ร้องเรียนคณะครุศาสตร์ จุฬาฯ ไม่ให้นิสิตข้ามเพศแต่งเครื่องแบบหญิง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งเพิกถอนจดหมายที่อนุญาติให้นิสิตข้ามเพศแต่งเครื่องแบบหญิงได้ และสั่งให้นิสิตแต่งเครื่องแบบชาย มิเช่นนั้นจะต้องโดนลงโทษอย่างรุนแรง อย่างไรก็ตาม อธิการบดีมีคำสั่งให้พักการใช้คำสั่งดังกล่าวแล้ว ขณะที่เริ่มมีกระแสการร้องเรียนว่านิสิตข้ามเพศต้องเผชิญกับการถูกเลือกปฏิบัติจาก อ.นิรันดร์ แสงสวัสดิ์ ของคณะครุศาสตร์ จุฬา ฯ มาตลอด 35 ปี

จิรภัทร นิสิตข้ามเพศคณะครุศาสตร์ กล่าวว่าตนได้ยื่นคำร้องต่อคณะครุศาสตร์ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2560 เพื่อขออนุญาตแต่งชุดนิสิตหญิงเข้าเรียนและเข้าสอบ แต่เนื่องจากจุฬาไม่เคยเขียนระเบียบในเรื่องนี้เอาไว้อย่างเป็นทางการ คณะครุศาสตร์จึงส่งเรื่องให้มหาวิทยาลัยพิจารณาผ่านฝ่ายกิจการนิสิต เพื่อพิจารณาแก้ไขข้อบังคับจุฬาว่าด้วยเครื่องแบบ เครื่องหมาย และเครื่องแต่งกายของนิสิต พ.ศ. 2553

ปกติแล้ว การแก้ไขระเบียบของจุฬาลงกรณ์เป็นกระบวนการที่ใช้เวลานาน ในระยะสั้น นิสิตข้ามเพศจึงยื่นคำร้องต่ออธิการบดีเพื่อขอแต่งชุดหญิงสำหรับเข้าพิธีรับพระราชทานปริญญาบัตรได้มาโดยตลอดอยู่แล้วตามข้อ 15 วรรค 2 ของระเบียบเดิม (ฉบับ พ.ศ. 2553) ซึ่งระบุว่า “...ในกรณีที่ข้อบังคับนี้ไม่ได้ระบุไว้ ให้อธิการบดีมีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาด”

มิพักต้องกล่าวว่าระเบียบใหม่เองก็มีปัญหา นาดา ไชยจิตต์ นักกิจกรรมเพื่อสิทธิคนข้ามเพศ และที่ปรึกษาทางกฎหมายของกลุ่ม Transpiration Power ให้สัมภาษณ์กับประชาไทว่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยมีความพยายามในการแก้ไขปัญหานี้ด้วยการแก้ระเบียบ แต่ระเบียบใหม่ก็ให้อำนาจดุลยพินิจกับคณบดีว่าจะให้หรือไม่ให้ก็ได้ ซึ่งผิดหลักการสิทธิมนุษยชนอยู่ดี

ระหว่างรอบังคับใช้ร่างระเบียบใหม่ จิรภัทรได้ส่งจดหมายอีกฉบับเพื่อขอใส่ชุดนิสิตหญิงกับคณะครุศาสตร์ โดยคณะให้อนุญาตแล้วในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2560 และออกจดหมายให้จิรภัทรสามารถแต่งชุดนิสิตหญิงได้เพื่อบรรเทาปัญหาให้แก่นิสิตไปก่อน อย่างไรก็ตาม วันที่ 15 พฤศจิกายน 2561 หลังอาจารย์ที่คณะท่านหนึ่งพบจิรภัทรในห้องเรียนจึงเริ่มประทุษร้ายทางวาจาด้วยถ้อยคำรุนแรง เช่น “ครุศาสตร์ที่ให้พวกกะเทยมาเรียนก็บุญแล้ว” ฯลฯ

จากนั้น อาจารย์คนดังกล่าวจึงออกคำสั่งให้ใส่ชุดนิสิตชาย หากไม่ใส่ชุดนิสิตชายจะประเมินให้สอบตกในวิชาบังคับ พร้อมกล่าวว่าจะให้คณะพิจารณาคำร้องที่อนุมัติไปแล้วเสียใหม่ ต่อมาวันที่ 11 มกราคม คณะจึงแจ้งกับจิรภัทรว่าได้เพิกถอนจดหมายที่อนุญาติให้จิรภัทรแต่งชุดนิสิตหญิงแล้ว โดยเธอต้องใส่เครื่องแบบชาย หากเธอไม่ใส่เครื่องแบบชาย เธอจะต้องถูกหักคะแนนความประพฤติ และอาจส่งผลให้เธอเสียสถานะความเป็นนิสิตในที่สุด

