Skip to main content
sharethis

ก.แรงงาน หารือแนวทางการดำเนินการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์/จับแก๊งปลอมพาสปอร์ตต่ออายุแรงงานข้ามชาติทำงานในไทยกว่า 10 ปี เงินหมุนเวียนหลายล้านบาท/พยาบาลหวั่นโดนเบี้ยวบรรจุข้าราชการ 2,900 อัตรา/ย้ำให้ความรู้นายจ้างเข้าใจ กม.เปิดทางเด็กอาชีวะไร้สัญชาติเรียนทวิภาคีได้ฝึกงาน/ครม.ไฟเขียวยืดเวลาส่งเงินสมทบกว่า 1.8 หมื่นล้าน

ครม.ไฟเขียวยืดเวลาส่งเงินสมทบกว่า 1.8 หมื่นล้าน

พล.ต.อ. อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่าในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ กระทรวงแรงงานได้เสนอร่างประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง ขยายกำหนดเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง และผู้ประกันตน ในท้องที่ที่ประสบภัยพิบัติ พ.ศ. .... เพื่อให้คณะรัฐมนตรีเห็นชอบและประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบร่างประกาศดังกล่าว ซึ่งจะทำให้นายจ้างและผู้ประกันตนที่อยู่ในท้องที่ที่ที่เกิดวาตภัยและอุทกภัยจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "ปาบึก" "(PABUK)" จำนวน 23 จังหวัด ได้แก่ 1) กระบี่ 2) จันทบุรี 3) ชุมพร 4) ชลบุรี 5) ตรัง 6) ตราด 7) นครศรีธรรมราช 8) นราธิวาส 9) ประจวบคีรีขันธ์ 10) ปัตตานี 11) พังงาน 12) พัทลุง 13) เพชรบุรี 14) ภูเก็ต 15) ยะลา 16) ระนอง 17) ระยอง 18) สงขลา 19) สตูล 20) สมุทรปราการ 21) สมุทรสงคราม 22) สมุทรสาคร และ 23) สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นนายจ้างในสถานประกอบการจำนวน 129,981 แห่ง มีผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จำนวน 3,517,817 คน และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จำนวน 411,358 คน รวมทั้งสิ้น 3,929,175 คน

พล.ต.อ.อดุลย์ฯ กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างประกาศกระทรวงแรงงานฉบับนี้จะขยายเวลาการยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้าง สำหรับค่าจ้างงวดเดือน ธ.ค. 61 - ก.พ. 2562 โดยยื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบ ภายในวันที่ 15 เม.ย. 2562 และขยายกำหนดเวลาการนำส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนตามมาตรา 39 สำหรับเงินสมทบที่ต้องนำส่งประจำงวดเดือนเดือน ธ.ค. 2561 - ก.พ. 2562 โดยให้นำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนภายในวันที่ 15 เม.ย. 2562

ทั้งนี้ การขยายเวลายื่นแบบรายการแสดงการส่งเงินสมทบและการนำส่งเงินสมทบของนายจ้างตามมาตรา 47 และขยายเวลาการนำส่งเงินสมทบเข้ากองทุนของผู้ประกันตน ตามมาตรา 39 นายจ้างและผู้ประกันตนไม่ต้องชำระเงินเพิ่มตามกฎหมายภายในกำหนดระยะเวลาที่ขยายออกไป สำหรับการยืดเวลาการจ่ายเงินสมทบของนายจ้างเป็นเวลา 3 เดือนนั้น คิดเป็นวงเงินเดือนละประมาณ 6,000 ล้านบาท รวม 3 เดือน รวมเป็นเงินทั้งสิ้นประมาณ 18,000 ล้านบาท

แต่หากพ้นกำหนดเวลาที่ขยายออกไปตามมาตรการแล้ว นายจ้างและผู้ประกันตนไม่ส่งเงินสมทบ จะถือว่านายจ้างและผู้ประกันตนไม่นำส่งเงินสมทบภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด โดยนายจ้าง ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือน ของจำนวนเงินสมทบที่ยังมิได้นำส่งนับแต่วันวันถัดจากวันที่มีหน้าต้องนำส่งเงินสมทบ และสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ต้องจ่ายเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 2 ต่อเดือนของจำนวนเงินสมทบที่ยังมิได้นำส่งนับแต่วันถัดจากวันที่ต้องนำส่งเงินสมทบ

