ก่อนอื่นต้องขออธิบาย กฏเกณท์ ของการได้ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน ตาม รัฐธรรมนูญ2562 ตามระบบเลือกตั้งแบบ "จัดสรรปันส่วนผสม" ที่มีหลักคิดว่า ..ถ้าคนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ทั่วประเทศเป็นจำนวนเท่าใดก็ตาม มาหารด้วย 500 (ตัวเลข 500 คือ ตัวเลขจำนวน ส.ส.
 ทั้งสภาผู้แทนราษฏร์) ก็จะได้สัดส่วน คะแนนเสียง(หรือคะแนนนิยม) ต่อ ส.ส. 1 คน 

 สมมุติว่า มีคนมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน หารด้วย 500 ก็จะได้คะแนนนิยม 7 หมื่นคน ต่อ ส.ส. 1 คน และคะแนนนิยม 7 หมื่นเสียงนี้ จะถูกนำมาคิดเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน นี่คือ แนวคิด ที่สื่อต่างๆ (ไม่ว่าสื่อกระแสหลัก และสื่อโซเชียล) และพรรคการเมืองทุกพรรค ต่าง
 ก็คิดกันเช่นนี้ ....ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดพลาดอย่างมาก ของสื่อต่างๆ และ พรรคการเมือง

 จึงไม่แปลกใจที่พรรคเพื่อไทย จะดำเนินกลยุทธ์ แตกแบ็งค์พัน (เป็นแบ็งค์ 500 แบ็งค์100) ด้วยการสร้างพรรคสาขาในเครือพรรคเพื่อไทย เช่น พรรคไทยรักษาชาติ(ถูกยุบพรรค) ..พรรคเพื่อชาติ ..พรรคเพื่อธรรม ..และพรรคประชาชาติ(ของนายวันมูหะหมัดนอร์ มะทา)

 นี่คือความเข้าใจผิด ต่อคะแนนนิยม 7 หมื่นเสียง ต่อ ส.ส. 1 คน ของสื่อต่างๆ และ พรรคการเมืองทุกพรรค (ในกรณีที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน ทั่วประเทศ)

 ขอให้ผู้อ่าน พิจารณาตัวเลขเหล่านี้ เริ่มต้นด้วย การมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน สัดส่วน คะแนนนิยม ต่อ ส.ส. 1 คน คือ 7 หมื่นเสียง ที่จะมาคิดเป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน

 แต่ในความเป็นจริง ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน ต้องใช้คะแนนนิยม มากกว่า 7 หมื่นคน โดยขอ ให้ดูตัวเลขต่อไปนี้ มาประกอบ 

 สมมุติว่า เขตเลือกตั้ง 350 เขต มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง เขตละ 1 แสนคน และใน 250 เขต ที่ พรรคเพื่อไทย ส่งผู้สมัครฯ ได้ชัยชนะ ได้คะแนนเสียง 5 หมื่นเสียง ในขณะที่ พรรค ปชป. ได้คะแนนเสียง 3 หมื่นเสียง พรรคอนาคตใหม่ได้คะแนนเสียง 1หมื่นห้าพันเสียง และ พรรค พลังประชารัฐ ได้คะแนนเสียง 5 พันเสียง 

 และ ในอีก 100 เขตที่เหลือ พรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้ง ส.ส. เขต ได้คะแนนเสียง 5 หมื่นเสียง พรรคเพื่อชาติ ได้คะแนนเสียง 3 หมื่นเสียง พรรคอนาคตใหม่ ได้คะแนนเสียง 1 หมื่น 5 พันเสียง และ พรรคพลังประชารัฐ ได้คะแนนเสียง 5 พันเสียง 

 จะเห็นว่า ทั้ง 350 เขตเลือกตั้ง จะใช้คะแนนเสียง เพื่อให้ได้ ส.ส. ในแต่ละเขต (ทั่วประเทศเพียง 350 X 5 หมื่น = 17 ล้าน 5 แสนคน ในขณะที่ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 150 คน จะต้องใช้คะแนนเสียง 35 ล้าน ลบด้วย 17 ล้าน 5 แสนคน แล้วหารด้วย 150 (หรือ 17ล้าน 5แสน คน
 หารด้วย 150) ก็จะเห็นว่า คะแนนเสียง(หรือคะแนนนิยม) ต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน คือ 1 แสน 1หมื่น 6 พัน 6 ร้อย 67คน ซึ่งไม่ใช่ตัวเลข 7 หมื่นเสียง ตามที่ได้กล่าวข้างต้น

 ตัวเลข 7 หมื่นเสียง ต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน จึงเป็นตัวเลขที่เกิดจาก การมองไม่รอบด้านของ และเป็นตัวเลข ที่เกิดจากการเข้าใจผิด ของสื่อ และ พรรคการเมืองทุกพรรค 

 และยิ่ง ถ้า ส.ส.เขต ชนะการเลือกตั้งทั้ง 350 เขต ด้วยคะแนนเสียงที่น้อยลง เช่น ได้ 4 หมื่นเสียง จากผู้มาใช้สิทธิ เขตละ 1 แสนคน (ในขณะที่อีก 6 หมื่นเสียงกระจายไปสู่พรรคอื่นๆ ที่ได้ต่ำกว่า 4 หมื่นเสียง) คะแนนต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน จะเท่ากับ 1แสน 4 หมื่นคน ทันที

 นี่คือ ภาพลวงตา ของคะแนน 7 หมื่นต่อ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1คน (จากผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน ทั่วประเทศ) ที่สื่อต่างๆ และ พรรคการเมืองทุกพรรค ที่เข้าใจผิดในเรื่องนี้

 น่าเห็นใจ พรรคการเมืองน้ำดี เช่น พรรคอนาคตใหม่ ที่ไม่คาดหวังกับการชนะ ส.ส.เขต แต่ ไปหวังกับ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เพราะ จำนวน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ของพรรคอนาคตใหม่ ที่ควรจะได้ จะหายไป เกือบครึ่งหนึ่ง ทันที 

 ต้องถือว่า ทักษิณ ชินวัตร และ พรรคเพื่อไทย โชคดีมากๆ ที่อาจได้เสียงข้างมาก ในสภา ผู้แทนราษฏร์ อีกครั้งหนึ่ง จากการวางหมากที่ผิดพลาดของ คณะผู้ยกร่าง รัฐธรรมนูญ 2562 

ปิดท้ายบทความนี้

 สมมุติว่า มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 2562 ทั่วประเทศ 35 ล้านคน โอกาสเดียวที่ คะแนน ส.ส. ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน จะเท่ากับ 7 หมื่นเสียง(หรือมากกว่าเล็กน้อย) คือ คะแนนเสียงของ ส.ส. เขตในแต่ละเขต ที่ชนะการเลือกตั้ง ต้องได้คะแนนใกล้เคียง 7 หมื่นเสียง ให้มากที่สุด หรือ
 ต้องชนะได้เป็น ส.ส.เขต ด้วยคะแนนเสียงที่มากกว่า 7หมื่นเสียงต่อ 1 เขตการเลือกตั้งเท่านั้น (ในกรณีที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคน)

 นี่คือ โอกาสเดียวที่ คะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ 1 คน จะเท่ากับ 7 หมื่นเสียง (ในกรณีที่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้งทั่วประเทศ 35 ล้านคน)