แกจะเก็บยางวงคล้องไว้รอบๆ คอขวกน้ำของแกอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าทำไมแกถึงได้ชอบเก็บยางวง แต่แกว่าถึงเวลาจะใช้มันจะหาไม่ได้ ต้องมีเตรียมพร้อมไว้เสมอ

หลังจากวันนั้นเราก็เป็นตาแดง พี่จ๋าบอกเคล็ดลับเด็ดเพื่อรักษาตาแดงอย่างไวมาให้ แถมยังส่งเสบียงผ่านเส้นสายของแกขึ้นไปให้เราในห้องกักตัวนักโทษตาแดง จนพวกนักโทษอื่นๆ เกรงใจเรา 
พอหายจากตาแดงแล้ว 

กิจกรรมต่อมาที่พี่จ๋าพาไปทำก็คือ “ดูหมอ” แกจะพาเราไปดูหมอแทบทุกหมอในแดนแรกรับที่ว่าแม่น 

“พี่ไปดูมาแล้ว แม่นมากๆ ” แกการันตีด้วยตัวเองเสมอ

กิจกรรมตระเวนดูหมอเกิดขึ้นอยู่เกินครึ่งของเวลาในแดนแรกรับ เพราะทันทีที่มีนักโทษรับย้ายมาจากเรือนจำอื่น แกก็จะไปถามคนที่ย้ายมาว่า “มีหมอดูมามั่งไหม” และพี่จ๋าจะเป็นคนแรกๆ เสมอที่ค้นพบหมอดูที่ย้ายมาใหม่ 

จนบางคนได้ดิบได้ดีมีลูกค้าวันละ 10 ราย เพราะการโฆษณาของพี่จ๋านี่แหละ 

แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะชอบแกหรอกนะ เป็นธรรมดาของโลกใบนี้ หลายคนไม่ชอบแก โดยเฉพาะคนแก่ด้วยกัน บ้างก็ว่าแกกร่างบ้าง ปากไม่ดีบ้าง เรื่องมากบ้าง พูดเยอะบ้าง บางคนถึงกับจะวางมวยกันก็มี

แกไม่ใช่คนหาเรื่อง แต่ก็ไม่ยอมให้ใครมารังแกได้ และอย่าได้หวังว่าจะมารังแกคนที่แกเรียกว่า 
“คนของกู” ได้ด้วย 

และเมื่อมีคนเสื้อแดงมาใหม่ แกก็จะพามาแนะนำให้พวกเรารู้จักเพื่อจะจับกลุ่มกันไว้ คอยดูแลกัน แบ่งปันกัน 

“มึงมีเยอะ มึงต้องแบ่งพี่น้องเรา พวกเขาไม่มี” พี่จ๋าจะบอกกับเราเสมอว่าการแบ่งปันกันในหมู่พวกเราจะทำให้ไม่มีใครกล้าทำอะไร

แต่อีกนั่นแหละ “พวกเรา” ที่หมายถึงคนเสื้อแดงหนะนะ อยู่รวมกันก็ทะเลาะกันไม่ว่าจะในคุกหรือนอกคุก การมีปากเสียงกับ “พวกเรากันเอง” นั้นเป็นเรื่องปกติในแดนนี้ 

แต่ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะตัดความช่วยเหลือกันและกันได้จริงๆ ยิ่งเมื่อสถานการณ์นำพาให้ “พวกเรา” โดนจับมามากขึ้น ถี่ขึ้น ในจำนวนที่เพิ่มขึ้น

“ไม่ต้องพูดกับใครมาก อย่าไว้ใจใครทั้งนั้น เรื่องคดีไม่ต้องพูดกับใคร” แกกำชับกับทุกๆ คนเสมอเมื่อเข้ามาถึงแดนแรกรับ เพราะไม่มีข้อมูลอะไรปลอดภัยที่นั่น บางครั้งสายตำรวจอาจจะนั่งประกบอยู่ข้างๆ เราก็ได้ใครจะรู้ 

และแน่นอนว่าถ้า “พวกเรา” คนไหนพูดมาก แกก็จะเข้าไปเตือน ถ้าฟังก็ดีไป แต่ถ้าไม่ฟัง แกก็ให้ทุกคนตีตัวออกห่าง 