"กระทรวงแรงงานขอยืนยันว่าการขยายกำหนดระยะเวลาดังกล่าว ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จะไม่ได้รับผลกระทบต่อการใช้สิทธิรับผลประโยชน์ทดแทน เนื่องจากมาตรา 47 ให้ถือว่าผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบแล้วทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้าง และผู้ประกันตนตามมาตรา 39 จะไม่มีผลต่อสถานภาพการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 39 ดังนั้นขอให้ผู้ประกันตน มั่นใจได้ว่าจะสามารถใช้สิทธิรับผลประโยชน์ทดแทนได้ตามปกติ" พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวในท้ายสุด

ที่มา: Nation TV, 18/2/2562

'ก.แรงงาน - จุฬาฯ' จ่อ MOU ตั้งศูนย์วิจัยแรงงานแห่งชาติ รองรับเทคโนโลยี 4.0

นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย ศาสตราจารย์ นายแพทย์ เกียรติ รักษ์รุ่งธรรม รองอธิการบดี กำกับดูแลด้านการวิจัย พัฒนา และนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธานการประชุมที่ปรึกษาและคณะกรรมการอำนวยการศูนย์วิจัยแรงงานแห่งชาติ ครั้งที่ 1/2562 โดยมี ผู้บริหารกระทรวงแรงงานและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเข้าร่วมการประชุมในครั้งนี้ด้วย

โดยในการประชุมฯ ได้มีการพิจารณาถึงแนวทางความร่วมมือในการจัดตั้งศูนย์วิจัยแรงงานแห่งชาติ ระหว่างกระทรวงแรงงาน และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อกำหนดนโยบายและกรอบแนวทางความร่วมมือ และการดำเนินงานร่วมกันอย่างชัดเจน ซึ่งได้พิจารณาจัดทำร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาการวิจัยและนักวิจัยด้านแรงงานระหว่างกระทรวงแรงงานกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และร่างกำหนดการพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ เพื่อให้ที่ประชุมร่วมกันพิจารณา

นายจรินทร์ กล่าวว่า สาระสำคัญของร่างบันทึกข้อตกลงความร่วมมือในการพัฒนาการวิจัยและนักวิจัยด้านแรงงาน ระหว่างกระทรวงแรงงานกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และร่างกำหนดการพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือฯ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและบรรลุตามวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เป็นศูนย์ประสานความร่วมมือด้านการวิจัย ระหว่างสองหน่วยงาน เพื่อสร้างความร่วมมือเชิงวิชาการกับเครือข่ายกับสถาบันการศึกษา ภาครัฐ ภาคเอกชน และระหว่างประเทศ 2) เพื่อพัฒนาศักยภาพนักวิจัยของกระทรวงแรงงานและจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

3) เพื่อกำหนดประเด็นการวิจัยที่สำคัญและดำเนินการวิจัยร่วมกัน ในการพัฒนาแรงงานให้สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) 4) เพื่อพัฒนาความร่วมมือทางวิชาการและรองรับความร่วมมือกับภาคีด้านแรงงานทั้งในและต่างประเทศ และ 5) เพื่อพัฒนาฐานข้อมูลด้านแรงงานเป็น Big data และการพัฒนาบุคลากรด้านการวิเคราะห์ข้อมูล ในการวิจัยเชิงนโยบายเพื่อให้เกิดประโยชน์ทางวิชาการและประโยชน์ต่อประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาลและ รมว.แรงงาน

ทั้งนี้ การเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีแบบก้าวกระโดด (Disruptive technology) และปัญญาประดิษฐ์จะส่งผลต่อตลาดแรงงานทั้งในระบบและนอกระบบ รวมทั้งผู้ประกอบการ กระทรวงแรงงาน จึงได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อดำเนินงานจัดตั้งศูนย์วิจัยแรงงานแห่งชาติ ให้เป็นศูนย์ที่สามารถบูรณาการและบริหารจัดการฐานข้อมูลด้านแรงงานของประเทศได้อย่างครบวงจร รวมถึงเป็นศูนย์กลางในการศึกษาวิจัยประเด็นด้านแรงงาน ยกระดับการพัฒนาฐานข้อมูลและใช้ประโยชน์จากงานวิจัยประกอบการตัดสินใจเชิงนโยบาย รวมถึงเป็นฐานข้อมูลที่ทุกภาคส่วนสามารถนำไปใช้ประโยชน์ และสามารถวางแผนอนาคตในการพัฒนาแรงงานให้ก้าวทันและรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุค 4.0 ได้อย่างยั่งยืนและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด

ที่มา: Voice TV, 17/2/2562

ย้ำให้ความรู้นายจ้างเข้าใจ กม.เปิดทางเด็กอาชีวะไร้สัญชาติเรียนทวิภาคีได้ฝึกงาน

ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร รมช.ศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะกรรมการสภาการศึกษา (กกส.) ครั้งที่ 1/2562 เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ได้มีการหารือแนวทางความร่วมมือการจัดการศึกษาระบบทวิภาคี ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) กรณีผู้เรียนไม่มีสัญชาติ ซึ่งยังมีข้อจำกัดที่สร้างความเหลื่อมล้ำ เนื่องจากผู้เรียนไม่มีหลักฐานบุคคลในระบบทะเบียนราษฎร์ ทำให้ การจ้างงานบุคคลที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ในสถานประกอบการที่มีกว่า 50,000 แห่ง อาจถูกตรวจสอบและมีความผิดพลาดจากการไม่ปฏิบัติตามข้อบังคับของทางราชการได้ ซึ่งผู้แทนกระทรวงแรงงาน (รง.) ชี้แจงหลักการฝึกงานเบื้องต้นสำหรับผู้เรียนที่ไม่มีสัญชาติว่ายึดตามข้อกฎหมายและเกี่ยวพันกับกฎหมายหลายฉบับหลายกระทรวง ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงมหาดไทย (มท.) กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) รง.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนความอ่อนไหวด้านความมั่นคง ดังนั้น ต้องเร่งให้ความรู้และชี้แจงผู้ประกอบการเห็นถึงประโยชน์ของกลุ่มผู้เรียนไม่มีสัญชาติให้ได้รับโอกาสการปฏิบัติงานการเรียนการสอนตามระบบทวิภาคีอย่างเท่าเทียมกับผู้เรียนปกติอื่น ๆ รองรับการขาดแคลนแรงงานในตำแหน่งสำคัญ

นอกจากนี้ ได้แต่งตั้งอนุ กกส. ด้านการวิจัยการศึกษาเพิ่มเติม จำนวน 1 รูป 3 คน ประกอบด้วย 1.พระสุธีรัตนบัณฑิต (สุทิตย์ อาภากโร) เจ้าอาวาสวัดสุทธิสราราม และผู้อำนวยการสถาบันวิจัยพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย 2.รองศาสตราจารย์ ดร.ศุภวัลย์ พลายน้อย ข้าราชการบำนาญ 3.รองศาสตราจารย์ ดร.กุลทิพย์ ศาสตระรุจิ อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ สถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ และ ดร.นิภาพร กุลสมบูรณ์ ผู้เชี่ยวชาญสายการศึกษา บริษัท ปิโก (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)

"สกศ.ได้รายงานได้ทำหนังสือถึง 38 หน่วยงานเพื่อแจ้งมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในการนำมาตรฐานการศึกษาของชาติ พ.ศ. 2561 ไปเป็นกรอบในการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและหลักสูตรการศึกษาในแต่ละระดับและประเภทการศึกษา การส่งเสริม กำกับดูแล การตรวจสอบ การประเมินผล และการประกันคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน โดย สกศ. ติดตามและประเมินผลเป็นระยะ"ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าว

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 16/2/2562

พยาบาลหวั่นโดนเบี้ยวบรรจุข้าราชการ 2,900 อัตรา

น.ส.วราภรณ์ กวีวิทยาภรณ์ เลขานุการเครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราว กระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า ได้รับทราบข่าวว่าการประชุมคณะกรรมการกำหนดเป้าหมายและนโยบายกำลังคนภาครัฐ (คปร.) วันที่ 15 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการประชุมรอบสุดท้ายในรัฐบาลชุดนี้ ไม่มีวาระการบรรจุพยาบาลรอบสุดท้ายตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 23 พ.ค. 2560 จำนวน 2,900 อัตรา เข้าที่ประชุม คปร.แต่อย่างใด ทั้งๆ ที่กองการพยาบาลและกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำรายละเอียดส่งให้แก่คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไปตั้งนานแล้ว แต่ ก.พ.กลับไม่เสนอเข้าที่ประชุม

น.ส.วราภรณ์ กล่าวว่า หากเป็นเช่นนั้นจริง เรื่องการบรรจุข้าราชการพยาบาลอีก 2,900 อัตราก็จะไม่ถูกเสนอเข้าที่ประชุม ครม. เท่ากับว่าน้องๆ พยาบาลลูกจ้างชั่วคราวจะไม่ได้รับการบรรจุเข้าเป็นราชการ หรือหากมีการบรรจุก็คงเป็นตำแหน่งเกษียณอีกประมาณ 1,000 กว่าตำแหน่งซึ่งไม่เกี่ยวกันเพราะสิ่งที่เรียกร้องคืออัตราตั้งใหม่ ไม่ใช่ตำแหน่งเกษียณที่เป็นไปตามวาระอยู่แล้ว

