จุดเปลี่ยนประเทศไทย(1): มุมมองคนรุ่นใหม่ต่อการเมือง และการใช้โซเชียลมีเดีย

ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone เปิดภูมิทัศน์ คนรุ่นใหม่กับมุมมองทางการเมืองและการใช้โซเชียลมีเดีย ระบุกระแสคนรุ่นใหม่เกิดขึ้นทั่วทุกมุมโลก จากแรงบีบคั้นหลายมิติ ชี้ผู้ใช้ทวิตเตอร์จำนวนมากเป็นวัยรุ่นที่ปกติคุยกันเรื่องดาราเกาหลี แต่สนใจการเมืองด้วย แนะทวิตเตอร์ ยูทูบ ไลน์ เป็นช่องทางการสื่อสารที่มีกลุ่มผู้รับสารคนละกลุ่ม กังวลคุมหาเสียงออนไลน์อาจทำให้เกิด ‘สงครามตัวแทน’

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone ที่มาภาพจากเฟสบุ๊คไลฟ์มติชน

30 ม.ค. 2562 ที่โรงแรม พูลแมน คิงพาวเวอร์ สำนักข่าวมติชนได้จัดเวทีเสวนาหัวข้อ “เลือกตั้ง 62 จุดเปลี่ยนประเทศไทย” โดยมีวิทยากรประกอบด้วย ศาสตราจารย์สุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์ประจำภาควิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยง พงษ์พานิช ประธานกรรมการธนาคารเกียรตินาคิน รองศาสตราจารย์โคทม อารียา ที่ปรึกษาสถาบันสิทธิมนุษยชนและสันติศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ปริญญา เทวานฤมิตรกุล รองอธิการบดีฝ่ายความยั่งยืนและบริหารศูนย์รังสิต มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone  

ทั้งนี้เวทีแบ่งออกเป็นสองส่วน ในช่วงแรกเปิดเวทีให้วิทยากรทั้งหมดได้อภิปรายในประเด็นที่แต่ละคนเกี่ยวข้องและเชี่ยวชาญ จากนั้นเป็นเวทีเสวนารวม สำหรับอิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone ได้อภิปรายถึงเรื่อง มุมมองคนรุ่นใหม่ต่อการเมือง การใช้โซเชียลมีเดีย และการควบคุมการหาเสียงออนไลน์ของ กกต. โดยมีรายละเอียดดังนี้

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(2): ปริญญาแนะ คสช. ถอยเป็นคนกลาง ได้ ส.ว. 250 ควรพอได้แล้ว

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(3): โคทมเสนอช่วงเปลี่ยนผ่าน พรรคอันดับ 1 ควรดึง พปชร. ร่วมรัฐบาล

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(4): บรรยงอัดยุทธศาสตร์ชาติเกิดจากวิสัยทัศน์ชั่ววูบ ยันต้องยกเลิกเท่านั้น

จุดเปลี่ยนประเทศไทย(จบ): สุรชาติชี้ถึงเวลาปลดแอกที่สร้างโดยฝ่ายอนุรักษ์นิยม

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ : Landscape มุมมองคนรุ่นใหม่ต่อการเมือง และการใช้โซเชียลมีเดีย

อิสริยะ ไพรีพ่ายฤทธิ์ ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone พูดถึงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมุมมองการเมืองของคนรุ่นใหม่ โดยระบุว่า ประเด็นเรื่องคนรุ่นใหม่ไม่ได้เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายมุมโลก เช่น การประท้วงที่ประเทศฝรั่งเศส ของกลุ่มเสื้อกั้กเหลือง ซึ่งเป็นข่าวใหญ่ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา คนที่ออกมาประท้วงส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ และประเด็นที่ออกมาประท้วงไม่ใช่ประเด็นการเมือง แต่เป็นประเด็นเรื่องเศรษฐกิจ เพราะพวกเขารู้สึกว่าชีวิตของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ถูกบีบคั้นอย่างมาก สินค้าแพง น้ำมันแพง อาหารขึ้นราคา และมีความเหลื่อมล้ำสูง สภาวะแบบนี้กำลังเกิดขึ้นกับคนรุ่นใหม่ทั้งโลก ไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

เขากล่าวต่อว่า ในอีกด้านหนึ่งการบีบคั้นไม่ได้เกิดจากสภาพเศรษฐกิจ และสังคมเท่านั้น แต่มีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีด้วย เมื่อเทคโนโลยีพัฒนามากขึ้น ก็เกิดการทำลายอุตสาหกรรมเดิม ยกตัวอย่างเช่นร้าน amazon go ซึ่งไม่ได้ใช้แรงงานมนุษย์แล้ว แต่มีการใช้กล้องและเซ็นเซอร์ในการให้บริการ เมื่อลูกค้าเข้าไปในร้านและเลือกหยิบสิ้นค้า ระบบก็จะรู้ทันทีว่า ลูกค้าซื้ออะไร ราคาเท่าไร ซึ่งนี่คือการท้าทายอุตสาหกรรมค้าปลีกที่มีอยู่เดิม