“เดี๋ยวจะพากันซวย ให้มันซวยคนเดียวพอ พูดมาก เตือนไม่ฟัง” แกว่าอย่างนั้น

แต่ไม่นานนัก พี่จ๋าก็ต้องย้ายแดน ครั้งแรกที่มีชื่อแกย้ายแดน แกไปขอร้อง ผ.บ.แดนว่าจะขอไม่ย้ายไปจนกว่าเราจะไปฟังคำตัดสิน แลกกับการไม่ก่อเรื่องในแดนแรกรับ

แต่พอมีรายชื่อครั้งที่สอง แกก็ไม่อาจจะยื้อเวลาต่อไปอีกได้แกชอบเปรยๆ ขึ้นมาว่าถ้าแกต้องไปจริงๆ พวกเราจะดูแลกันยังไง เราเองก็ไม่ดี้คำตอบอะไรชัดเจนนัก ได้แต่บอกให้แกสบายใจ และยอมย้ายแดนไปอยู่ในแดนของคนที่เด็ดขาดแล้ว

การย้ายแดนทำให้พี่จ๋าซูบผอมไปมาก ไม่เหมือนที่อยู่แดนแรกรับที่แกเปล่งปลั่งและมีพลังล้นเหลือ 

“ แดนนอกลำบากชิบหาย แต่กูฝึกไว้ เดี๋ยวต้องออกไปสู้ข้างนอก” 

แกตะโกนบอกพวกเราหลังจากที่ถูกทักว่าผอมลง จนพวกเราหัวเราะไปกับความระห่ำของแก 

แกทิ้งมรดกในล๊อกเกอร์ไว้ให้พวกเรามากมาย เพราะตัวแกขนไปไม่ไหว และไม่รู้จะเอาไปใช้อะไรในแดนนอก

ทุกๆ ครั้งที่พวกเรามีเรียกชื่อเยี่ยมญาติ แกจะออกมารออยู่หน้าประตูแดนของแก แล้วพยายามทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบของเราแต่ละคน เป็นแบบนี้ทุกครั้ง จนแกได้ปล่อยตัวไป 

สิ่งที่พี่จ๋าทำกลายเป้นเหมือนต้นแบบอะไรสักอย่างในการอยู่คุกของเรา

ใช่ คนที่เข้ามาใหม่จะไม่รู้อะไรเลยและเรียนรู้ได้ช้า ดังนั้นหน้าที่ของคนอยู่มาก่อนคือทำให้พวกเขาตั้งหลักเร็วขึ้น

เราค่อยๆ ดูแลคนใหม่แบบที่พี่จ๋าดูแลเรา 

“แต่มึงต้องเลือกด้วยนะ ไม่ใช่ช่วยทุกคนเหมือนกันหมด มึงไม่ได้มีมากขนาดนั้น เอาแค่เขาตั้งหลักได้ก็พอ อย่าให้เขามาเกาะมึง ไม่งั้นจะพากันตาย” 

พี่จ๋าบอกหลังจากที่เห็นเราเริ่มทุกข์เพราะธุระของคนอื่นมากเกินไป

วันที่เราตัดสิน พี่จ๋าไปที่ศาลด้วย พยายามจะร้องเพลงที่เพื่อนๆ ร้องให้เรา แต่ก็ได้แค่อ้อมแอ้ม ทั้งๆ ที่ตอนอยู่ในคุกเราก็ร้องให้แกฟังบ่อยๆ สงสัยเสียงเราจะไม่เข้าหูแกละมั้ง

พอได้มาเจอกันนอกคุก …. พี่จ๋ายังพูดจาหยาบคายและด่าได้อย่างเจ็บแสบเช่นเดิม 

แกยังเรียกเราว่าอีชะนีขี้แง ยังคงพยายามช่วยเหลือคนอื่นๆ ที่ออกจากคุก ทั้งๆ ที่ตัวแกเองก็ยังไม่แข็งแรงได้เท่าครึ้งหนึ่งของตอนอยู่ในคุก

เราแปลกใจเสมอว่าพี่จ๋าคนที่อยู่ในคุกนั้นถูกขโมยไปหรือเปล่า แววตาที่เคยภาคภูมิใจในตัวเองของแกหายไปในบางหน แกกลายเป็นแค่ผู้หญิงแก่ๆ ที่ “เคย” มีช่วงหนึ่งของชีวิตที่แสนจะภูมิในในฐานะฮีโร่

แต่ถ้าผลตอบแทนของการเป็น ฮีโร่ของแกจะจบลงที่การขายสมุนไพรและอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ เพียงลำพัง แกจะยังอยากเป้นฮีโร่อยู่ไหม เราไม่เคยถาม เพราะถ้าถามก็คงจะโดนด่า ว่าถามห่าอะไรไม่เข้าท่า

หลายต่อหลายครั้งที่เราคิดว่าเราควรจะดูแลคนอื่นๆ ได้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้ แต่ มันก็สายไปเสมอ สายไปตลอดมา เราไม่เคยเข้มแข็งได้ทัน ไม่เคยแข็งแรงได้ทัน ไม่เคยดูแลได้ทัน ไม่เคยทัน

วันสวดศพพี่จ๋าวันแรก คนไปเยอะมากหลากหลาย จนเราแอบยิ้มอิ่มใจว่าพี่จ๋าคงจะดีใจถ้ารู้ว่ามีคนรักและระลึกถึงแกมากขนาดนี้ มารวมตัวกันเพราะศรัทธาในตัวแกมากขนาดนี้ 

น่าเสียดายที่มันสายไป แกไม่ได้เห็นภาพนี้ ไม่แน่นะ ถ้าแกได้เห็นภาพแบบนี้ก่อนที่จะขาดใจตายไป 

แกอาจจะสู้มากกว่านี้ สู้เหมือนตอนที่เดินหาลูกอมเม็ดเดียวไปทั่วแดนแรกรับ เพื่อไม่ให้ตัวเองขาดน้ำตาล สู้เพื่อจะได้น้ำขวดใหญ่ สู้เพื่อจะมีข้าวกินทุกสามมื้อ สู้เพื่อจะดูแลน้องๆ ทุกคน สู้เพื่อให้มีชีวิตรอดออกไปเจอสิ่งที่ดีกว่าข้างนอก

แต่นั่นแหละ มันสายไป 

พรุ่งนี้ วันเผาพี่จ๋า เราบอกเล่าให้ทุกคนรู้ความเป็นพี่จ๋า ตอนที่อยู่ในคุกให้ทุกคนรู้ ด้วยการแสดงของเรา 

การแสดงที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นการแสดงแรกหลังออกจากคุกของเรา 

แต่เมื่อพี่จ๋าตายอย่างไม่มีแผน การแสดงของเราก็อยู่นอกแผนเช่นกัน คิวแรก บ่าย สองครึ่ง คงจะร้อนตรีนน่าดูเชียว

มีพี่สาว(ที่จริงๆ ก็แก่กว่าแม่) อีกคนหนึ่งรำพึงถามหลังจากรู้เรื่องพี่จ๋าแล้ว 

“นี่หรอวะ ผลตอบแทนของคนเสื้อแดงแบบไอ้จ๋า นี่หรอวะผลการตอบแทนของคนที่เสียสละตัวเอง ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวในห้องเช่าเล็กๆ นี่หรอวะ” 

เราไม่มีคำตอบเรื่องนี้ ทำได้แค่ถามคำถามนี้ต่อไปเรื่อยๆ

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: Facebook เรื่องของกรอฟฟฟฟ Kolf'story

 

เกี่ยวกับผู้เขียน: กอล์ฟ ภรณ์ทิพย์ มั่นคง ถูกตัดสินจำคุก 2 ปี 6 เดือนเมื่อวันที่ 23 ก.พ.2558 กอล์ฟถูกจับกุมจากข้อกล่าวหามีส่วนร่วมในละครเจ้าสาวหมาป่า จัดแสดงในงานรำลึก 14 ตุลาคม 2556 เธอถูกจองจำอยู่ที่ทัณฑสถานหญิงกลาง และ ณ สถานที่แห่งนั้น เธอได้มีโอกาสพบกับ จ๋า นฤมล วรุณรุ่งโรจน์ ผู้หญิงยิง ฮ.

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net