"ตอนนี้ยังติดตามข่าวว่ามติ คปร. ออกมาเป็นอย่างไร แต่ที่แน่ใจคือไม่มีวาระเข้าที่ประชุม เพราะกรรมการที่เข้าร่วมประชุมได้แจ้งเราแล้วว่าไม่มีวาระ ซึ่งในส่วนของเครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวเราจะรอดูความชัดเจนก่อนว่าเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีการบรรจุจริงๆ และทางกระทรวงสาธารณสุขยืนยันว่าให้ใช้ตำแหน่งเกษียณไปก่อน ทางเครือข่ายคงต้องมีการเรียกร้องกันอีกที ส่วนจะมีวิธีการเรียกร้องอย่างไรจะขอประชุมกับสมาชิกก่อน" น.ส.วราภรณ์ กล่าว

ด้าน ดร.ธีรพร สถิรอังกูร ผู้อำนวยการกองการพยาบาล กล่าวว่า ได้ทราบข่าวจากทางเครือข่ายพยาบาลวิชาชีพลูกจ้างชั่วคราวเช่นกันว่าไม่มีวาระการบรรจุพยาบาล 2,900 อัตราเข้าที่ประชุม คปร. อย่างไรก็ดีตนยังไม่ได้ดูว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ขอติดตามข่าวก่อนเพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญและ ครม.ก็ได้อนุมัติในหลักการไปแล้ว

ด้าน นพ.ไพศาล ดั่นคุ้ม รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ตนยังไม่เห็นมติ คปร. ดังนั้นขอรอฟังมติที่ประชุมก่อน จะได้มีความชัดเจนกว่านี้

ที่มา: Hfocus.org, 16/2/2562

ไทย – สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ประชุมความร่วมมือคุ้มครองยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน

พล.ต.อ. อำนาจ อันอาตม์งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายสมศักดิ์ อภิวันทนกุล ผู้ช่วยปลัดกระทรวงแรงงาน รักษาการในตำแหน่งผู้ตรวจราชการกระทรวงแรงงาน เป็นผู้แทนกระทรวงแรงงานเข้าร่วมการประชุม World Government Summit 2019 ณ เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 9 - 13 กุมภาพันธ์ 2562 ตามคำเชิญของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์และส่งเสริมการจ้างงานสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

การประชุม World Government Summit เป็นการประชุมระหว่างประเทศ ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อเป็นเวทีสำหรับผู้นำรัฐบาล รัฐมนตรี เจ้าหน้าที่อาวุโสจากภาครัฐและเอกชน และผู้นำองค์การระหว่างประเทศทั่วโลก ในการแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นและหารือในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาและการยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน โดยมี เชค มูฮัมหมัด บิน รอชิด อัล มักตูม (Sheikh Muhammad bin Rashid Al Maktoum) รองประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรีแห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเจ้าผู้ครองรัฐดูไบ ให้การอุปถัมภ์การประชุมดังกล่าว ซึ่งการประชุมครั้งนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 7 มีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 4,000 คน จาก 140 ประเทศทั่วโลก

หัวข้อหลักในการประชุมในปีนี้คือเรื่อง “อนาคตของงาน” (Future of Work) โดยรัฐบาลสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เชิญ Mr. Guy Ryder ผู้อำนวยการใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) มากล่าวปราศรัยกับที่ประชุม ร่วมเสวนาและบรรยายสรุปเกี่ยวกับรายงานของคณะกรรมาธิการโลกว่าด้วยอนาคตของงาน ซึ่งทาง ILO ได้จัดทำขึ้นในโอกาสครบรอบ 100 ปี และได้เปิดตัวเมื่อเดือนมกราคม 2562 ที่เจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยรายงานดังกล่าว ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกของการทำงาน อันเป็นผลมาจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร สภาพอากาศ และโลกาภิวัตน์ ซึ่งสิ่งสำคัญที่ ILO เน้นย้ำคือการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การให้ความคุ้มครองทางสังคม และความร่วมมือของไตรภาคี ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดนโยบายด้านแรงงานในอนาคต

พล.ต.อ. อำนาจ อันอาตม์งาม ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้มีการประชุม Abu Dhabi Dialogue ซึ่งเป็นการประชุมหารือระหว่างประเทศผู้รับและผู้ส่งแรงงาน เพื่อเตรียมการสำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรี Abu Dhabi Dialogue ครั้งต่อไปในปี 2019 ซึ่งได้มีการกำหนดให้ Future of Work เป็นหัวข้อหลักในการประชุมด้วย และในโอกาสรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรมนุษย์ฯ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ได้เข้าพบหารือ ทวิภาคีกับผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน โดยได้มีการหารือเกี่ยวกับข้อเสนอของฝ่ายสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ในการปรับแก้บันทึกความเข้าใจระหว่างรัฐบาลไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ว่าด้วยเรื่องแรงงาน ซึ่งได้มีการลงนามร่วมกันไว้เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 เพื่อให้แรงงานไทยที่จะเดินทางเข้ามาทำงานในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ได้รับการคุ้มครองดูแลให้ดียิ่งขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงแรงงาน และคณะ ยังได้เข้าพบ นางวิภาวรรณ เบนนิแมน อุปทูตรักษาราชการแทน เอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี เพื่อหารือเกี่ยวกับสถานการณ์แรงงานในสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ และได้เข้าเยี่ยมนายจ้างร้านอาหารไทย “ดอกบัวทะเลทราย” เพื่อให้กำลังใจแรงงานไทยที่ทำงาน

ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 15/2/2562

จับแก๊งปลอมพาสปอร์ตต่ออายุแรงงานข้ามชาติทำงานในไทยกว่า 10 ปี เงินหมุนเวียนหลายล้านบาท

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2562 เวลา 21.00 น. พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ หักพาล ผบช.สตม. พร้อมตำรวจ สตม. ตำรวจท่องเที่ยว และชุด ศปอส.ตร. แถลงนำกำลังเข้าปิดล้อมตรวจค้นจับกุมนายสุรวุฒิ สินธวาชีวะ อายุ 60 ปี น.ส.น้ำฝน อายุ 42 ปี สัญชาติเมียนมา ผู้ต้องหาแก๊งปลอมดวงตราประทับวีซ่าในประเทศไทย ในบริษัท ซีบีเอส เวิลด์ จำกัด เลขที่ 216/6 ซ.แจ้งวัฒนะ 6 แขวงตลาดบางเขน เขตหลักสี่ กทม. พบพาสปอร์ตต่างประเทศ ขอลกลางจำนวน 722เล่ม ตรายางหน่วยราชการจำนวน 24อัน และเอกการสารอีกจำนวนมาก

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า สืบเนื่องจากได้มีแรงงานสัญชาติเมียนมา ได้นำหนังเดินทางเลขที่ CC 7270593 มาที่ ตม.จ.นนทบุรี เพื่อรายงานตัวตามกำหนด 90 วัน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบหนังสือเดินทางที่ออกโดย ตม.จ.นครสวรรค์ พบว่ารอยตรายางที่ประทับมีความผิดปกติ เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจสอบเอกสารดังกล่าวอย่างละเอียด โดยการส่งหนังสือเดินไปตรวจสอบที่ ตม.จ.นครสวรรค์ ซึ่และได้รับการยืนยันว่าหนังสือดังกล่าวไม่ได้ออกโดย ตม.จ.นครสวรรค์

เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการสืบสวนสอบสวน จนทราบว่า บริษัทซีบีเอส เวิลด์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทนำคนต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทย โดยมีนายสุรวุฒิ และ น.ส.น้ำฝน สองสามีภรรยา รวมถึงนายตัน สัญชาติเมียนมา เป็นผู้รับทำเอกสารปลอม เจ้าหน้าที่จึงได้ขออนุมัติหมายศาลเข้าตรวจค้นพบของกลางจำนวนมากทัังสองให้การรับสารภาพว่ามานานกว่า 10 ปี มีเงินหมุนเวียนในบัญชีหลายล้านบาท โดยจะได้ค่าจ้างในการปลอมเอกสารประมาณ รายละ 1,500 ถึง 2,000 บาท ส่วนใหญ่จะปลอมในเรื่องของการต่ออายุหนังสือเดินทาง

พล.ต.ท.สุรเชษฐ์ กล่าวว่าครั้งนี้เป็นการขยายผลจับต้นตอ ซึ่งในวันที่ 15 ก.พ. จะขยายผลการจับกุมเครือข่ายดังกล่าวอีกกว่า 10 จุดทั่วประเทศ และจะได้มีการสอบสวนขยายผลในเรื่องคดีที่เกี่ยวกับการค้ามนุษย์กับผู้ต้องหาทั้งหมดอีกด้วย

นาง เพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมจัดหางาน กล่าวว่า เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหารวมกันปลอม และใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อจำหน่าย แต่จะแจ้งความเพิ่มเติมในคดีการปลอมแปลงตรายางเอกสารที่มีการแอบอ้างชื่อของเจ้าหน้าที่ที่เกษียอายุราชการแล้ว และเจ้าหน้าที่ยังรับราชการอยู่ ซึ่งไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง ถูกนำไปใช้ปลอมแปลงเอกสาร

ที่มา: ไบรท์ทีวี ช่อง 20, 15/2/2562

ก.แรงงาน หารือแนวทางการดำเนินการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์

เมื่อวันที่ 14 ก.พ. 2562 นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมหารือแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ฤดูกาลปี 2019 ณ ห้องประชุมเทียน อัชกุล ชั้น 10 กรมการจัดหางาน อาคารกระทรวงแรงงาน โดยกล่าวว่า ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมในครั้งนี้ และขอขอบคุณทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องที่ได้เดินทางมาเข้าร่วมประชุม เพื่อร่วมหารือ และรับฟังข้อคิดเห็น/ข้อเสนอแนะในการกำหนดแนวทางการดำเนินการเกี่ยวกับการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าของคนงานไทย เป็นที่ทราบกันดีว่า การเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าในสาธารณรัฐฟินแลนด์ คนงานไทยจะเดินทางเข้าไปทำงานตามฤดูกาล โดยการแจ้งการเดินทางไปทำงานในต่างประเทศด้วยตนเอง ซึ่งตามกฎหมายของไทยจะมีพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 ให้ความคุ้มครองคนงานไทย เนื่องจากการเดินทางไปเก็บผลไม้ป่าของคนงานไทยเป็นการเดินทางไปทำงาน ซึ่งได้รับค่าตอบแทนจากการเก็บผลไม้ป่าเพื่อการยังชีพ กระทรวงแรงงานจึงเห็นว่า คนงานไทยทุกคนที่เดินทางไปทำงานในต่างประเทศควรได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายของประเทศปลายทางตลอดระยะเวลาที่ทำงานในประเทศนั้นๆ อย่างไรก็ตาม ผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับทราบว่า ทางการฟินแลนด์เล็งเห็นความสำคัญของคนงานไทยที่เข้าไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ จึงเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกฎหมายเกี่ยวกับการนำคนต่างชาติไปเก็บผลไม้ป่าในฟินแลนด์ ซึ่งกระทรวงแรงงานของไทยได้เสนอให้ทางการฟินแลนด์พิจารณารูปแบบการดำเนินการลักษณะเดียวกับการรับคนงานไทยเข้าเก็บผลไม้ป่าในประเทศสวีเดน ซึ่งให้ความคุ้มครองคนต่างชาติที่ไปเก็บผลไม้ป่าในสวีเดนตามสัญญาจ้างงาน อีกทั้งมีการประกันรายได้ขั้นต่ำรายเดือนให้กับคนงานไทย

สำหรับบริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่า ผมขอฝากให้ท่านช่วยดูแลคนงานไทย รวมถึงจัดสวัสดิการเรื่องอาหาร ที่พัก ความปลอดภัย และความเป็นอยู่อย่างเหมาะสม เป็นไปตามมาตรฐานสากล และปฏิบัติตามหนังสือแสดงเจตจำนง (Letter of Intent) ที่ทุกท่านได้ร่วมลงนามกับกระทรวงเศรษฐกิจและการจ้างงาน และกระทรวงต่างประเทศฟินแลนด์ รวมถึงผู้ประสานงานไทยต้องให้ความรู้คนงานไทยเกี่ยวกับกฎหมายท้องถิ่น ข้อห้ามต่างๆ และจัดให้คนงานเก่าที่มีความชำนาญเป็นพี่เลี้ยงสอนงานให้คนงานใหม่ จัดหัวหน้าทีมที่ดี ชี้แนะและอบรมให้คนงานไทยมีความพร้อมในการทำงาน รวมถึงข้อให้ช่วยดูแลแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเบื้องต้นให้กับคนงานไทยอีกด้วย