เนื่องจากไม่ได้รับความเป็นธรรม จิรภัทรจึงยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการรับเรื่องราวร้องทุกข์ของมหาวิทยาลัย จนในวันที่ 16 มกราคม มหาวิทยาลัยจึงออกประกาศทางเว็บไซต์ว่าคณะกรรมการฯ มีมติรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณาแล้ว และศาสตราจารย์ ดร. บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬา ฯ ได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริหารคณะครุศาสตร์ไว้ก่อน ซึ่งมีผลให้นิสิตคนดังกล่าวสามารถแต่งกายตามเพศสภาพได้จนกว่าคณะกรรมการพิจารณาฯ จะมีมติเป็นอย่างอื่น 

นาดา ไชยจิตต์ ให้สัมภาษณ์กับ MONO29 ว่า เธอและจิรภัทรจะขอให้มหาวิทยาลัยดำเนินการสืบสวน และผลักดันให้มหาวิทยาลัยเขียนข้อบังคับให้เป็นกิจจะลักษณะเพื่อยับยั้งไม่ให้ปัญหาเช่นนี้เกิดขึ้นอีก อย่างไรก็ตาม จิรภัทรไม่ใช่นิสิตข้ามเพศคนแรกที่เป็นเหยื่อของการเลือกปฏิบัติจากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

จากข้อมูลของ Nisit Review กลุ่มเรียกร้องการปฏิรูปจุฬา ฯ พบว่าอาจารย์วิชาจิตวิทยาสำหรับครูท่านหนึ่งใช้ถ้อยคำเหยียดหยามนิสิตข้ามเพศมาตลอด 35 ปี ขณะเดียวกัน เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ได้สร้างแคมเปญในเพจ Change.org โดยระบุว่าอาจารย์ที่พูดถ้อยคำดังกล่าวมีชื่อว่า ผศ.ดร.นิรันดร์ แสงสวัสดิ์ และขอเรียกร้องให้มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อสอบจริยธรรมของอาจารย์คนดังกล่าว 

ต่อมาวันที่ 21 มกราคม 2562 เวลา 14.54 น. ทัตเทพ เรืองประไพกิจเสรี ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คโดยระบุว่าตนและเพื่อน ๆ เข้ายื่นธง LGBT หนังสือสิทธิมนุษยชน และคำแถลงการณ์จาก Change.org ที่มีคนลงชื่อกว่า 5,000 คน (ข้อมูลล่าสุด ณ เวลา 02.07 น. วันที่ 24 มกราคม 2562 มีผู้ลงชื่อกว่า 15,687 คน) แล้วให้กับ ผศ. ดร. นิรันดร์ แสงสวัสดิ์ แต่อาจารย์รีบไปสอนเลยไม่รับสิ่งที่พวกตนตั้งใจมอบให้ และตอบกับกลุ่มนักกิจกรรมว่า "มุมมองของพวกเรามันต่างกัน จะเป็นครูได้นี่ต้องมองอะไรมากกว่าที่สังคมมองอีกเยอะ"

สถานการณ์สิทธิของ LGBT ในประเทศไทย

กรณีของจิรภัทรสะท้อนปัญหาภาพรวมที่ LGBT ต้องเผชิญในสังคมไทย โดยปัจจุบันชุมชน LGBT ต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติและความไม่เท่าเทียมเป็นประจำทุกวัน เช่นที่เกิดขึ้นกับจิรภัทร แต่ประเทศไทยกลับโฆษณาตนเองว่าเป็นประเทศที่เป็นมิตรกับ LGBT ในปี พ.ศ. 2556 กรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเปิดโครงการ “Go Thai, Go Free” ขึ้นเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว LGBT กรุงเทพได้รับฉายานามว่าเป็น “เมืองหลวงเกย์แห่งเอเชีย” และมีชื่อเสียงเกี่ยวกับแหล่งเที่ยวกลางคืนของคนรักเพศเดียวกัน นางงามข้ามเพศ และการผ่าตัดแปลงเพศ อย่างไรก็ตาม ฉากม่านแห่งการยอมรับกลุ่ม LGBT ดังกล่าวนับว่าผิวเผินอย่างมาก ประเทศไทยโฆษณาว่าตนเองเป็นแดนสวรรค์ แต่กลับไม่ให้ความคุ้มครองต่อประชากร LGBT ของตน การอภิปรายเกี่ยวกับเพศและเพศวิถียังคงเป็นข้อห้ามและการศึกษาเรื่องเพศในโรงเรียนยังสามารถทำได้อย่างจำกัด มิพักต้องกล่าวว่ากลุ่ม LGBT นั้นต้องใช้ชีวิตภายใต้แรงกดดัน เพื่อไม่ให้นำความอับอายมาสู่ครอบครัว

