อดีตประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย ร้อง กกต. ชี้แจงเรื่องความโปร่งใสในการเลือกตั้ง ย้ำจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน เผยอาจตั้งคณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการเลือกตั้ง
26 มี.ค.2562 ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจาก อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตยว่า ตนเรียกร้องให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ชี้แจงเรื่องความโปร่งใสในการเลือกตั้ง และ การจัดตั้งรัฐบาลให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน
นอกจากนี้ อนุสรณ์ ยังเปิดเผยด้วยว่า ตนกับเพื่อนๆ นักวิชาการ นักธุรกิจ และ องค์กรประชาธิปไตยจำนวนหนึ่ง รวมทั้ง อดีตนักกิจกรรมและผู้นำนักศึกษารุ่นรณรงค์นายกฯมาจากการเลือกตั้ง และ แกนนำเรียกร้องประชาธิปไตยในช่วงเหตุการณ์เดือนพฤษภา 2535 กำลังปรึกษาหารือกันว่าจะตั้ง คณะกรรมการเพื่อตรวจสอบการเลือกตั้ง ครั้งนี้หรือไม่เนื่องจากมีความไม่ปรกติ และความไม่ชอบมาพากลอยู่ไม่น้อยในการเลือกตั้ง และ จะมีท่าทีอย่างไรต่อการสืบทอดอำนาจของ คสช ผ่านพรรคพลังประชารัฐ ส.ว. 250 คน รวมทั้งการสืบทอดอำนาจผ่านองค์กรอิสระและกลไกในรัฐธรรมนูญ โดยเราต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังรอบคอบเพื่อประคับประคองสถานการณ์ให้มีการจัดตั้งรัฐบาลเลือกตั้งให้ได้ และ หาทางป้องกันไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมือง หรือ เหตุการณ์รุนแรงซ้ำรอยเดือนพฤษภา 35
รายละเอียดข้อเรียกร้องของ อนุสรณ์ มีดังนี้
ผลการเลือกตั้ง 24 มีนาคม 2562 : ข้อเสนอและแนวทางเพื่ออนาคตของประเทศ
โดย อนุสรณ์ ธรรมใจ อดีตประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย
14.30 น. 26 มีนาคม พ.ศ. 2562
การเลือกตั้ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 เป็นเพียงกระบวนการขั้นแรกในการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย สังคมไทยต้องร่วมมือกันและช่วยกันประคับประคองสถานการณ์หลังการเลือกตั้งให้ประเทศเข้าสู่กระบวนการกลับคืนสู่ประชาธิปไตย (Democratization) อย่างแท้จริง เริ่มต้นด้วยการที่คณะกรรมการเลือกตั้งต้องชี้แจงข้อสงสัยต่างๆเกี่ยวกับการจัดการเลือกตั้งว่ามีความบริสุทธิ์ยุติธรรมแค่ไหน พรรคการเมืองต่างๆต้องยอมรับผลการเลือกตั้งหากมีความมั่นใจว่าได้มีการจัดการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม หากยังมีข้อสงสัยเรื่องการจัดการเลือกตั้งต้องจัดการแก้ไขโดยด่วนและจัดการเลือกตั้งซ่อมหรือจัดการเลือกตั้งใหม่ในเขตการเลือกตั้งที่มีปัญหา โดยเฉพาะเขตเลือกตั้งที่คะแนนรวมมียอดสูงกว่าผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง และต้องมีคำอธิบายจำนวนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งโดยรวมกับคะแนนรวมที่นับจากบัตรเลือกตั้งต้องตรงกัน ในโลกดิจิทัล ข้อมูลต่างๆจะถูกบันทึกไว้เป็นหลักฐานทั้งหมด การบิดเบือนข้อมูลจึงสามารถพบร่องรอยได้เสมอ การทำหน้าที่อย่างเป็นกลาง อย่างเป็นอิสระและตรงไปตรงมาของคณะกรรมการเลือกตั้งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออนาคตของประเทศ
หากไม่สามารถทำให้เกิดการยอมรับร่วมกันได้ว่ามีการจัดการเลือกตั้งอย่างบริสุทธิ์ยุติธรรม ย่อมทำให้เกิดความขัดแย้งร้าวลึกในสังคมเพิ่มขึ้น แทนที่การเลือกตั้งจะเป็นเครื่องมือและกลไกที่จะนำมาสู่ความสมานฉันท์ปรองดอง การเปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนสูงสุดเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลก่อนเพื่อให้เป็นไปตามประเพณีการปกครองประชาธิปไตยแบบรัฐสภาของไทย เมื่อพรรคการเมืองที่มีสมาชิกสภาผู้แทนสูงสุดไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ จึงเป็นหน้าที่ของพรรคการเมืองในลำดับถัดไป การแย่งชิงแข่งขันในการจัดตั้งรัฐบาลโดยอาศัยอำนาจรัฐอย่างไม่เป็นธรรมหรืออำนาจเงินก็ดีย่อมไม่สอดคล้องกับความพยายามในการปฏิรูประบบการเมืองไทยให้ดีขึ้น การทำให้ระบบการเมืองมีเสถียรภาพเป็นเรื่องที่มีความสำคัญรัฐบาลใหม่ต้องเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรจึงจะสามารถสานต่อการบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของประชาชนได้
การเปลี่ยนผ่านจาก “ประเทศภายใต้ระบอบรัฐประหาร 5 ปี” สู่ “ประเทศกึ่งประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2560” ในการเลือกตั้ง 24 มีนาคมนี้มีความสำคัญต่ออนาคตของประเทศ อนาคตประชาธิปไตยไทย ความรุ่งเรืองก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ ความสงบสุขของสังคม และ คุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยิ่ง และ ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ประชาชนต้องการอะไร เราสามารถลดความเสี่ยงของภาวการณ์ล่มสลายของประชาธิปไตย (Democratic Breakdown) และ ป้องกันการย้อนกลับสู่ระบอบเผด็จการอำนาจนิยม ด้วยการยอมรับผลการเลือกตั้ง ไม่บิดเบือนผลการเลือกตั้ง และให้อำนาจประชาชนในการกำหนดตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและคณะผู้บริหารประเทศ กระบวนการจัดตั้งรัฐบาลจะต้องเป็นกระบวนการที่ยึดหลักการประชาธิปไตย รัฐบาลจะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรโดยไม่มีการใช้อำนาจรัฐ ใช้อำนาจเงิน ที่เป็นการทำลายระบบสถาบันพรรคการเมือง
หากปล่อยให้วุฒิสมาชิกเป็นผู้เลือกนายกรัฐมนตรีโดยฝืนความต้องการของประชาชนและไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน การเลือกตั้งจะเป็นเพียงพิธีกรรม ประชาชนผู้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจำนวนมากจะไม่พอใจและนำมาสู่ความขัดแย้งและวิกฤตการณ์ทางการเมืองได้
ประชาชนต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อสิ่งที่ดีกว่า ต้องการแสดงถึงความต้องการในการกำหนดทิศทางของประเทศนี้ด้วยตัวเองและประชาชนต้องการปกครองตนเอง ไม่ต้องการให้คนจำนวนเพียงหยิบมือเดียวบริหารประเทศตามอำเภอใจโดยปราศจากการมีส่วนร่วมของประชาชนส่วนใหญ่ ผลการเลือกตั้งเป็นสิ่งสะท้อนความต้องการและเจตนารมณ์ของประชาชน เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศ ประชาชน ความสงบสุขความปรองดองสมานฉันท์ ความมั่นคงของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กระผม นายอนุสรณ์ ธรรมใจ ในฐานะอดีตประธานมูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย จึงขอให้พรรคการเมืองต่างๆ องค์กรภาคประชาชน รัฐบาล คสช และ ผู้ที่เกี่ยวข้องได้ปฏิบัติตามหรือดำเนินการตามเจตนารมณ์ของประชาชน และมีข้อเสนอแนะและแนวทางเพื่ออนาคตของประเทศ ดังต่อไปนี้
1. ขอให้มีจัดตั้งองค์กรภาคประชาชนร่วมกับสถาบันตุลาการในการตรวจสอบการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้งว่าได้ดำเนินการจัดการการเลือกตั้งอย่างเป็นอิสระ เป็นกลางหรือไม่ ขอให้มีการตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลต่างๆในการเลือกตั้งอย่างโปร่งใสและเป็นธรรมโดยเร็วเพื่อให้การเลือกตั้งมีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศและนานาชาติ
ขอเรียกร้องให้ กกต. เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะทั้งหมด ทั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้ไปใช้สิทธิ คะแนนโหวต จำนวนบัตรที่พิมพ์ จำนวนบัตรที่ใช้ลงคะแนน ทั้งหมดนี้ ขอให้เปิดเผยเรียงหน่วย แต่ละหน่วยต้องเอาตัวเลขนี้ออกมาให้ทางภาคประชาชนและพรรคการเมืองเข้าไปตรวจสอบข้อมูลได้
เนื่องจากมีตัวเลขผลลงคะแนนเลือกตั้งสูงกว่าจำนวนประชาชนผู้ไปใช้สิทธิ นอกจากนี้มีบัตรเสียจำนวนมาก มีการใช้อำนาจรัฐข่มขู่ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ผู้สมัครรับเลือกตั้งและผู้สนับสนุนในหลายพื้นที่หรือไม่ ตนจึงเห็นว่า การเลือกตั้งครั้งนี้จึงเกิดข้อสงสัยว่าเป็นไปด้วยความสุจริตเที่ยงธรรมและเป็นการแข่งขันอย่างเสรีอย่างแท้จริงหรือไม่ ภาวะดังกล่าวจะนำมาสู่ความเสี่ยงของวิกฤตการณ์ทางการเมืองในอนาคตและไม่ก่อให้เกิดการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้ดีขึ้น คณะกรรมการเลือกตั้งจึงต้องชี้แจงข้อสงสัยต่างๆและแก้ไขผลกระทบต่างๆที่ติดตามมาโดยเร็ว
2. ขอเรียกร้องให้ สำนักงาน กกต. พิจารณาข้อเรียกร้องต่างๆเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้งหรือการไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเลือกตั้งอย่างตรงไปตรงมา การแจกใบเหลือง ใบแดงให้กับว่าที่ ส.ส. ทั้งหลายต้องมีคำอธิบายและมีหลักฐานที่ชัดเจนไม่เปิดช่องให้มีการกลั่นแกล้งกันในทางการเมืองหรือใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งอันเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์ของประชาชน และ ส่งผลต่อการจัดตั้งรัฐบาล
3. ขอเรียกร้องไม่ให้ คสช. ใช้ มาตรา 44 ในการทำให้เกิดผลในการเปลี่ยนแปลงผลการเลือกตั้งอันเป็นการบิดเบือนเจตนารมณ์และความต้องการของประชาชนเจ้าของประเทศ
4. สมาชิกวุฒิสภาที่ได้รับการแต่งตั้งโดย คสช. ต้องงดออกเสียงในการเลือกนายกรัฐมนตรี เพื่อให้การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีเป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน
5. ขอให้พรรคการเมืองอันดับหนึ่งที่มี ส.ส. มากที่สุดและมีเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้มีสิทธิในการจัดตั้งรัฐบาลก่อนอันเป็นการแสดงถึงความเคารพต่อเจตนารมณ์ของประชาชน พรรคการเมืองต้องมีสัญญาประชาคมร่วมกันว่า ทำอย่างไรประชาธิปไตยจะไม่ล้มเหลวอีกและเป็นเงื่อนไขให้เกิดการยึดอำนาจรัฐประหารอีก
6. ขอทวงสัญญา 26 พรรคการเมืองที่ให้ไว้กับประชาชนเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2561 เพื่อให้รัฐบาลที่จะจัดตั้งขึ้นเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในความหมายที่ว่าได้รับเสียงสนับสนุนที่เป็นเสียงข้างมากเด็ดขาดของประชาชน พรรคการเมืองที่ร่วมกันจัดตั้งรัฐบาลจะต้องมีเสียงสนับสนุนเกินกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเพื่อให้สามารถบริหารประเทศไปได้อย่างมีเสถียรภาพอันก่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาต่างๆให้กับพี่น้องประชาชน
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)