สุดท้ายนี้ ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผลที่ได้รับจากการประชุมหารือในครั้งนี้จะเกิดประโยชน์กับทุกฝ่าย คนงานไทยได้รับความคุ้มครอง สามารถเดินทางไปทำงานในต่างประเทศไทยได้อย่างมีศักดิ์ศรีตามนโยบายของกระทรวงแรงงาน บริษัทผู้รับซื้อผลไม้ป่าก็มีคนงานไทยที่มีคุณภาพสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเต็มกำลังความสามารถ ซึ่งส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของทั้งฟินแลนด์และไทย

ที่มา: กระทรวงแรงงาน, 14/2/2562

LINE JOBS เปิดเกมรุกเทรนด์หางานออนไลน์ ลุ้นปีนี้ยอดผู้ติดตามทะลุ 10 ล้านราย

ธนิยา ตรัยวัฒนา หัวหน้าธุรกิจ LINE JOBS เปิดเผยว่า ตลาดหางานออนไลน์ยังมีช่องว่างจากการขาดแหล่งหางานด้านบริการที่มีประสิทธิภาพ และด้วยศักยภาพของช่องทางสื่อสารผ่าน LINE ที่เข้าถึงคนไทยทั่วประเทศกว่า 44 ล้านคน เพราะเป็นแอปพลิเคชันยอดนิยมที่คนไทยใช้ติดต่อสื่อสาร จึงเห็นถึงโอกาสในการปั้นธุรกิจใหม่ คือ LINE JOBS ซึ่งเปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2561 และปัจจุบันให้บริการทั่วประเทศครอบคลุมงานทุกอุตสาหกรรมทั่วประเทศจำนวน 22 ประเภทงาน 44 ประเภทธุรกิจ มีบริษัทที่โพสต์งานผ่าน LINE JOBS 8,600 แห่ง มากกว่า 300,000 ตำแหน่ง และมียอดใบสมัคร 720,000 แอปพลิเคชัน

“ก่อนหน้านี้ แม้จะมีการประกาศรับสมัครงานทุกวันทั้งช่องทางออฟไลน์และออนไลน์ แต่คนตกงานก็ยังเยอะ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่รู้ช่องทางในการหางานที่มีประสิทธิภาพ แต่หลังจากที่ LINE JOBS เปิดตัวมาเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่แตกต่าง ทำให้งานหาคน และคนหางาน มีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จง่ายขึ้นและเร็วขึ้นกว่าเดิม ตอบสนองเทรนด์การหางานออนไลน์ผ่าน Social Recruitment ตามจำนวนผู้ใช้โทรศัพท์มือถือที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ”

จากสถิติที่ทาง LINE JOBS ได้เจาะลึกจากข้อมูลผู้ที่ได้มาใช้บริการ LINE JOBS นั้น พบว่าผู้สมัครงานนั้นจะมีอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 22-30 ปีเยอะที่สุด และงานที่ถูกค้นหามากที่สุดคือ บัญชี, ธุรการ และงานพาร์ตไทม์ โดยใน 1 โพสต์งานที่ประกาศรับสมัครนั้นจะมีผู้มาสมัครโดยเฉลี่ยอยู่ที่ 16 คน และจังหวัดที่มีผู้สมัครค้นหางานมากที่สุด คือ กรุงเทพฯ ตามมาด้วยนนทบุรี ปทุมธานี ชลบุรี และเชียงใหม่ ตามลำดับ

ดังนั้น ในปี 2562 สิ่งที่ LINE JOBS ปรับปรุงเพิ่มเติมเพื่อตอบโจทย์ทั้งผู้ว่าจ้างและผู้สมัครงานให้ครบถ้วนมากขึ้น คือ เพิ่มช่องใส่โปรไฟล์ให้ละเอียดขึ้น ทั้งประวัติการศึกษา และประสบการณ์การทำงาน ระบุใบขับขี่ได้ว่าเป็นใบขับขี่รถยนต์หรือใบขับขี่รถจักรยานยนต์ รวมถึงเพิ่มทักษะ ฟัง พูด อ่าน เขียน แต่ละภาษาว่าอยู่ในระดับใด ตลอดจนคำถามเพิ่มเติมสำหรับคัดกรองผู้สมัคร และสุดท้ายคือสามารถอัปโหลดเรซูเมเพิ่มได้ด้วย

“ภายในสิ้นปี 2562 คาดว่าผู้ติดตาม LINE JOBS จะเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านราย จากปัจจุบันมีอยู่ 6 ล้านราย โดยวางเป้าหมายที่จะครองตลาดสายงานบริการและพนักงานระดับเจ้าหน้าที่ (Entry Level) เพื่อปักหมุดเป็นตัวจริงเสียงจริงของแหล่งหางานที่มีประสิทธิภาพในประเทศไทย”

ทั้งนี้ จุดเด่นที่ LINE JOBS มอบให้กับบริษัทหรือผู้ว่าจ้าง รวมถึงผู้หางานหรือผู้สมัครคือ การออกแบบให้ใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็ว ทุกที่ ทุกเวลา เพราะใช้งานผ่านโทรศัพท์มือถือ โดยที่ไม่ต้องโหลดแอปฯ ใหม่ เพียงแค่เพิ่มเพื่อน @LINEJOBSTH ส่วนขั้นตอนการกรอกใบสมัครก็ทำได้ง่ายใช้เวลาไม่นาน ด้านบริษัทหรือผู้ว่าจ้างก็ใช้งานได้ง่ายเช่นกัน

นอกจากนี้ ยังหาคน หางานได้ตามโลเกชันที่ต้องการ เพราะปรับโลเกชันได้ว่าต้องการคนที่สาขาไหน เวลาคนใช้งานเปิด LINE JOBS ขึ้นมางานใกล้ตัวจะเด้งขึ้นมาก่อน ทำให้ทั้งบริษัทหรือผู้ว่าจ้างได้ผู้หางานที่อยู่ใกล้กับที่ตั้งสาขา สะดวกในการเดินทาง ทำให้มีโอกาสที่จะทำงานกับบริษัทนานขึ้น ที่สำคัญยังช่วยบริษัทหรือผู้ว่าจ้างให้หาคนจำนวนมากได้รวดเร็ว ประสบความสำเร็จตามแผนที่วางไว้

สำหรับการเข้าใช้บริการ LINE JOBS เพียงทำการ add friend กับ LINE JOBS ในช่องค้นหา ID คำว่า@linejobsthเพียงแค่นี้สามารถหางานกับ LINE JOBS ได้ทันที

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 13/2/2562

กสร.ทำความเข้าใจ กม.ผู้เกี่ยวข้อง เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานทางทะเล

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจำเรือ เสริมความรู้ ความเข้าใจข้อกฎหมายและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 เพิ่มประสิทธิภาพการคุ้มครองแรงงานทางทะเล

วันอังคารที่ 12 กุมภาพันธ์ 2562 นายวิวัฒน์ ตังหงส์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน เป็นประธานเปิดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจำเรือ และการอบรมเทคนิคการเป็นวิทยากรด้านแรงงานทางทะเล (Train the Trainer) ทั้งนี้การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการด้านคุ้มครองแรงงานทางทะเลแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ เจ้าของเรือ และคนประจำเรือ การสัมมนาดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับพระราชบัญญัติแรงงานทางทะเล พ.ศ. 2558 ให้กับ เจ้าของเรือ คนประจำเรือ รวมทั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กระทรวงแรงงาน กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงคมนาคม และกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 40 คน ได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการและแนวทางปฏิบัติตามกฎหมายดังกล่าว เพื่อให้การคุ้มครองสิทธิแรงงานทางทะเลเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ณ ห้องพาโนรามา 2 ชั้น 14 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ กรุงเทพฯ

ที่มา: กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน, 12/2/2562

ก.แรงงาน ฝากแรงงานไทยไปทำงานเกาหลี รู้ภาษา เพิ่มศักยภาพ ก่อนกลับมาต่อยอดที่บ้านเกิด

เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2562 พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวในโอกาสการพบปะให้กำลังใจ พร้อมให้โอวาทแก่แรงงานไทยที่จะเดินทางไปทำงานที่สาธารณรัฐเกาหลี ตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติ (EPS) จำนวน 200 คน ซึ่งส่วนใหญ่ทำงานในภาคอุตสาหกรรม ณ ห้องประชุมจอมพล ป.พิบูลสงคราม ชั้น 5 อาคารกระทรวงแรงงาน ว่า ขอแสดงความยินดีกับทุกคนที่จะเดินทางไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลี ซึ่งกว่าจะถึงวันนี้ทุกคนต้องฝึกฝนภาษาเกาหลีและทักษะการทำงาน เพื่อให้สามารถสอบแข่งขันไปทำงานสาธารณรัฐเกาหลีตามระบบการจ้างแรงงานต่างชาติได้ ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เน้นการพัฒนาและเสริมสร้างศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ โดยเน้นการพัฒนาคนในทุกมิติและในทุกช่วงวันให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีคุณภาพ สำหรับศตวรรษที่ 21 ทักษะที่จำเป็น คือ ทักษะการสื่อสารด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาที่สาม

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 12/2/2562

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net