มูลนิธิเพื่อผู้บริโภคชี้ค่ายา รพ.เอกชนสูงกว่า รพ.รัฐ 70-400 เท่า แนะดูตัวอย่างสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางสุขภาพระดับนานาชาติก็มีการควบคุมราคา ระบุหาก รพ.เอกชนคิดราคาเป็นธรรม ก็จะทำให้ผู้ใช้บริการมากขึ้น
21 ม.ค. 2562 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า พรุ่งนี้ (22 ม.ค.62) คณะรัฐมนตรี (ครม.) จะมีการพิจารณาและลงมติมติต่อมติของคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) ที่ได้เห็นชอบให้ค่ายา ค่าเวชภัณฑ์ และบริการทางการแพทย์ เป็นสินค้าควบคุมไปเมื่อวันที่ 9 ม.ค. ที่ผ่านมา
สารี อ๋องสมหวัง
สารี อ๋องสมหวัง เลขาธิการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค ได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวจากบางกอกโพสต์ลงในเฟซบุ๊ค Saree Aongsomwang ในคำถามว่า ทำไมต้องกำกับค่ายาและค่ารักษาพยาบาลรพ.เอกชน ดังนี้
1. ค่ายา วัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ควรอยู่ภายใต้ price controls ไหม?
ตอบ:ควรต้องอยู่ภายใต้การควบคุมราคา โดยยาได้ถูกประกาศให้เป็นสินค้าควบคุมภายใต้คณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) มาเป็นเวลาหลายปี แต่ที่ผ่านมามีการกำกับเพียงห้ามขายเกินสติกเกอร์ไพรซ์ (Sticker Price) แต่รงพยาบาลจะติดราคาเท่าไหร่ก็ได้ มาตรการสติกเกอร์ไม่สามารถกำกับราคายาได้ เพราะจากข้อมูลของคณะแพทย์รามาธิบดีที่มีการทำงานวิจัย พบว่า มีราคายาของโรงพยาบาลเอกชนที่สูงมากกว่าโรงพยาบาลรัฐถึง 70-400 เท่า
และมติกกร.ที่ผ่านมา ให้ ควบคุมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ด้วย เช่น ข้อเข่าเทียม ลิ้นหัวใจเทียม เป็นต้น
2. ราคาค่ายา ค่ารักษาพยาบาล ในเมืองไทยขณะนี้ สมเหตุสมผลหรือไม่?
ทำให้เป็นปัญหาการฟ้องคดีคนไข้กรณีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล เช่น ผ่าตัดหมอนรองกระดูก ตกลงราคา 430,000 บาท แต่เกิดการแพ้ยา ทำให้ต้องจ่ายเพิ่มอีก 230,000 บาท เมื่อไม่มีเงินจ่าย แทนที่จะมีการเจรจาต่อรองกับเลือกฟ้องคดี
ทำให้แพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ ต้องตกเป็นเครื่องมือของการทำกำไร ทำยอด ไม่ต่างจากนักการตลาดในธุรกิจทั่วไป
3. การที่จะเอาไปอยู่ภายใต้การควบคุมราคาจะทำให้สวนทางกับนโยบายรัฐในการที่จะให้ไทยเป็น medical hub หรือศูนย์กลางสุขภาพระดับนานาชาติหรือไม่?
ตอบ:กลุ่มองค์กรผู้บริโภคไม่ได้สนับสนุน medical Hub เพราะบุคลากรทางการแพทย์มีจำกัด หากส่งเสริมธุรกิจสุขภาพมาก ทำให้เกิดสมองไหลของบุคลากรทางการแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญไหลไปภาคเอกชน ค่ารักษาของระบบหลักประกันสุขภาพของประเ?สเพิ่มสูงมากขึ้นโดยไม่มีเหตุผล แต่ถึงแม้จะมีการทำ medical hub ก็ต้องกำกับค่ารักษาพยาบาล เช่น ประเทศสิงคโปร์เป็นตัวอย่างของประเทศที่ให้ความสำคัญกับ medical Hub มากแต่ก็มีการควบคุมราคา ทั้งที่ค่ารักษาพยาบาลของรพ.รัฐและเอกชนห่างกันเพียง 2.5 เท่า ปัจจุบันสิงคโปร์มีการจัดทำ Medical Fee Benchmark Guideline หากรพ.เอกชนคิดแพงเกินแนวทางต้องมีเหตุผลสมควร หากไม่มีเหตุผลต้องคืนเงินให้ผู้บริโภค ซึ่งประเทศไทย มีเรื่องร้องเรียนที่กระทรวงสาธารณสุขและองค์กรผู้บริโภคจำนวนไม่น้อย แต่แก้ปัญหาไม่ได้เพราะไม่มีหลักเกณฑ์ หรือแม้แต่ประเทศญี่ปุ่น และประเทศแคนาดา มีค่ารักษาพยาบาลที่ใกล้เคียงกันหรือเกือบเท่ากันระหว่างรพ.ของรัฐและเอกชน และโรงพยาบาลจำนวนมากเกือบทั่วโลกแม้แต่ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ยอมให้ธุรกิจโรงพยาบาลเข้าตลาดหลักทรัพย์
4. คิดว่าจะมีผลกระทบกับการดำเนินการ และแผนพัฒนาธุรกิจโรงพยาบาลโดยรวมหรือไม่?
5. มีทางออกที่เป็นที่พอใจทุกฝ่ายหรือไม่