อิสริยะยังกล่าวต่อไปว่า ปัจจัยเรื่องการเมืองเองก็มีส่วนในการบีบคั้นคนรุ่นใหม่เช่นกัน ยกตัวอย่าง ในปี 2016 การเมืองการเลือกตั้งประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาได้ โดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นเป็นประธานาธิบดี สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือความแยกแตกในสังคมอเมริกัน ต่อมาในการเลือกตั้งมิดเทอมช่วงปลายปี 2018 ก็เกิดปรากฏการณ์ที่คนรุ่นใหม่ได้เข้าไปเป็น ส.ส. ในรัฐสภาเยอะเป็นประวัติการณ์ เพราะเกิดจากความรู้สึกของคนรุ่นใหม่ที่ไม่ชอบการเมืองในแบบของ โดนัลด์ ทรัมป์ จึงลงสมัครเป็น ส.ส. เองเพื่อส่งเสียงของคนรุ่นใหม่ให้ดังขึ้นในรัฐสภา

เขายังยกตัวอย่างประเด็นที่มีนัยสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ ชัยชนะในการเลือกตั้งของบาร์เทนเดอร์สาววัย 29 ปี คือ อเล็กซานเดรีย คาโอซิโอ-คอร์เตช สังกัดพรรคเดโมแครต ซึ่งได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งที่เป็นนักการเมืองรุ่นใหญ่ซึ่งเป็นอดีต ส.ส. มานานถึง 20 ปี อย่างไรก็ตามยังมีการโจมตีทางการเมืองเกิดขึ้นโดยมีคนนำคลิปที่เธอเต้น ในช่วงที่ยังเรียนมหาวิทยาลัยมาเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย เพื่อชี้ให้เห็นว่าเธอเคยมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมมาก่อนที่จะได้รับเลือกตั้ง สิ่งที่เธอโต้ตอบกลับไปคือ เธออัดคลิปเต้นที่หน้าห้องทำงานของเธอเอง และโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย ซึ่งปรากฏการณ์นี้ทำให้ขนบของการเมืองแบบเดิมเริ่มเปลี่ยนแปลง

เขากล่าวต่อว่า เมื่อมองย้อนกลับมาที่ประเทศไทย การเลือกตั้งครั้งสุดท้ายที่มีผลในทางปฎิบัติคือ การเลือกตั้งในปี 2554 นับมาถึงวันนี้ผ่านมาถึง 8 ปีแล้ว มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกในปี 2554 เวลานี้มีอายุ 26 ปี ส่วนผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งครั้งแรกในปี 2562 เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมามีอายุเพียง 10 ปี ตามสถิติที่รวบรวบโดย iLaw คนที่มีอายุระหว่าง 18-26 ปี มีจำนวนประมาณ 6.4 ล้านคน เทียบกับจำนวนผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งทั้งหมด 52 ล้านคน พบว่ามีสัดส่วนมากถึง 12% นี่จึงเป็นปัจจัยใหม่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทยนานแล้ว ที่คนรุ่นใหม่จะมีบทบาทในทางการเมืองมากขนาดนี้ แต่คำถามสำคัญคือ คนกลุ่มนี้จะเลือกใคร

อิสริยะอ้างอิงข้อมูลจาก WISESIGHT ซึ่งเป็นสถิติข้อมูลจากใช้โซเชียลมีเดียลของไทย ที่แสดงข้อมูลสำคัญที่มีการโพสต์ในเฟสบุ๊คและทวิตเตอร์ คือคำว่า เลือกตั้ง โดยพบว่านับตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2561 – 28 ม.ค. 2562 มีผู้ใช้เฟสบุ๊คพูดถึงคำว่า เลือกตั้ง ประมาณ 5 แสนข้อความ และหากนับการมีส่วนร่วม (Engagement) เช่น ไลค์ คอมเม้นท์ แชร์ รวมทั้งหมดแล้วมีจำนวน 17 ล้านครั้ง โดยช่วงที่มีการพูดถึงคำว่า เลือกตั้ง พบว่าเป็นช่วงปลายปี 2561 และ ช่วงต้นปี 2562 ซึ่งคาดเดาได้ว่า ยิ่งเข้าใกล้การเลือกตั้งจำนวนการพูดคุยเรื่องเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นไปอีก

ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ Blognone ชี้ให้เห็นว่า โซเชียลมีเดียที่มีบทบาทสำคัญ และยังไม่มีคนพูดถึงมากนักคือ ทวิตเตอร์ ยูทูบ และ ไลน์ สำหรับทวิตเตอร์ เป็นพื้นที่ที่คนรุ่นใหม่เข้าไปใช้งานจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงที่มีข่าวเลื่อนเลือกตั้ง คือปฏิกิริยาของผู้ใช้ทวิตเตอร์ที่พร้อมใจกันติดแฮชแท็ก “เลื่อนแม่มึงสิ” จนติดอับดับที่ 1 ของแฮชแท็กในประเทศไทย และที่สำคัญผู้ใช้ทวิตเตอร์จำนวนมากเหล่านี้คือวัยรุ่น ที่ปกติมักคุยกันเรื่องดาราเกาหลี แต่เมื่อมีการเลื่อนเลือกตั้ง หรือในช่วงใกล้เลือกตั้ง พวกเขาคุยกันเรื่องการเลือกตั้ง เรื่องบัตรเลือกตั้งที่เหลือแค่ใบเดียว จะเลือกใครพรรคไหนดี และจำนวนของการโต้ตอบกันในทวิตเตอร์มีจำนวนมหาศาล

สำหรับยูทูบ เขาเผยว่า เมื่อเข้าไปค้นหาคำว่า เลือกตั้ง สิ่งแรกที่เจอคือ ข่าวของสำนักข่าวต่างๆ แต่ถ้าคัดข่าวเหล่านี้ออกไป สิ่งที่พบคือ คลิปของผู้ใช้ยูทูบรายย่อย เช่น เพลงล้อเล่น และคลิปของ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ซึ่งข้อมูลนี้แสดงให้เห็นว่า กลุ่มผู้ฟังยูทูบ เป็นคนละกลุ่มกับผู้ใช้ทวิตเตอร์ และผู้ใช้ยูทูบส่วนมากเป็นคนที่ไม่ถนัดในการอ่านเนื้อหายาวๆ แต่ชอบดูและฟังมากกว่า ซึ่งนี่เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการสื่อสารกับคนอีกกลุ่มหนึ่งได้

ส่วนไลน์ เขาระบุว่าเมื่อมีแบรนด์ต่างๆ เข้ามาใช้ช่องทางการสื่อสารในไลน์   ส่วนมากจะเปิดไลน์ออฟฟิเชียลให้คนกดติดตาม เพื่อส่งข่าวสารไปถึงกลุ่มผู้ติดตาม แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ ผู้ใช้ไลน์จำนวนมากมักจะบล็อคการส่งข้อความเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าน่ารำคาญ แต่สิ่งที่นิยมส่งต่อกันทางไลน์มีลักษณะเป็นข้อความแบบ Forward mail หรือเรียกง่ายๆ ว่า เป็นการกด Copy และส่งต่อไปในไลน์ กระจายข้อความต่อๆ กันไปในห้องแชท ซึ่งในทางการนับจำนวน เวลานี้ยังไม่สามารถสำรวจได้ว่า ข้อความในลักษณะนี้กระจายไปมากน้อยขนาดไหน แต่คาดเดาได้ว่าในการเลือกตั้งครั้งนี้จะเกิดการส่งต่อข้อความลักษณะนี้ทั้งในเชิงบวก และเชิงลบ โจมตีคู่แข่งจำนวนมาก

ท้ายสุด อิสริยะพูดถึงระเบียบของคณะกรรมการการเลือกตั้งในการหาเสียงออนไลน์ ที่ทำให้นักการเมืองหลายคนยุติการใช้โซเชียลมีเดียชั่วคราว ซึ่งหากพิจารณาการเสพสื่อของคนรุ่นใหม่แล้ว สามารถพูดได้ว่า 100% อยู่บนโซเชียลมีเดีย คนกลุ่มนี้ไม่ได้ดูทีวี ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ไม่ได้รับสื่อช่องทางอื่นนอกจากโซเชียลมีเดียช่องทางเดียว   นั่นแสดงว่าตลาดออนไลน์มีความต้องการคอนเทนต์ที่เกี่ยวกับการเมืองการเลือกตั้ง แต่ กกต. พยายามสกัดกั้นไม่ให้พรรคการเมือง และนักการเมือง สื่อสารกับฐานเสียงของตัวเองได้โดยตรง สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ สงครามตัวแทน หรือการเปิดบัญชีนิรนามเพื่อสื่อสารกับฐานเสียงแทนนักการเมือง และอาจจะพบกับการโจมตีทางการเมืองที่ลื่นไหลกว่าเดิม เพราะนักการเมืองไม่ได้รับผิดชอบเองโดยตรง ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่ดีเท่าใดนัก

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท