ไม่มีท้องนาที่เคยเก็บเกี่ยว
ลูกชายเคยช่วยพ่อแบกมัดกล้า
คันเบ็ดไม้ไผ่ของเด็กน้อย
และ แมลงปอสีส้ม
ซุ้มฟางในฤดูหนาว
อบอุ่นราว ไอรัก จากอ้อมกอดของแม่ยามป้อนนม
ส้มตำถาดรอบกองไฟ
เห็บหมัดของเจ้าด่างหางดำ
เสียงหัวเราะเยาะเหา บนผมรุงรังของพี่สาว
ในบ้านเกิด
เหย้าเรือนของญาติๆ ลูกพี่ลูกน้อง
เหลือแต่เพียงน้ำขอดบ่อ กลางทุ่งแห้งๆ
เครื่องยนต์สูบน้ำดับสนิท
รถไถนาจอดนิ่งขาดน้ำมันเชื้อเพลิง
คอกวัวควายว่างเปล่า,จอบเสียมมู่ทู่
ยุ้งฉางก็ว่างเปล่า สายตาของยายก็ว่างเปล่า
มองข้าวสารในถุงพลาสติก ปลากระป๋องจากร้านธงฟ้า
เม็ดยาพารา กาแฟซอง และบัตรคนจน
กี่ปีแล้ว ที่เป็นอยู่ในเมือง
น้ำเน่าท่วมขัง และฝนพิษซ้ำซาก
อาหารจานเดียว ข้าวหุงชื้นแฉะ
ผู้คนอดทนเบียดเสียดเต็มคัน
ทุกเช้า ทุกเย็น ทุกค่ำคืน เต็มไปด้วยสงคราม
เมืองที่ปูทับทุ่งสังหารด้วยผืนพรมอ่อนนุ่ม
ที่มีคนตายกลางย่านการค้าและแหล่งแฟชั่น
ภาพเด็กน้อยหัวเราะเยาะหยันศพ
กลางแสงเรืองรองของไฟ และพลุเทศกาล
เมืองที่คนกัดกินคนได้แทนข้าวปลา
ไม่เคยมีประวัติกรรมกรในหอจดหมายเหตุ
ไม่มีข่าวคนตายเพราะความอดอยาก
แม้เสียงจักรไฟฟ้ายังเงียบลง
ไม่มีบทเพลงรักจากทรานซีสเตอร์ของสาวโรงงาน
ทุกช่องสัญญาณประกาศเตือนเพียงค่านิยมของคนเมือง
ไม่มีอ้อมกอด
ไม่มีน้ำใจ
ไม่มีสิทธิ์
ไม่มีเสียงของผู้ทุกข์ยาก
อดทนมองปฏิทินหน้าเก่า ในความหวาดกลัว
หดมือที่จะฉีกดึง กลับไปในแสงมัวๆ ของบ้านมัวๆ
ทีวีช่องเดิม จอภาพหยุดนิ่ง
หยากไย่เกาะคลุมปุ่มรีโมทของคนเมือง
เมืองที่ถูกกดสั่งให้เงียบสงบ
เมืองที่ ฉีก ยิ้ม จน
ได้ยินแต่เสียงท้องร้อง
หมายเหตุ: อ่าน ในงาน "ประชาธิปไตยที่กินได้ การเมืองที่เห็นหัวคนจน" มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์ 16 ธันวาคม 2561