ชุมชน LGBT เป็นสิ่งที่คนไทยทนยอมรับได้ตราบที่ยังอยู่ในขอบเขตทางสังคมบางอย่าง ในสื่อของไทย ตัวละคร “กระเทย” หรือผู้หญิงข้ามเพศ มักถูกมองว่าเป็นตัวตลก และแทบไม่ถูกมองว่ามีบทบาทอย่างอื่นเลย ส่วนตัวละครเกย์ก็มักจะถูกนำเสนอในเชิงลบหรือไม่ก็เป็นตัวละครที่ตื้นเขิน ในภาพยนตร์ LGBT ต่าง ๆ มักถูกห้ามฉาย เช่น เรื่อง Insects in the Backyard ของ ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ เป็นต้น ทั้งที่มี พ.ร.บ. ความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 แต่กลุ่ม LGBT กลับได้รับได้รับการสนับสนุนทางกฎหมายเพียงน้อยนิด และแม้ว่าการรักคนเพศเดียวกันจะไม่ใช่อาชญากรรมในกฎหมายไทยอีกต่อไปแล้ว แต่กลุ่ม LGBT ในไทยก็ยังต้องเผชิญกับการกดขี่ในที่ทำงาน โรงเรียน และบ้านของตัวเอง 

รายงานจำนวนหนึ่งระบุว่า LGBT ไม่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือถูกไล่ออกจากงานหลังจากที่เปิดเผยเกี่ยวกับเพศวิถีของตัวเอง หรือไม่ก็ถูกตั้งคำถามอย่างไม่เหมาะสมเกี่ยวกับเพศสภาพและอัตลักษณ์ทางเพศระหว่างสัมภาษณ์งาน นักเรียนนักศึกษา LGBT ต้องเผชิญกับการระราน (harassment) และรังแก (bullying) จากครู และเพื่อนร่วมชั้น เพราะเพศสภาพและอัตลักษณ์ทางเพศของตน รายงานของ USAID ได้อ้างอิงงานวิจัยของ UNESCO องค์กร Plan International และมหาวิทยาลัยมหิดลในปี พ.ศ. 2557 พบว่าหนึ่งส่วนสามของนักเรียน LGBT จำนวน 2,000 คนเคยถูกระราน และมีส่วนน้อยเท่านั้นที่รายงานว่าตนถูกรังแก เยาวชนข้ามเพศมักถูกทำร้ายและลงโทษโดยครอบครัวเพราะว่าเป็นคนข้ามเพศ 

ภายใต้กฎหมายไทย บุคคลข้ามเพศยังไม่สามารถเปลี่ยนคำนำหน้าของตัวเองในเอกสารได้ แม้ว่าจะผ่าตัดแปลงเพศแล้วก็ตาม ส่วนโรงเรียนและมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมให้นิสิตนักศึกษาได้รับสิทธิในการแต่งกายตามอัตลักษณ์ทางเพศของตนเอง คู่รักเพศเดียวกันยังไม่สามารถแต่งงานได้อย่างถูกกฎหมาย และดังนั้นจึงไม่ได้รับสิทธิ์เหมือนกับคู่รักต่างเพศ เช่น สิทธิ์ในการเลี้ยงดูลูกบุญธรรม สิทธิ์ในการใช้นามสกุลของคู่ครองของตน สิทธิ์ในการเข้าถึงผลประโยชน์ทางสังคม สิทธิ์ในการตัดสินใจทางการแพทย์แทนคู่ครอง หรือสิทธิ์ในการได้รับวีซ่าแต่งงานในกรณีที่คู่ครองไม่มีสัญชาติไทย 

ประเทศไทยกำลังอยู่ในกระบวนการผ่านร่าง พ.ร.บ. คู่ชีวิต ถ้าหาก พ.ร.บ. ดังกล่าวผ่านสภา ไทยจะเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยอมรับสิทธิ์ของคนรักเพศเดียวกัน โดยนักกิจกรรมในประเทศกำลังพยายามทำงานเพื่อผลักดันให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมไทย แต่เนื่องจากไม่มีการดำเนินคดีอย่างโจ่งแจ้ง การคุ้มครองจึงยังไม่เกิดขึ้นเช่นเดียวกัน การเลือกปฏิบัติยังคงลอยนวลอยู่ภายใต้พื้นผิวของสังคมไทย ซึ่งอาจไม่ใช่แดนสวรรค์ที่ยอมรับ LGBT เหมือนอย่างที่ตนโฆษณา

[หมายเหตุ: ,uแก้ไขข้อมูลเมื่อวันที่ 24 มกราคม 2561 เนื่องจากได้รับการท้วงติงจากผู้ให้ข้อมูลว่าจิ รภัทรร้องเรียนไปเมื่อปี พ.ศ. 2560 และคณะให้อนุมัติแล้วจึงแต่งชุดนิสิตหญิง ไม่ใช่ร้องเรียนไปเมื่อ พ.ศ. 2561 และใส่ชุดนิสิตไปก่อนระหว่างที่มหาวิทยาลัยกำลังพิจารณา ประชาไทขออภัยเกี่ยวกับการให้ข้อมูลผิดพลาดไว้ ณ ที่นี้ด้วย]

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท