Skip to main content
sharethis

คำถามมิสยูนิเวิร์สรอบ 5 คนสุดท้าย เสรีภาพสื่อ-ผู้ลี้ภัย-#metoo-ขบวนการสิทธิสตรี-กัญชาถูกกฎหมาย แอมเนสตี้ฯ ชี้นำเสนอข่าวไม่ใช่อาชญากรรม เรียกร้องปล่อยตัวนักข่าวที่ถูกจับกุมทั่วโลก ให้ข้อมูลหญิงในพื้นที่ที่มีการสู้รบ ไนจีเรีย อิรัก ซูดานใต้ เมียนมา โดนทารุณทางเพศจากทหารในประเทศ และผู้ลี้ภัยไม่น้อยตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์-ยาเสพติด ถูกคุกคามทางเพศ

17 ธ.ค. 2561 จากการประกวดมิสยูนิเวิร์สประจำปี 2561 ซึ่งจัดขึ้นที่ประเทศไทย โดย แคทรีโอนา เกรย์ นางงามจากฟิลิปปินส์คว้ามงกุฎไปครองได้สำเร็จ และในรอบ 5 คนสุดท้ายเมื่อคืนที่ผ่านมา แอมเนสตี้ได้รวบรวม 5 คำถามคำตอบจากรอบ ซึ่งมีทั้งเรื่อง เสรีภาพสื่อ ผู้ลี้ภัย การเคลื่อนไหวของขบวนการสิทธิสตรี การประกวดนางงาม และกัญชาถูกกฎหมาย ดังนี้

เกียรา โอร์เตกา นางงามจากเปอร์โตริโก ได้คำถามว่า นักข่าวกว่าร้อยคนทั่วโลกถูกคุมขังในปีนี้ เนื่องจากเขียนวิจารณ์รัฐบาลของพวกเขา ทำไมคุณจึงคิดว่าเสรีภาพสื่อสำคัญ

โดยโอร์เตกาตอบว่า “สื่อมีหน้าที่ให้ข้อมูลข่าวสารกับเรา หน้าที่ของสื่อคือการบอกว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นบนโลกบ้าง ดังนั้นสื่อควรมีเสรีภาพอย่างเต็มที่เพื่อที่จะรายงานความจริงที่เกิดขึ้น แต่ก็ต้องมีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นด้วย เพราะมีผู้คนมากมายที่กำลังประสบปัญหามากมายอยู่บนโลกใบนี้ ขอบคุณค่ะ”

เห่อแฮน เนีย นางงามจากเวียดนาม ได้คำถามว่า คุณคิดว่าการเคลื่อนไหว #metoo ไปไกลเกินไปหรือไม่

โดยเนียตอบว่า “ฉันไม่คิดว่า #metoo ไปไกลเกินไป การปกป้องผู้หญิงและสิทธิของผู้หญิงเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ผู้หญิงต้องการการปกป้องและสิทธิ ขอบคุณค่ะ”

แคทรีโอนา เกรย์ นางงามจากฟิลิปปินส์ ได้คำถามว่า คุณมีความเห็นอย่างไรกับการทำให้กัญชาถูกกฎหมาย

เกรย์ตอบว่า “ฉันเห็นด้วยกับการใช้กัญชาในทางการแพทย์ แต่ไม่เห็นด้วยกับการใช้กัญชาเพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ ลองคิดดูว่าถ้ามีคนถามว่า "แล้วถ้าเป็นแอลกอฮอล์หรือบุหรี่ล่ะ?" ทุกอย่างดีทั้งนั้นถ้าใช้อย่างเหมาะสมค่ะ”

แทมมารีน กรีน นางงามจากแอฟริกาใต้ ได้คำถามว่า คุณคิดว่าประเทศต่างๆ ควรจำกัดจำนวนของผู้ลี้ภัยที่จะอพยพข้ามประเทศมาหรือไม่

กรีนตอบว่า “ฉันคิดว่าแต่ละประเทศควรมีกฎหมาย และระเบียบเป็นของตัวเอง แต่เพื่อสังคมที่เจริญและพัฒนายิ่งขึ้น และเพื่อพวกเราทุกคน เราต้องเข้าใจว่าทุกคนต่างเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เราต่างเหมือนกันมากกว่าแตกต่างกัน ดังนั้นเราจึงควรเปิดใจที่จะรักผู้อื่น ยอมรับกันและกัน ไม่ว่าจะมาจากที่ไหนก็ตาม”

เอสเตฟานิ กูติเอร์เรซ นางงามจากเวเนซุเอลา ได้คำถามว่า คุณคิดอย่างไรเมื่อมีคนพูดว่าการประกวดนางงามเป็นเรื่องโบราณและขัดต่อการเคลื่อนไหวของสตรีนิยม

กูติเอร์เรซตอบว่า “ทุกวันนี้เราอาศัยอยู่บนโลกที่พัฒนาไปมากแล้ว การประกวดนางงามไม่ได้อยู่แค่เรื่องความสวย แต่ยังมีเรื่องของความอ่อนไหวและจิตใจด้วย ในการประกวดนางงาม เราสามารถแสดงให้เห็นว่าผู้หญิงสามารถทำความฝันใดก็ได้ให้เกิดขึ้นจริงบนโลกได้”

