Skip to main content
sharethis

คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ ม.รังสิต ชี้นโยบายสวัสดิการและแนวทางรัฐสวัสดิการตามที่พรรคการเมืองต่างๆ นำเสนออาจส่งผลต่อฐานะทางการคลัง หากไม่มีการปฏิรูประบบภาษีและระบบงบประมาณ ลดการจัดซื้ออาวุธโดยกองทัพและลดการทุจริตรั่วไหลจากงบการใช้จ่ายภาครัฐ 


ที่มาภาพประกอบ: Wutthichai Charoenburi (CC BY 2.0)

17 ก.พ. 2562 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่าขณะนี้พรรคการเมืองต่างๆได้แข่งขันกันนำเสนอนโยบายโดยเฉพาะนโยบายทางด้านเศรษฐกิจและสวัสดิการต่างๆ บางพรรคการเมืองเสนอให้ไทยพัฒนาสู่ระบบรัฐสวัสดิการ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชน อย่างไรก็ตามข้อเสนอนโยบายทางด้านสวัสดิการต่างๆ และการก้าวสู่ระบบรัฐสวัสดิการนั้นยังไม่สามารถทำได้ในขณะนี้และอาจส่งผลกระทบต่อฐานะทางการคลังได้หากไม่มีการปฏิรูประบบภาษีและระบบงบประมาณ ลดการจัดซื้ออาวุธโดยกองทัพและลดการทุจริตรั่วไหลจากงบการใช้จ่ายภาครัฐ 

โดยประเทศที่ใช้ระบบรัฐสวัสดิการนั้นต้องมีสัดส่วนของรายได้ภาษีต่อจีดีพีไม่ต่ำกว่า 40-50% และมีรายจ่ายทางด้านสวัสดิการสังคมต่อจีดีพี 25-30% ขึ้นไป ขณะที่ประเทศไทยมีสัดส่วนรายได้ภาษีต่อจีดีพี 15-18% เท่านั้น นอกจากนี้ไทยยังจำเป็นต้องปรับโครงสร้างงบประมาณโดยลดสัดส่วนของงบประจำลงด้วยการปรับปรุงระบบราชการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดการใช้จ่ายเงินงบประมาณจำนวนมากในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ และ ป้องกันการทุจริตรั่วไหลจากการใช้จ่ายเงินภาครัฐ นโยบายและมาตรการต่างๆของหลายพรรคการเมืองมุ่งไปที่การดูแลคนยากจนและผู้มีรายได้น้อยเป็นนโยบาย “เอื้อคนจน” (Pro-poor policy) เป็นเรื่องที่ดี นโยบายเหล่านี้ล้วนเป็นประโยชน์ในการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ เพิ่มความเป็นธรรมทางสังคม รวมทั้งมีผลต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ หลังจากที่หลายปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจเติบโตเฉพาะเศรษฐกิจฐานบน ขณะที่เศรษฐกิจฐานรากยังมีความอ่อนแออยู่    

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ระบุว่าพรรคการเมืองต่างๆ ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าจะนำเงินงบประมาณจากส่วนไหนมาจัดสรรหรือเก็บภาษีจากไหนมาใช้ให้เป็นไปตามนโยบายต่างๆ ที่ได้ประกาศเอาไว้โดยไม่ก่อให้เกิดปัญหาฐานะทางการคลังและปัญหาวินัยการเงินการคลัง การสามารถอธิบายได้ว่า จะจัดสรรงบประมาณอย่างไร จัดสรรทรัพยากรอย่างไร จะทำให้เราทราบถึงจุดยืนของพรรคการเมืองและเห็นว่าพรรคการเมืองให้ความสำคัญกับเรื่องใดชัดเจนขึ้น รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งอาจจำเป็นต้องเก็บภาษีลาภลอย ภาษีทรัพย์สินเพิ่มเติม หรือ เก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ภาษีมรดกในอัตราก้าวหน้ามากขึ้น หรือ ศึกษาการเก็บภาษีจากกำไรการซื้อขายในตลาดทุน เป็นต้น 

นอกจากนี้ รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งต้องเสนอให้มีการตัดลดงบประมาณในการจัดซื้ออาวุธ ในช่วงที่สี่ปีที่ผ่านมา มีการจัดซื้อรถถังไปแล้ว 52 คันเป็นเม็ดเงินงบประมาณ 9.2 พันล้านบาท จัดซื้อเรือดำน้ำด้วยงบผูกพันมูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท เป็นต้น หากสามารถลดงบประมาณที่ไม่จำเป็นลง ลดการรั่วไหล ลดความสูญเปล่าและเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งบประมาณให้ตรงเป้าหมาย ลดการจัดซื้ออาวุธลงได้ ทำให้รัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้งสามารถจัดสรรงบประมาณเพื่อสวัสดิการสำหรับประชาชน และ เพื่อการลงทุนได้ต่างๆ ได้ไม่ต่ำกว่า 2-5 แสนล้านบาท 

ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้ายว่าขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจรัฐก็ไม่ควรใช้ “กรอบยุทธศาสตร์ 20 ปี” และ “พ.ร.บ วินัยการเงินการคลัง” มาบังคับใช้อย่างไม่เป็นธรรมหรือทำให้พรรคการเมืองต่างๆ มีความยากลำบากในการนำเสนอนโยบายสาธารณะที่จะตอบสนองความต้องการของประชาชน พรรคการเมืองขาดความยืดหยุ่นและขาดความเป็นอิสระในการนำเสนอนโยบายหรือทำให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งมีความยากลำบากในการดำเนินการตามนโยบายที่สัญญาไว้กับประชาชน อย่างไรก็ตาม หากผู้มีอำนาจกำกับการทำงานอย่างมีธรรมาภิบาลและตรงไปตรงมาก็จะช่วยถ่วงดุลไม่ให้มีการนำนโยบายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาวินัยการเงินการคลังและความเสี่ยงต่อระบบเศรษฐกิจมาใช้ในการหาเสียงได้ มองในแง่บวก พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลัง ด้านหนึ่งอาจทำให้พรรคการเมืองเวลานำเสนอนโยบายต้องคิดให้ละเอียดรอบคอบ มีการศึกษาวิจัย ว่าจะนำเงินรายได้ นำงบประมาณมาจากไหนเพื่อสนับสนุนนโยบาย ไม่ให้เกิดปัญหาทางการเงินการคลังในระยะยาว 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net