นำเสนอข่าวไม่ใช่อาชญากรรม เรียกร้องปล่อยตัวนักข่าวที่ถูกจับกุมทั่วโลก

 

ทั้งนี้แอมเนสตี้ได้แสดงจุดยืนต่อคำถามบางข้อของการประกวด ดังนี้ ต่อกรณีความสำคัญของเสรีภาพสื่อ แอมเนสตี้ชี้ว่า เสรีภาพในการแสดงออกถูกพูดถึงเมื่อเกือบ 70 ปีมาแล้ว โดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติมีมติรับรอง “ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” (The Universal Declaration of Human Rights) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2491 โดยมีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับเสรีภาพในการแสดงออกและเสรีภาพของสื่อมวลชนไว้ในข้อที่ 19 ว่า

“ทุกคนมีสิทธิในอิสรภาพแห่งความเห็นและการแสดงออก สิทธินี้รวมถึงอิสรภาพในการที่จะถือเอาความเห็นโดยปราศจากการแทรกสอด และที่จะแสวงหา รับ และแจกจ่ายข่าวสาร และความคิดเห็นไม่ว่าโดยวิธีใดๆ และโดยไม่คำนึงถึงเขตแดน”

นักข่าวหรือสื่อมวลชนถือเป็นนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคนหนึ่ง เพราะพวกเขาคือคนที่ลงมือทำเพื่อปกป้องและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนโดยไม่ใช้ความเกลียดชัง การเลือกปฏิบัติ หรือความรุนแรง พวกเขาคือ “ผู้กล้า” ที่กล้าออกมาทำเพื่อส่วนรวม กล้าที่จะออกมายืนหยัดเพื่อสิทธิของเราทุกคน โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวหรือตีแผ่ความไม่เป็นธรรมในสังคม ภายใต้หลักการที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลกคือ “เสรีภาพในการแสดงออก”

ในวันที่พวกเขาถูกคุกคามจึงถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องแสดงพลังสนับสนุนการทำงานอันกล้าหาญของพวกเขา เพื่อให้พวกเขาทำงานได้อย่างปลอดภัยและเพื่อสังคมที่ดีขึ้น

แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเชื่อมั่นว่า “การนำเสนอข่าวไม่ใช่อาชญากรรม” ดังนั้นเมื่อนักข่าวในประเทศต่างๆ ถูกจับกุม คุมขังหรือถูกตั้งข้อหาเพียงเพราะการทำหน้าที่ในการรายงานข่าวหรือข้อเท็จให้สังคมได้รับทราบ แอมเนสตี้จะเรียกร้องให้ยกเลิกข้อกล่าวหาทั้งหมดและปล่อยตัวพวกเขาโดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข

ทั้งนี้เพราะเสรีภาพของสื่อมวลชนถือเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานที่ทุกประเทศต้องให้การเคารพและยอมรับตามที่กล่าวไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน

ชี้ข้อมูล หญิงในพื้นที่ที่มีการสู้รบ ไนจีเรีย อิรัก ซูดานใต้ เมียนมา โดนทารุณทางเพศจากทหารในประเทศ

 

ต่อกระแส #MeToo แอมเนสตี้ให้ข้อมูลว่า การเคลื่อนไหวในนาม Me Too ถือกำเนิดขึ้นมาตั้งแต่ 10 ปีที่แล้ว โดยนักเคลื่อนไหวชาวอเมริกัน ทาราน่า เบิร์ก ริเริ่มโครงการนี้ขึ้นเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศ โดยคำว่า Me Too นั้นมาจากการที่เบิร์กฟังประสบการณ์เลวร้ายของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแล้วพูดอะไรไม่ออก เธอได้แต่คิดในใจว่า ‘Me Too’ หรือ ‘ฉันก็เหมือนกัน’ เพราะเธอเองก็มีประสบการณ์เลวร้ายไม่ต่าง

ที่มาของกระแสการลุกขึ้นสู้ของผู้หญิงทั่วโลกโดยเฉพาะในอเมริกาและยุโรปนี้เริ่มจากข่าวฉาวคดีล่วงละเมิดทางเพศของโปรดิวเซอร์หนัง อย่าง ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน (Harvey Weinstein) ต่อมาไม่ใช่แค่สตรีที่ออกมาสารภาพผ่านการพิมพ์คำว่า Me too หรือ #MeToo เท่านั้น แต่ยังมีตัวแทนกลุ่มชายรักชายที่ออกมาบอกว่าตนเคยประสบปัญหาดังกล่าวกับตัวเช่นเดียวกัน

ในไอซ์แลนด์และสวีเดน มีการออกกฎหมายใหม่เพื่อนิยามว่า การข่มขืนครอบคลุมถึงการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้รับความยินยอม ในสหรัฐฯ ข้อกล่าวหาว่ามีการปฏิบัติมิชอบทางเพศ ส่งผลสั่นสะเทือนในแวดวงสถาบันที่ชายเป็นใหญ่ในฮอลลีวูด ท้าทายทศวรรษแห่งการลอยนวลพ้นผิด นอกจากนั้น มีรายงานว่า หนึ่งใน 10 ของเด็กผู้หญิงทั่วโลกถูกทำร้ายทางเพศก่อนอายุ 20 ปี ในขณะที่มีเพียงหนึ่งในสามของประเทศในประชาคมยุโรปที่มีกฎหมายรับรองว่า การมีเพศสัมพันธ์โดยปราศจากความยินยอมถือเป็นการข่มขืน ในที่อื่น ๆ จากการสัมภาษณ์ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ผู้หญิงในพื้นที่ที่มีการสู้รบทั้งในไนจีเรีย อิรัก ซูดานใต้ และเมียนมา ต่างบรรยายถึงความทารุณโหดร้ายจากความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นกับตน โดยมักเป็นการลงมือของเจ้าหน้าที่กองทัพของประเทศตนเอง

ส่วนข้อถกเถียงที่ว่า #metoo นั้นไปไกลเกินไปหรือไม่ มาจากกระแสและคำวิพากษ์วิจารณ์จากมุมมองที่ต่างกัน โดยบางคนมองว่า #metoo อาจนำไปสู่การจำกัดเสรีภาพทางเพศ หรือบางคนมองว่าการเปิดช่องให้ “ส่งเสียง” ในเบื้องแรกไม่ได้มาพร้อมกับกลไกการตรวจสอบที่รัดกุม จึงทำให้ฝ่ายผู้ถูกกล่าวหามักถูกลงทัณฑ์ทางสังคมอย่างรวดเร็ว หรือบางคนมองว่า แฮชแท็กนี้ทำให้สังคมเหนื่อยหน่ายและเกรี้ยวโกรธ มากกว่าจะเกิดความเห็นอกเห็นใจกัน

ผู้ลี้ภัยไม่น้อยตกเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด ถูกคุกคามทางเพศ

 

ต่อกรณีผู้อพยพ แอมเนสตี้ได้แสดงความเห็นว่า แน่นอนว่าการแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยั่งยืนคือ การยุติสงครามและความขัดแย้งที่รุนแรงต่าง ๆ หากแต่การแก้ปัญหาดังกล่าวต้องอาศัยเวลาที่ยาวนานมาก ในแต่ละวัน มีคนต้องลี้ภัยจำนวนกว่า 34,000 คนในระหว่างการลี้ภัย ผู้คนเหล่านี้ต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย อันได้แก่ การเดินทางลี้ภัยที่อันตรายต่อชีวิต เพราะหนทางการลี้ภัยของแต่ละคนนั้นมีได้หลากหลาย บ้างต้องเดินเท้าเป็นเวลาหลายวันเพื่อข้ามเขตแดนไปยังประเทศอื่น บ้างต้องหนีออกจากประเทศด้วยการลงเรือร่วมกับผู้คนอื่น ๆ จำนวนมาก และการถูกแสวงหาประโยชน์ เนื่องจากมีผู้ลี้ภัยจำนวนไม่น้อยที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์หรือการค้ายาเสพติด ด้วยความที่พวกเขาหวาดกลัวจากการประหัตประหารในประเทศของตนเองจึงยินยอมที่จะเดินทางไปกลุ่มคนลักลอบเข้าเมือง รวมถึงการถูกคุกคามทางเพศด้วยเช่นกัน

ตามหลักสิทธิมนุษยชน และหลักกฎหมายระหว่างประเทศมนุษย์ทุกคนมีสิทธิที่จะได้ที่ลี้ภัยไปยังประเทศอื่นให้รอดพ้นจากการประหัตประหารที่เกิดขึ้นในประเทศที่ตนเป็นพลเมืองอยู่ได้ ตามอนุสัญญาว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติปี 2494 และพิธีสารเลือกรับว่าด้วยสถานภาพของผู้ลี้ภัย (Optional Protocol Relating to the Status of Refugee) ปี 2510 ได้ระบุสิทธิของผู้ลี้ภัยหลายประการ ซึ่งรัฐผู้เป็นภาคีในอนุสัญญาและพิธีสารดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตามให้ผู้ลี้ภัยเข้าถึงสิทธิเหล่านั้น หากประเทศที่ให้การพักพิงลี้ภัยมีกฎหมายภายในเกี่ยวกับผู้ลี้ภัยเป็นการเฉพาะ ผู้ลี้ภัยต้องได้รับสิทธิและหน้าที่ได้กำหนดไว้ตามกฎหมายภายในที่เกี่ยวข้องนั้น ๆ หากประเทศที่ให้การพักพิงไม่มีกฎหมายภายในกำหนดไว้ ประเทศนั้น ๆ ต้องปฏิบัติต่อผู้ลี้ภัยตามหลักมนุษยธรรม

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net