Skip to main content
sharethis

แรงงานยุคใหม่ ฮิตหางานผ่าน LINE JOBS

ไลน์จ็อบส์ (LINE JOBS) แพลตฟอร์มหางาน หนึ่งในธุรกิจที่ได้รับการต่อยอดภายใต้บริษัท ไลน์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยข้อมูลและสถิติการค้นหางานผ่านแพลตฟอร์มนี้ว่าหลังจากเปิดให้บริการครบ 1 ปีเต็ม ด้วยการรุกเจาะกลุ่มเป้าหมายแรงงานระดับปฏิบัติการ (Semi-Skilled) ซึ่งปัจจุบันครองสัดส่วนกว่า 42% ของตลาดแรงงานทั้งหมดในไทย ปัจจุบันมีฐานผู้ติดตามในระบบกว่า 7 ล้านคน โดยกลุ่มผู้หางานในไลน์จ็อบส์ส่วนใหญ่ ผู้หญิง 68% อีก 32% เป็นผู้ชาย และกว่า 45% อยู่ในช่วงอายุ 22-30 ปี สะท้อนถึงความนิยมของการหางานผ่านแอพไลน์ของคนยุคใหม่

นอกจากนี้ มีงานที่เปิดรับสมัครในไลน์จ็อบส์แล้วกว่า 3.9 แสนอัตรา จากผู้จ้างงานกว่า 1.8 หมื่นบริษัท เป็นธุรกิจเอสเอ็มอี 90% ส่วนองค์กรใหญ่อยู่ที่ 10% โดยมีผู้ส่งใบสมัครงานกว่า 1 ล้านใบสมัคร มีการเรียกสัมภาษณ์งานกว่า 2 แสนครั้ง โดยประเภทงานที่นิยมสูงสุดคืองานบริการ ร้านอาหารและเครื่องดื่ม และจากการติดตาม (Tracking) พบว่ามีผู้จ้างงานรายหนึ่งโพสต์รับสมัครงานได้เพียง 22 วินาทีเท่านั้น ก็มีผู้สนใจกดสมัครทันทีนับเป็นสถิติการเชื่อมกันระหว่างผู้จ้างงานและผู้สมัครที่รวดเร็วที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 10/5/2562

กระทรวงแรงงานเตรียมงานรองรับผู้ที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ

หลายจังหวัดเริ่มมีการปล่อยตัวนักโทษที่ได้รับพระราชทานอภัยโทษ เนื่องในโอกาสมหามงคลพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่งในส่วนของกระทรวงแรงงาน ได้เตรียมพร้อมจัดหางานไว้รองรับนักโทษที่กลับคืนสู่สังคมอีกครั้ง โดย นางเพชรรัตน์ สินอวย อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน ได้ให้กรมการจัดหางานทุกจังหวัด ประสานไปยังทัณฑสถานทุกแห่ง เพื่อรวบรวมข้อมูลความต้องการงานสายอาชีพต่างๆ ของนักโทษที่พ้นโทษ คาดว่าจะได้รับข้อมูลภายในเดือนมิถุนายนนี้ หลังจากนั้นกรมการจัดหางานก็จะจัดหางานให้กับนักโทษเหล่านั้นต่อไป

โดยขณะนี้ได้มีสถานประกอบการซึ่งส่วนใหญ่เป็นโรงงานต่างๆ พร้อมเปิดรับนักโทษกลับคืนสู่สังคมในหลายตำแหน่งงาน ตั้งแต่งานธุรการจนถึงแรงงานทั่วไป รวมทั้งยังได้เตรียมจัดฝึกอาชีพและจัดส่งงานให้ไปทำที่บ้านตามอาชีพที่ถนัด ทั้งการเย็บผ้า, ช่างประปา, ช่างไฟฟ้า, ช่างตัดผม ซึ่งผู้ที่เคยได้รับการฝึกอาชีพมาแล้วในทัณฑสถานจะมีโอกาสได้งานมากขึ้น

นอกจากนี้ยังได้จัดตั้งกองทุนเพื่อรับงานไปทำที่บ้านให้แก่ผู้ที่ต้องการกู้เงินไปประกอบอาชีพ เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับนักโทษ โดยสามารถกู้ได้รายละ 50,000 บาท และต้องมีผู้ค้ำประกัน ส่วนรายกลุ่มสามารถกู้ได้ตั้งแต่ 50,000 - 200,000 บาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 5 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ยต่ำประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์

ทั้งนี้ในปีที่ผ่านมานักโทษที่พ้นโทษมีความต้องการงานมากกว่า 35,000 อัตรา ขณะที่มีตำแหน่งงานว่างกว่า 80,000 ตำแหน่ง โดยนักโทษหรือผู้ต้องการหางานสามารถสอบถามตำแหน่งงานว่างได้ทาง Job Box, Smart Job Center,โทร 1506 กด 2, หรือติดต่อสอบถามได้ที่สำนักงานจัดหางานทั่วประเทศ

ที่มา: ch7.com, 10/5/2562

ประกันสังคมเผยดูแลแรงงานต่างด้าวเหมือนผู้ประกันตนคนไทย

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึง การให้ความคุ้มครองดูแลแรงงานต่างด้าวในระบบประกันสังคมว่า สำนักงานประกันสังคมมุ่งมั่นจัดระบบการบริหารที่ดีเกี่ยวกับแรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย

สำหรับแรงงานต่างด้าวที่จะได้รับสวัสดิการและความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคมนั้น จะต้องเป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งตามพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดให้ลูกจ้างซึ่งเป็นแรงงานต่างด้าว หากต้องการจะขึ้นทะเบียนเป็นผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมจะต้องมีใบอนุญาตการทำงาน (Work permit) และมีหนังสือเดินทาง (Passport) ข้อมูลล่าสุด ณ เดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา มีแรงงานต่างด้าวในระบบประกันสังคมจำนวน 1,126,952 คน แยกเป็นผู้ประกันตนสัญชาติพม่า จำนวน 724,915 คน สัญชาติกัมพูชา จำนวน 237,534 คน สัญชาติลาว จำนวน 55,283 คน และสัญชาติอื่น ๆ จำนวน 109,220 คน

โดยแรงงานต่างด้าวจะได้รับความคุ้มครองจากสำนักงานประกันสังคม 7 กรณี ได้แก่ กรณีประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย, กรณีคลอดบุตร, กรณีทุพพลภาพ, กรณีเสียชีวิต, กรณีสงเคราะห์บุตร, กรณีชราภาพ และกรณีว่างงาน เช่นเดียวกับผู้ประกันตนคนไทย

ปัจจุบันมีแรงงานต่างด้าวในไทย มาขอรับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานประกันสังคมในเดือนเมษายน 2562 ที่ผ่านมา 3 อันดับ ได้แก่ 1) กรณีสงเคราะห์บุตร มีอัตราการใช้บริการมากที่สุด 10,360 คน 2) กรณีเจ็บป่วย 3,717 คน และ 3) กรณีคลอดบุตร 1,871 คน สำนักงานประกันสังคมจ่ายประโยชน์ทดแทนทั้ง 3 กรณีไปแล้ว 37,712,616.53 ล้านบาท ดังนั้นจึงขอให้นายจ้างที่มีแรงงานต่างด้าวให้มาแจ้งขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งสำนักงานประกันสังคม พร้อมดูแลแรงงานต่างด้าว ให้ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 10/5/2562

สั่งย้าย "จนท.ประกันสังคม" หลังแฟนหนุ่มโพสต์ข้อมูลลับ พร้อมสอบวินัยร้ายแรง

นายอนันต์ชัย อุทัยพัฒนาชีพ เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม (สปส.) กล่าวถึงกรณีข่าวชายหนุ่มโพสต์ภาพหน้าจอที่แสดงข้อมูลส่วนตัวของผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม เพื่อขู่ชายอีกคนที่โทรศัพท์มาเหมือนมิจฉาชีพ โดยระบุว่า แฟนอยู่ประกันสังคมเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวทำงานที่ไหนรู้หมด ว่า สปส.ไม่ได้นิ่งนอนใจ ได้มีการดำเนินการสอบสวนอย่างเร่งด่วน โดยมีการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงในทันทีที่ทราบเรื่อง ทั้งนี้ เบื้องต้นได้มีคำสั่งย้ายแฟนสาวคนดังกล่าว ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ สปส.ออกจากพื้นที่ปฏิบัติราชการแล้ว ขณะนี้ตั้งคณะกรรมการสอบเอาผิดทางวินัยร้ายแรงกับเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว หากพบเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวของผู้ประกันตนจริงถึงขั้นไล่ออกจากราชการทันที

"ขอให้ผู้ประกันตนมั่นใจในการทำงานของสำนักงานประกันสังคมที่จะรักษาผลประโยชน์อันพึงมีพึงได้ของผู้ประกันตนเป็นสำคัญ รวมทั้งการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการ เจ้าหน้าที่สำนักงานประกันสังคม เป็นไปด้วยความโปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติตัวอย่างมีจริยธรรมและคุณธรรม นึกถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เพื่อประโยชน์ของนายจ้าง ลูกจ้าง ผู้ประกันตนอย่างแท้จริง" เลขาธิการ สปส. กล่าว

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 10/5/2562

‘กสทช.’ ย้ำผู้ประกอบการคืนช่องดิจิทัลทีวี ต้องจ่ายชดเชยเลิกจ้างพนักงานมากกว่า กม.แรงงานกำหนด

เมื่อวันที่ 10 พ.ค. 2562 เป็นวันสุดท้ายที่ผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิทัล ที่ประสงค์จะขอคืนใบอนุญาตให้บริการ ต้องส่งหนังสือแจ้งความจำนง กับสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) แล้ว ตามเงื่อนไขที่ระบุในคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 4/2562 เรื่องมาตรการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม

นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า ณ เวลา 11.00 น. วันที่ 10 พ.ค. 2562 ผู้ประกอบการโทรคมนาคม ทั้งเอไอเอส ดีแทค ทรู ได้มายื่นขอใช้สิทธิ์ขยายเวลาชำระเงินค่าประมูลคลื่น 900 MHz เรียบร้อยแล้ว ส่วนผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล ได้ส่งหนังสือแจ้งความจำนงขอ “คืนช่อง” แล้วทั้งหมด 3 ราย แต่ขอยังไม่เปิดเผยรายละเอียดว่าจะเป็นช่องใด

“มีการนัดหมายเข้าพบอีก 2 ราย แต่ไม่นัดหมายก็มายื่นหนังสือได้เหมือนกัน คาดว่าภายในเวลา 15.30 น. จะมายื่นกันครบทั้งหมด แต่ ณ เวลานี้ยังไม่มีช่องที่เป็นบิึกเซอร์ไพรส์ ส่วนใหญ่เป็นช่องที่คาดหมายกันไว้แล้วว่าจะคืน”

ขณะที่สำนักงาน กสทช. ได้ย้ำกับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลให้กำหนดมาตรการชดเชยการเลิกจ้างพนักงานให้มากกว่าที่กฎหมายแรงงานกำหนด เพราะภาครัฐได้ให้เงินเยียวยาจากการคืนช่องไปแต่ละรายเป็นจำนวนไม่น้อย

“เมื่อได้เงินจากรัฐไปช่วยแล้ว ก็ควรจะต้องจ่ายชดเชยให้พนักงานเพื่อไม่ได้รับผลกระทบมากในระหว่างที่ต้องหางาน ซึ่งคาดว่าอาจจะมีพนักงานได้รับผลกระทบกว่าพันคน”

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 10/5/2562

แรงงานไทยในอิสราเอลเสียชีวิตอีก 1 ราย

สถานการณ์แรงงานไทยในอิสราเอลยังคงมีความเสี่ยงไม่สู้ดีนัก นอกเหนือจากภาวะสงคราม หลบลูกระบิด-ปืนใหญ ที่กำลังตึงเครียดกันอยู่ การเสียชีวิตของแรงงานก็กิดขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้พรากชีวิตหนุ่มชาวจังหวัดอุดรธานี ผู้บากบั่นใช้แรงแลกเงิน นิวเชเกล เพื่อหวังยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัวให้ดีขึ้น

นายพายัค คงช่วย วัย 36 ปี แรงงานจาก อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี เสียชีวิตด้วยอาการปอดบวมและหัวใจล้มเหลว ขณะไปทำงานภาคการเกษตร ณ.โมชาฟ สเด-นิสสัน ประเทศอิสราเอล เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2562 เบื้องต้นครอบครัวผู้เสียชีวิตได้รับเงิน เป็นจำนวน 40,000 บาท จากกองทุนแรงงานคนไทยในอิสราเอล

พายัค เป็นแรงงานที่เดินทางไปทำงานที่อิสราเอสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่ทางกรมการจัดหางานเป็นผู้ส่งไปทำงานในโครงการ TIC หรือ “โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน” หรือ Thailand Cooperation on Placement of Worker ระยะเวลาการจ้างครั้งละ 2 ปี และสามารถต่อสัญญาจ้างงานได้อีก 3 ปี 10 เดือน รวมแล้วไม่เกิน 5 ปี 10 เดือน อัตราค่าจ้างขั้นต่ำในอิสราเอล เดือนละ 5,300 เชคเกลอิสราเอล หรือประมาณ 47,000 บาท และทุก ๆ ปี จะมีแรงงานไทยราว 5,000 คนสมัครไปทำงานภายใต้โครงการนี้ ในปัจจุบันมีแรงงานไทยในอิสราเอล 27,077 คน มีชาวจังหวัดอุดรธานีประมาณ 3000 คน

ตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 (พ.ศ. 2555) จนถึงเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2018 (พ.ศ. 2561) ที่เริ่มโครงการ TIC มีแรงงานไทยเสียชีวิตไปแล้ว 172 คน โดยบางคนเสียชีวิตเพราะเจ็บป่วย บ้างก็ฆ่าตัวตาย และจำนวนมากที่เสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุ

ที่มา: The Isaander, 9/5/2562

เลื่อนถกค่าจ้างขั้นต่ำไม่มีกำหนด เหตุ 'รมต.-ปลัดแรงงาน' ลาออก

ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานว่า หลังจากที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เพื่อไปเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) โดยใบลาออกจะมีผลในวันที่ 9 พ.ค. 2562 นี้

ทั้งนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังได้มีการทาบทามนายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน ลาออกจากตำแหน่งปลัดกระทรวงแรงงาน เพื่อไปเป็น ส.ว. เช่นกัน จึงทำให้หน้าที่ในการดูแลกระทรวงแรงงานตกไปอยู่กับ นพ.สุรเดช วลีอิทธิกุล รองปลัดกระทรวงแรงงานที่มีอาวุโสสูงสุด ที่จะรักษาการปลัดกระทรวงแรงงานไปก่อน จนกว่าจะมีรัฐมนตรีใหม่เข้ามา

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวจากกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า เมื่อปลัดกระทรวงแรงงานลาออกจากตำแหน่ง จึงทำให้การประชุมบอร์ดค่าจ้างกลางที่กำหนดจัดการประชุม เพื่อพิจารณาวาระการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในวันที่ 10 พ.ค. 2562 จำเป็นต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีรัฐมนตรี และปลัดคนใหม่

“การปรับขึ้นค่าจ้างขึ้นต่ำถือว่าเป็นเรื่องสำคัญของกระทรวงแรงงาน และเมื่อปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานบอร์ดค่าจ้างกลางลาออก จึงทำให้การประชุมพิจารณาการปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามที่อนุกรรมการวิชาการเสนอมานั้น ต้องเลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนด”

สำหรับตัวเลขอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่คณะอนุกรรมการวิชาการได้เสนอมายังบอร์ดค่าจ้างกลางนั้น ประกอบด้วย อัตรา 2-10บาท/ วัน ตามที่คณะกรรมการค่าจ้างจังหวัด ทั้ง 31 จังหวัดเสนอ ขณะที่อีก 46 จังหวัดที่คณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดไม่เสนอปรับขึ้นค่าจ้างให้ปรับขึ้นในอัตรา 2 บาท/วัน โดยจังหวัดที่ได้รับการเสนอให้ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสูงสุดที่ 10 บาท/วัน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร และภูเก็ต ปรับขึ้น 7 บาท/วัน ได้แก่ สมุทรปราการ ส่วนชลบุรี, ระยอง ให้ปรับขึ้น 5 บาทอีกด้วย

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 9/5/2562

แพทย์ห่วงอาชีพ 'ม้าเร็วสองล้อ' เสี่ยงเจ็บ-ตายบนท้องถนน จี้หาแนวทางป้องกันอุบัติเหตุ

เมื่อวันที่ 8 พ.ค. 2562 นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน (ศวปถ.) กล่าวภายหลังการประชุม “สื่อมวลชนกับการขับเคลื่อนความปลอดภัยทางถนน” จัดโดยองค์กร Internews และ Global Road Safety Partnership (GRSP) ณ รร.บลิสตัน สุวรรณ พาร์ควิว ย่านเพลินจิต กรุงเทพฯ ว่าตนเป็นห่วงกลุ่มผู้ประกอบอาชีพรับ - ส่งพัสดุ เช่น เอกสาร อาหาร ตลอดจนสินค้าอื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้มอเตอร์ไซค์เป็นพาหนะหลักและต้องทำงานแข่งกับเวลา จึงสุ่มเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้สูง จากปัจจัยดังนี้

1.เป็นอาชีพที่คนทำงานมักได้ค่าตอบแทนโดยคิดตามเที่ยวที่ส่งของได้ ยิ่งมีจำนวนเที่ยวส่งของมากยิ่งมีรายได้มาก คล้ายกับกรณีของรถตู้โดยสารที่คนขับรถหวังจะขับให้ได้จำนวนรอบมากๆ ผู้ขับขี่จึงมักใช้ความเร็วสูงเพื่อหวังที่จะกลับมาต่อคิววิ่งรอบต่อไปให้เร็วที่สุด 2.สินค้าบางชนิดมีการโฆษณาว่าจะสามารถส่งให้ลูกค้าได้ภายในเวลาไม่เกินกี่นาที จุดนี้แม้จะเผื่อเวลาไว้ แต่เมื่อออกสู่ท้องถนนจริงอาจเจอปัจจัยที่ไม่คาดคิด เช่น การจราจรติดขัด หรือบางหน่วยงานมีช่วงเวลารับของ เหล่านี้เป็นตัวแปรที่กดดันให้ต้องใช้การขับขี่ที่อาจเป็นอันตราย

และ 3.ความไม่ชำนาญในพื้นที่ส่งสินค้า ปัญหานี้เกิดขึ้นได้แม้กระทั่งพนักงานที่มีประสบการณ์และต้นสังกัดกำหนดพื้นที่รับงานไว้ชัดเจน เพราะในบางครั้งการไปส่งของให้ถูกที่ก็ต้องอาศัยการดูสถานที่ซึ่งมีรายละเอียดปลีกย่อยเฉพาะตัว ที่ลูกค้าบอกมาว่าเป็นที่รับของ ตรงนี้พนักงานหลายคนจะใช้วิธีมือข้างหนึ่งใช้โทรศัพท์มือถือคุยกับลูกค้าบ้างหรือกดดูแผนที่บ้างในขณะที่มืออีกข้างบิดคันเร่งให้รถแล่นไปด้วยซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุได้

นพ.ธนะพงศ์ กล่าวต่อไปว่าสิ่งที่ควรปรับปรุงเพื่อลดความเสี่ยงอุบัติเหตุบนท้องถนนของคนกลุ่มนี้ อาทิ กรณีเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่มีสาขาจำนวนมาก ควรมีระบบการบริหารจัดการโดยกำหนดพื้นที่ให้ผู้ส่งสินค้าแต่ละคนไม่ต้องวิ่งส่งสินค้าในระยะทางไกลจนต้องเร่งทำเวลาด้วยการใช้ความเร็วสูง รวมถึงระบบค่าตอบแทนต้องไม่เน้นไปที่จำนวนเที่ยวเป็นหลัก อย่างน้อยต้องมีเงินเดือนเป็นพื้นฐานเบื้องต้นในระดับหนึ่งแล้วมากกว่านั้นค่อยเป็นค่าเที่ยววิ่งไป เพื่อลดแรงกดดันที่ทำให้พนักงานต้องเร่งทำรอบ

นอกจากนี้ผู้ประกอบการควรจัดหาอุปกรณ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงให้กับพนักงาน เช่น หากทราบว่าพนักงานต้องโทรศัพท์พูดคุยกับลูกค้าเพื่อนัดหมายพิกัดสถานที่ส่งของ แม้วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือการทำให้รายละเอียดเส้นทางรวมถึงการคำนวณเวลาชัดเจนตั้งแต่ก่อนพนักงานจะเดินทางออกจากที่ตั้ง แต่ท้ายที่สุดหากต้องไปหาสถานที่กันอีกครั้งขณะขี่อยู่บนท้องถนน อย่างน้อยควรมีหูฟัง - ไมโครโฟนให้พนักงานสามารถพูดคุยโทรศัพท์กับลูกค้าโดยที่มือไม่ต้องถือโทรศัพท์

รวมถึงหากมีสินค้าที่ต้องไปส่งจำนวนมาก ผู้ประกอบการควรลงทุนใช้รถยนต์จะปลอดภัยกว่า ขณะเดียวกันควรมีกลไกที่ทำให้ผู้จะเข้าสู่อาชีพพนักงานขี่มอเตอร์ไซค์รับ - ส่งสินค้า ได้รับการฝึกอบรมทักษะบางอย่างที่จำเป็น เช่น การใช้เบรก และกรณีที่ผู้ประกอบการจัดซื้อมอเตอร์ไซค์ไว้ให้พนักงานใช้ทำงาน ก็ควรเป็นมอเตอร์ไซค์ที่มีระบบเบรก ABS เพราะเมื่อมีการเบรกกะทันหันก็จะลดการเสียหลักได้ ส่วนกรณีพนักงานส่งเอกสาร หน่วยงานหรือองค์การต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ต้องวางแผนเผื่อเวลาให้กับการเดินทางของพนักงานกลุ่มนี้ด้วย

“หน่วยงานที่ไม่เผื่อเวลาให้คนที่ขับขี่บนถนน แล้วไปคาดหวังว่าถ้าคุณรับเอกสารไปคุณต้องไปลงนัดให้ทัน แล้วให้เขาไปลุ้นเอาเอง ไปเสี่ยงเอาเองบนท้องถนน ในเชิงระบบถ้าเรามีการสอบสวนแล้วพบความเสี่ยงลักษณะนี้หน่วยงานต้องเข้ามารับผิดชอบ อาจต้องทบทวนวางหลักเกณฑ์ให้ชัดว่าแมสเซนเจอร์ (Messenger) จะมารับเอกสารไปส่งภายนอก จะต้องมารับเอกสาร รับข้อมูล และต้องมีเวลาให้เขามากพอที่จะไม่ต้องไปเร่งบนถนน” นพ.ธนะพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ แม้รายงานขององค์การอนามัยโลก (WHO) ที่เผยแพร่เมื่อปลายปี 2561 ประเทศไทยจะมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนมากเป็นอันดับ 9 ของโลก ลดลงจากรายงานเมื่อปี 2558 ซึ่งครั้งนั้นไทยอยู่ในอันดับ 2 ของโลก แต่หากแบ่งประเภทผู้เสียชีวิตตามยานพาหนะที่ใช้ พบว่าประเทศไทยมีผู้เสียชีวิตบนท้องถนนเป็นผู้ขี่มอเตอร์ไซค์มากที่สุดในโลก

ที่มา: แนวหน้า, 8/5/2562

แฉมุมมืด "นวดนาบเกาหลี" ล่อลวง-กักขัง-บังคับรับแขก วันละหลาย 10 หัว

เฟสบุ๊ค “ศูนย์คุ้มครองสตรีพลัดถิ่นทูเรบัง” ซึ่งเป็นศูนย์ช่วยเหลือและให้ความคุ้มครองผู้หญิงชาวต่างชาติที่ถูกล่อลวงให้มาขายบริการทางเพศในเกาหลีใต้ ออกมาแฉถึงด้านมืดของร้านนวดนาบที่เกาหลีใต้โดยได้โพสต์ให้เป็นข้อมูลและเป็นอุทาหรณ์ต่อคนที่กำลังจะคิดเข้ามาทำงานในเกาหลีให้รู้กัน งานนี้ไม่ได้ใช้แค่ร่างกาย ต้องขายจิตวิญญาณด้วย แถมโรคเอดส์ระบาดหนักขึ้น อีกทั้งชายเกาหลีไม่นิยมสวมถุงยางอนามัย

“แม้เหตุจูงใจว่าเข้านวดนาบจะทำแล้วเงินหาได้ง่ายๆ ไม่ต้องลำบากตรากตรำ มีเงินใช้จ่ายได้สบายมือ ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ แต่คนที่เข้ามาทำจริงจะถูกยึดพาสสปอร์ต กักขัง หรือไม่มีสิทธิไปไหนมาไหน

ยิ่งช่วงนี้ ตม.กวาดล้างหนักราคาค่านายหน้าก็สูงขึ้นเมื่อสูงขึ้นก็กระตุ้นให้นายหน้าทำทุกวิถีทางให้ผู้หญิงไทยเข้ามาทำงานที่นี่แม้กระทั้งการล่อหลอกหรือหลอกลวง”

นอกจากนี้ทางศูนย์ยังเล่าอีกว่า จากการไปสถานทูตทุกๆ ครั้งจะได้ยินแต่เรื่องราวที่โหดร้ายของผู้หญิงที่เป็นเหยื่อ แต่ก็ยังมีคนไม่ยอมเชื่อว่าขบวนการค้ามนุษย์เกาหลีมันร้ายกาจ และเลวร้ายมากแค่ไหน เพราะเขาไม่ใช่เจ้าหน้าที่ศูนย์ช่วยเหลือ ไม่ใช่เจ้าหน้าที่สถานทูตที่ต้องช่วยเหยื่อ

ผู้หญิงไทยที่เสี่ยงกับการเข้ามาทำงานที่นี่ไม่ใช่จะโชคดี และได้เงินสมใจทุกคน โอกาสที่เจอการบังคับขู่เข็ญ กักขัง ขมขื่น และผู้หญิงบางคนเสียสติ บางคนตาย บางคนหายสาบสูญ ยังไม่พอที่จะยืนยันให้รู้ว่างานนวดนาบที่เกาหลีมีความเสี่ยงมากแค่ไหน

ไม่เพียงเท่านี้ “ศูนย์คุ้มครองสตรีพลัดถิ่นทูเรบัง” ยังแฉต่ออีกว่า ทางศูนย์เองได้รับข้อมูลจากคนที่รู้จักเหยื่อที่เข้าไปทำงานนาบนวดที่เกาหลีว่าถูกชักชวนให้ไปนวดเงินที่ได้ตกวันละเกือบหมื่นแต่เมื่อไปถึงกลับโดนพาไปขายตัว ขังไว้ในห้อง บังคับให้นอนกับผู้ชายวันละหลายสิบคน

“รุ่นพี่เป็นคนสวยมากมีคนชวนไปทำงานสปาที่เกาหลีเขาก็โอเคเลย เพราะให้เงินเยอะมาก ตกวันละเกือบหมื่น พี่เลยมาชวนเราแต่เราสงสัยทำไมเขาไม่เอาคนนวดเป็น เลือกแต่คนสวยๆ เลยไม่ไป สรุปพี่โดนพาไปขายตัว มันขังไว้ในห้อง แล้วบังคับให้นอนกับผู้ชายวันละเป็นสิบๆ คน บางทีพวกแมงดาก็มาข่มขืนพี่ มันยึดพาสปอร์ตทุกอย่างไปหมด อยู่ในห้องแบบนั้นเป็นปีๆ กว่าจะหนีออกมาได้เกือบโดนตำรวจเกาหลีจับอีก ดีที่รัฐบาลไทยช่วยกลับมา”

เหยื่อหลายคนเล่าว่างานขายบริการทางเพศที่นี่ ไม่ใช่แค่มีเพศสัมพันธ์กับแขกเท่านั้น ต้องทำทุกอย่างเพื่อกระตุ้นอารมณ์ทางเพศเพื่อให้แขกพอใจถ้าทำไม่ได้จะโดนทำร้ายหรือด่าทอบางคนไม่ยอมก็จะถูกข่มขืนจากคนเกาหลีหลายๆ คน

ดังนั้นคนที่ทำงานแบบนี้ได้ไม่ใช่ขายแค่ร่างกายต้องขายจิตวิญญาณด้วยต้องเอาสุขภาพไปเสี่ยงกับโรคที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ทำงานไม่มีวันหยุดให้พัก หลายคนยอมยัดฟองน้ำใส่ช่องคลอด เพื่อไม่ให้รอบเดือนมา เป็นสิ่งที่อันตรายต่อสุขภาพมาก แต่ก็ทำกันพอมดลูกอักเสบก็กินยา เป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจที่หลายคนเห็นแก่เงินที่จะได้มากกว่าสุขภาพ

ขณะเดียวกันสถานการณ์โรคเอดส์ในเกาหลีตอนนี้กำลังระบาดหนักขึ้น แต่ไม่มีข่าวแพร่ เพราะคนรอบข้างช่วยกันปกปิด แอบไปรักษาเองบ้าง เป็นแล้วไม่รู้ว่าเป็นบ้าง นักเที่ยวเกาหลีก็ไม่ชอบใส่ถุงยางอนามัยป้องกันบ้าง เป็นภัยมืดที่อันตรายแต่หลายคนยังไม่ตระหนักหรือเตรียมตัวหรือหลายคนพร้อมตายไปกับอาชีพนี้เพื่อแลกกับเงินที่หาได้

ไม่เพียงเท่านี้ “ศูนย์คุ้มครองสตรีพลัดถิ่นทูเรบัง” ยังได้ออกมาเปิดใจเพิ่มเติมกับทีมข่าว MGR Live ว่าส่วนใหญ่ที่ไปทำแบบนี้มีอายุเพียง 20-30 ปี เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว มีหนี้สินต้องเลี้ยงคนทั้งครอบครัว จึงจำใจทำไปเพื่อเงิน มีบางเคสถูกข่มขื่นบังคับให้ขายบริการถึงขั้นเสียสติ

“การที่เข้ามาทำงานแบบนี้ที่เกาหลีส่วนมากได้ข้อมูลจากเอเยนซี่จากเฟซบุ๊ก ส่วนมากคิดไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องร้ายๆ แบบนี้ เหยื่อส่วนใหญ่ที่เจอจะถูกหลอกครึ่งหนึ่งและอีกส่วนเต็มใจเข้ามา

เกือบทั้งหมดจะขอให้ส่งตัวกลับไทยทันทีที่หนีออกมา ให้ช่วยส่งกลับประมาณเดือนละ2-3 คน ทางศูนย์จะให้ที่พัก และส่งค่าตั๋วเครื่องบินให้ฟรี ส่วนใหญ่จะไม่อยากอยู่ต่อ และจะถูกข่มขู่จากนายหน้าให้จ่ายค่ารักษาสัญญา และเรียกเก็บเงิน ผู้หญิงส่วนใหญ่จะเข้าข่ายถูกนำมาค้ามนุษย์ยึดพาสปอร์ต ใช้หนี้ตามที่เอเยนซี่กำหนดให้ และไปไหนมาไหนไม่ได้จนกว่าจะใช้หนี้หมดมีผู้หญิงหลายคนโชคร้ายเจอข่มขื่น ตบตี

คนที่ทำได้จะอวด และโชว์ว่าเงินดี งานสบาย แต่ในความเป็นจริงมีความเสี่ยงมาก โรคเอดส์ระบาดหนักแต่ไม่มีใครกล้าบอกมีแต่เป็นแล้วหนีกลับบ้าน คนที่ไม่ชอบสวมถุงยางอนามัยก็แอบบถอดออก หรือให้ทริปเพื่อให้ยอมมีอะไรด้วย ทำสารพัดเกินกว่าแค่งานขายบริการที่ไทย”

ทางศูนย์เล่าต่ออีกว่าเรื่องภาพลักษณ์ของการนวดไทยนั้น ทางบอสเกาหลีใช้มาเป็นข้ออ้างว่าจรรยาบรรณหมอนวดไม่มีเพราะบอสเกาหลีเอามาเป็นตัวล่อและแอบแฝงขายบริการเพราะถ้าไม่ขายบริการก็ไม่มีแขกเข้าร้าน

เมื่อเรื่องราวเหล่านี้ได้ถูกตีแผ่ออกไปในโลกโซเชียล ทำให้สังคมส่วนใหญ่ตั้งคำถามว่าทำไมคนต้องมองว่าหมอนวดต้องขายบริการเสมอไป ในวันนี้เรื่องราวเหล่านั้นยิ่งตอกย้ำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น อีกทั้งยังส่งผลต่อภาพลักษณ์ในวงการนวดของไทยไปในทางที่เสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก

คนที่นวดบางคนเขาก็ไปนวดกันจริงๆเขาไม่ได้ไปนาบก็มี ไม่เข้าใจทำไมต้องมองหมอนวดเป็นหมอนาบ ทำไมต้องมองว่าอาชีพนี้ต้องขายบริการเสมอไป คนที่เขาทำเขาอาจจะไปนวดจริงๆ เพราะเขาก็ฝึกมาจนกว่าจะนวดเป็น หมดเงินไปตั้งหลายหมื่นบาท อันนี้ที่แสดงความคิดเห็นก็คือไม่อยากให้มองหมอนวดเป็นคนที่ขายบริการเสมอไป คนที่เขานวดจริงที่อยากให้คนที่ปวดเมื่อยหายจริงๆ นวดด้วยความจริงใจก็มีค่ะ”

“คนไปนวดจริงๆ ก็ต้องทำให้ถูกต้องด้วยครับ เรียนนวดแล้วก็ต้องสอบวัดความสามารถถึงจะได้ใบอนุญาตจากทางราชการกรมการแพทย์แผนไทย ก่อนไปเป็นหมอนวดก็แค่แจ้งเรื่องผ่านกระทรวงต่างประเทศ คราวนี้ก็จะสามารถไปทำงานที่ไหนก็ได้ทั่วโลกเพราะทางการรับรู้ เวลาไปทำที่ไหนก็มีสถานกงสุลสถานทูตรับรู้เรื่องว่ามีคนไทยไปนำงานที่นั่นที่นี่ ก็จะไม่ต้องกลัวเรื่องความปลอดภัยมาก แค่นี้เองง่ายจะตาย”

อย่างไรก็ตามทีมข่าว MGR Live ได้ติดต่อไปยัง ปัญญวัตน์ ตั้งจิตมโนธรรม หรือ อ.ปิงนวดแผนไทย ในฐานะที่อยู่ในวงการนวดมาอย่างยาวนานได้เปิดใจว่าเรื่องเหล่านี้กระทบต่อวงการนวดมานานแล้ว ถูกมองไปในทางที่เป็นแบบนั้นมาตลอด

“ตอนนี้นวดไทยแท้ๆ อยู่ในประเทศแต่นวดไทยที่อยู่ต่างประเทศไม่ใช่นวดไทย เป็นการใช้นวดประเภทอื่นแล้วไปอ้างว่าเป็นนวดไทยกลายเป็นว่าภาพของนวดไทยถูกมองไปเป็นแบบนั้นด้วยความที่ว่าคนที่ทำเขาก็ไม่รู้ส่วนใหญ่ที่ไปก็คือแนะนำกันไปเองแล้วก็ไม่ได้เรียนจากสถาบันที่กระทรวงรับรองแนะนำไปในทางที่ไม่ถูกเพราะฉะนั้นจึงมีภาพลักษณ์ไม่ดีกลับมาในส่วนนี้คือมีมานานแล้วเราก็ไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะว่าหน่วยงานของรัฐก็ไม่ได้เข้ามาดูแล

ส่วนเรื่องที่คนมองว่าอาชีพนี้ต้องขายบริการเสมอไปนั้นผมมองว่าอยู่ที่คนชี้นำมากกว่าผมว่าบางทีคนเขาตั้งใจจะไปทำแต่ด้วยเหตุที่ว่าเขาถูกหลอกไปแล้วต้องมีค่าใช้จ่ายที่เขาจะต้องหามาใช้หนี้จึงกลายเป็นตกกระไดพลอยโจรมากกว่าถามว่าเขาอยากทำไหมเขาไม่อยากทำหรอกแต่ด้วยความที่กู้หนี้ยืมสินไปแล้วทำไงได้ พอไปแล้วก็กู่ไม่กลับ”

ทั้งนี้อ.ปิงยังฝากถึงวงการนวดอีกว่า อยากให้รักษาอัตลักษณ์ความเป็นไทยของเราไว้ เพราะว่าเรามีอัตลักษณ์การนวดไทยของเราอยู่ อยากให้รักษาไว้อย่าให้เสื่อม เพราะการรกะทำที่ไม่เข้าใจ ที่ไม่รู้จริง อยากฝากให้ส่วนราชการเข้ามาช่วยในส่วนนี้บ้างไม่ใช่แค่ว่าสร้างภาพลักษณ์ไปวันๆ จะทำอะไรก็ให้นึกถึงอัตลักษณ์ของนวดไทยจริงๆ ให้มีศักดิ์ศรีของความเป็นไทยบ้างอย่าให้ประเทศเสียหายเพราะการกระทำที่ไม่ถูกทาง

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 8/5/2562

ปลอดภัยแล้ว หนุ่มอุดรฯ แรงงานในอิสราเอล โดนระเบิดลูกหลง

กรณีเพจเฟสบุ๊ค TIC นักสู้ภาคอีสานเพื่อนไทยในอิสราเอล ที่ติดตามเป็นศูนย์กลางรายงานความเคลื่อนไหวของกลุ่มแรงงานคนไทยในอิสราเอล ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความระบุว่ามีแรงงานชาวไทยชาวอุดรธานี โดนลูกหลงระเบิดจากการโจมตีฉนวนกาซา เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งนี้มีภาพตอนถูกสะเก็ดระเบิดได้รับบาดเจ็บสาหัส มีภาพเหตุการณ์ที่ผู้คนช่วยเหลือนำตัวส่งโรงพยาบาล เหตุเกิดเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ล่าสุดมีการโพสต์ภาพถ่ายที่โรงพยาบาล ระบุว่าขณะนี้อาการปลอดภัยแล้ว โดยมีผู้เข้าไปให้กำลังใจจำนวนมาก

กรณีดังกล่าวผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.อุดรธานี เมื่อวันที่ 7 พ.ค. ที่สำนักงานจัดหางาน จ.อุดรธานี นายจักก์ สมุทรกลิน นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี ให้ข้อมูลแรงงานไทยที่ได้รับบาดเจ็บ ชื่อ นายไชยา มหาโคตร อายุ 39 ปี อยู่ที่ 107 หมู่ 10 บ้านหนองแวง ต.ไชยวาน อ.ไชยวาน จ.อุดรธานี เป็นแรงงานที่เดินทางไปทำงานที่อิสราเอสอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่ทางกรมการจัดหางานเป็นผู้ส่งไปทำงานในโครงการ TIC หรือ “โครงการความร่วมมือระหว่างประเทศไทย-อิสราเอล เพื่อการจัดหางาน” หรือ Thailand Cooperation on Placement of Worker

จากนั้นนายจักก์ พร้อมเจ้าหน้าที่ สนง.แรงงาน จ.อุดรธานี ได้เดินทางไปยังบ้านเลขที่ 107 หมู่ 10 บ้านหนองแวง ต.ไชยวาน อ.ไชยวาน พบ นางบัวลอย มหาโคตร อายุ 68 ปี แม่ของนายไชยา เพื่อให้กำลังใจกับครอบครัว พร้อมแจ้งข่าวและสิทธิต่างๆ จากทางกรมการจัดหางาน เนื่องจากเป็นการเดินทางไปทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่จะได้สิทธิ์จากกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานต่างประเทศ ไม่ว่าจะเสียชีวิต หรือได้รับบาดเจ็บจากการทำงาน พร้อมรับตัว นางบัวลอย มายังสำนักงานแรงงาน จ.อุดรธานี เพื่อวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ กับ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รมว.แรงงาน และทูตไทยในอิสราเอล

นางบัวลอย เปิดเผยว่า ทราบข่าวลูกชายถูกสะเก็ดระเบิดขณะทำงานที่สวนเกษตรของนายจ้าง ช่วงเช้าวันที่ 6 พ.ค. หลังเกิดเหตุ โดยพี่สาวของนายไชยานำภาพจากเฟซบุ๊กมาให้ดู แต่ตนไม่กล้าดู เพราะตกใจเข่าอ่อน กลัวว่าลูกจะเป็นอะไรมาก ได้แต่ถามว่าเจ็บมากไหม ขาขาด แขนขาดไหม หลังจากนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้ว มาทราบว่าอาการของลูกปลอดภัยก็ดีใจ มีเพื่อน มีนายจ้างไปดูแล แต่ยังคงเป็นห่วงลูกชายเหมือนเดิม ซึ่งที่ผ่านมาลูกชายไปทำงานต่างประเทศมาแล้ว 4 ประเทศ คือ สิงคโปร์ ไต้หวัน เกาหลีใต้ และล่าสุดที่อิสราเอล

“พอรู้ว่าอาการของลูกปลอดภัยแล้ว ก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไรให้ ได้แต่ภาวนาว่าเขาหายดี ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงเหมือนเดิม คิดว่าจะทำบุญให้เขา เมื่อเขากลับมาก็จะให้บวช เพราะทุกวันนี้ยังไม่ได้บวชให้แม่เลย ส่วนสัญญาที่ทำงานเหลืออีกปีเศษ หากเขากลับมาแล้ว อยากไปทำงานเมืองนอกอีก ก็เป็นเรื่องของเขา แต่ตอนนี้แม่รู้สึกสบายใจขึ้น แต่ยังคงเป็นห่วงอยู่ ถึงเขาจะไม่เป็นอะไร เราที่เป็นแม่ก็ยังคงห่วงลูกอยู่ ฝากเพื่อนๆ ลูกที่นั่นให้ดูแลลูกชายด้วย ขอบคุณที่ช่วยดูแลลูกชาย และฝากให้ทางการดูแลอีก ดีใจที่ทางการออกมาดูแลถึงที่บ้าน”

ที่มา: ไทยรัฐ, 7/5/2562

สภานายจ้างเร่งสร้างงานวิสาหกิจชุมชน รองรับผู้สูงวัยมีงานทำ-ลดภาระครอบครัว

นายเอกสิทธิ์ คุณานันทกุล ประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งประเทศไทย และประธานสภาองค์การนายจ้างแห่งอาเชียน เปิดเผยว่า สภาองค์การนายจ้างฯ ได้ตั้งคณะทำงานไตรภาคี 3 ฝ่าย แยกเป็น ฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และฝ่ายภาครัฐ ขึ้นมา เพื่อรองรับการขับเคลื่อน Future of work โดยตรง ผลักดันการทำงานลูกจ้างให้มีการพัฒนาที่ดีขึ้น ก้าวทันเทคโนโลยีที่มีการเปลี่ยนแปลงโลก เพื่อเป็นข้อแลกเปลี่ยนที่นายจ้างจะประกาศขึ้นค่าแรงให้ และลดปัญหาการว่างงาน รวมถึงส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำจากการสร้างวิสาหกิจชุมชน

นายเอกสิทธิ์ กล่าวว่า การต่อยอดทักษะของแรงงานไทย ควรนำเทคโนโลยีต่างๆ มาปรับใช้ให้ดีขึ้นทันกระแสโลก เนื่องจากหากลูกจ้างหรือแรงงานไม่มีทักษะในการใช้เทคโนโลยี ก็จะไม่มีข้อต่อรองกับนายจ้างในการปรับขึ้นค่าแรง และปัญหาที่ตามมาคือการว่างงานที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสภาเองต้องการช่วยเหลือลูกจ้างอย่างจริงจัง ลูกจ้างจึงควรมีการพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ยังพุ่งเป้าไปยังกลุ่มผู้สูงอายุ สืบสานงานต่อเนื่องจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ทำไว้โดยเห็นคุณค่าผู้สูงอายุ เพราะ อีกไม่นาน ไทยจะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มตัว จึงมุ่งหวังส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำด้วย โดยการสร้างวิสาหกิจชุมชนขึ้น เพื่อสร้างงานสร้างอาชีพ และสร้างรายได้ ให้ผู้สูงอายุ ที่ไม่ต้องอยู่เฉยๆกลายเป็นภาระของครอบครัวและสังคม ที่สำคัญยังลดปัญหาโรคความจำเสื่อมในผู้สูงอายุให้น้อยลงด้วย

ประธานสภาองค์การนายจ้างฯ กล่าวว่า นายจ้างควรมีความเป็นธรรมกับลูกจ้าง หากมีการพัฒนาขีดความสามารถขึ้น ควรมีโบนัส และปรับเพิ่มค่าแรง ให้เป็นขวัญกำลังใจ ในการทำงาน ตนเชื่อว่า นายจ้างแต่ละองค์กร ย่อมมีจิตวิญญาณแห่งความชอบธรรม และความตั้งใจอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ที่แต่ละองค์กรจะให้ยังไง และการทำงานในแต่ละองค์กร ควรจัดฝึกอบรมให้ความรู้ลูกจ้าง ที่เกิดประโยชน์ในการทำงานบ้าง เพื่อลูกจ้างจะได้นำความรู้ไปต่อยอดการทำงานให้ดียิ่งขึ้น และควรมีการทดสอบเป็นรายคน หรือรายกลุ่ม ให้เกิดความมั่นใจ

สำหรับลูกจ้างที่ข้องใจว่าหากนายจ้างให้ทำงานเกิน 8 ชั่วโมงและไม่ให้ค่าล่วงเวลาในชั่วโมงถัดไป สามารถเอาผิดกับนายจ้างได้หรือไม่ นายเอกสิทธิ์ ระบุว่า ขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ที่ทั้ง 2 ฝ่าย ควรอะลุ้มอล่วย และเอื้อประโยชน์กันและกัน หากนายจ้างไม่อยู่ในกรอบที่กำหนดก็สามารถร้องเรียนได้ หรือลูกจ้างเอง ถ้าไม่ปฎิบัติงานในกรอบข้อตกลง นายจ้างก็สามารถเอาผิดได้เช่นกัน

ที่มา: ข่าวสด, 7/5/2562

ครม. เห็นชอบ โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) ผ่านกองทุน กยศ.

นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้กระทรวงการคลังโดยกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ดำเนินโครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ (Human Capital) เพื่อรองรับ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน ผ่าน กยศ. (โครงการฯ)

โครงการฯ มีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นให้ผู้ที่อยู่ในวัยศึกษาทั้งในระดับปริญญาตรีและระดับอาชีวศึกษาเห็นความสำคัญของสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ 2) อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ 3) อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 4) การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพ 5) อุตสาหกรรมการแปรรูปอาหาร 6) อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ 7) อุตสาหกรรมการบินและโลจิสติกส์ 8) อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ 9) อุตสาหกรรมดิจิทัล และ 10) อุตสาหกรรมการแพทย์ครบวงจร

และ 3 อุตสาหกรรมหลักสำหรับโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง (3 โครงสร้างพื้นฐาน) ซึ่งประกอบด้วย 1) อุตสาหกรรมระบบราง 2) อุตสาหกรรมพาณิชย์นาวี และ 3) อุตสาหกรรมโลจิสติกส์

โครงการฯ ประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปีการศึกษา (ปีการศึกษา 2562 – ปีการศึกษา 2566) สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้

1. โครงการส่งเสริมการพัฒนาทุนมนุษย์ในระดับปริญญาตรี โดยผู้กู้ยืมเงินที่เข้าร่วมโครงการซึ่งเป็นนิสิตและนักศึกษาในระดับปริญญาตรีที่กำลังศึกษาหรือกำลังจะเข้าศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน เมื่อสำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่กำหนด กยศ. จะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.5 และได้ส่วนลดเงินต้นร้อยละ 30 อย่างไรก็ดี กรณีที่ผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถสำเร็จการศึกษาหรือไม่ได้สำเร็จการศึกษาตามสาขาที่กำหนดไว้หรือผิดนัดชำระหนี้ จะไม่ได้รับส่วนลดเงินต้น โดยจะต้องชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่ กยศ. กำหนด

2. โครงการส่งเสริมทรัพยากรมนุษย์ในระดับอาชีวศึกษา โดยผู้กู้ยืมเงินที่เข้าร่วมโครงการซึ่งเป็นนักเรียนอาชีวศึกษาที่กำลังศึกษาหรือกำลังจะเข้าศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน เมื่อสำเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่กำหนด กยศ. จะคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 0.5 และได้ส่วนลดเงินต้นร้อยละ 50 อย่างไรก็ดี กรณีที่ผู้กู้ยืมเงินไม่สามารถสำเร็จการศึกษาหรือไม่ได้สำเร็จการศึกษาตามสาขาที่กำหนดไว้หรือผิดนัดชำระหนี้ จะไม่ได้รับส่วนลดเงินต้น โดยจะต้องชำระหนี้ตามเงื่อนไขที่ กยศ. กำหนด

ทั้งนี้ กยศ. จะพิจารณากำหนดสถานศึกษาและสาขาวิชาที่เป็นความต้องการของ 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย และ 3 โครงสร้างพื้นฐาน โดยสามารถกำหนดหรือปรับปรุงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ตามความเหมาะสม

กระทรวงการคลังคาดว่า การดำเนินโครงการฯ จะช่วยลดปัญหากำลังแรงงานส่วนเกินซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขาดทักษะที่ตรงกับสายงานที่ตลาดต้องการ และจะช่วยสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านทรัพยากรมนุษย์ ทำให้ประเทศมีกำลังแรงงานในอนาคตที่มีศักยภาพ รวมทั้งสร้างกำลังคนในสายอาชีวะ/สายวิชาชีพที่ยังขาดแคลน เพื่อตอบสนองความต้องการในการพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจและโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมของไทยต่อไปในอนาคต

ที่มา: การเงิน การธนาคาร, 7/5/2562

แท่นปูนก่อสร้างอาคารย่านถนนเพชรเกษม จ.สมุทรสาคร หล่นทับคนงานเสียชีวิต 1 คน บาดเจ็บ 2 คน

7 พ.ค.2562 พ.ต.อ.ภาคภูมิ ศรีลาภะมาศ ผกก.สภ.กระทุ่มแบน กล่าวว่า เวลา 10.30 น. สภ.กระทุ่มแบน รับแจ้งเหตุแท่นปูนอาคารก่อสร้างหล่นทับคนงาน ที่เกิดเหตุอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารสำนักงานและอาคารจอดรถสูง 4 ชั้น

ในขณะยกแผ่นปูนซีเมนต์ประกอบผนังอาคาร น้ำหนัก 6 ตัน ได้หล่นลงมาจากชั้นที่ 4 ทับร่างของนายณัฐวุฒิ ชอบสุข อายุ 24 ปี ชาว จ.บุรีรัมย์ ซึ่งเป็นคนงานเสียชีวิต และมีคนงานอีก 2 คน ได้รับบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่นำตัวส่งรักษาพยาบาลแล้ว

จากการสอบถามคนงานในที่เกิดเหตุ บอกว่า นายสุพัก ช่อรัก คนขับรถเครน ได้ยกแผ่นผนังปูนขึ้นไปยังจุดก่อสร้าง ขณะนั้นมีคนงาน 3 คน ทำหน้าที่ช่วยกันยึดแผ่นผนังปูนให้เข้าที่ จากนั้นมีเสียงตะโกนว่าให้เอาสลิงออก ตัวเองจึงได้ปลดออกและปรากฏว่าแผ่นปูนหล่นลงมาพร้อมกับคนงาน ทำให้ได้รับบาดเจ็บสาหัส 2 คน เสียชีวิต 1 คน

ที่มา: Thai PBS, 7/4/2562

กรมประมงเปิดอบรมผู้สังเกตการณ์บนเรือ

กรมประมง เปิดรับสมัครบุคคลที่สนใจ จำนวน 30 อัตรา เข้ารับการฝึกอบรม หลักสูตร “ผู้สังเกตการณ์บนเรือ” (Observer on Board) เพื่อไปทำหน้าที่เป็นผู้สังเกตการณ์บนเรือประมงและเรือขนถ่ายของไทยที่ไปทำประมงในเขตทะเลหลวง และที่ออกไปทำประมงในน่านน้ำของรัฐชายฝั่งอื่น รวมถึงเรือประมงที่ขนถ่ายสัตว์น้ำนอกน่านน้ำ ตามหลักมาตรฐานสากลสำหรับควบคุมการทำประมงให้เป็นไปอย่างถูกกฎหมาย มีความรับผิดชอบ และนำไปสู่การบริหารจัดการให้เกิดความยั่งยืนของทรัพยากรประมง

สำหรับผู้ที่ผ่านการอบรมและขึ้นทะเบียนเป็น Observer on Board เมื่อได้ไปปฏิบัติงาน จะได้รับค่าจ้างวันละ 2,100 บาท ทั้งนี้ ผู้ได้บรรจุเป็น Observer on Board จะต้องยินยอมปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาประกันในการปฏิบัติงาน (ระยะเวลา 2 ปี) หรือสัญญาชดใช้เงินคืนตามที่กรมประมงกำหนด โดยในระหว่างสัญญาการปฏิบัติงานนั้น สามารถไปประกอบอาชีพอื่นได้จนกว่ากรมประมงจะเรียกตัวมาปฏิบัติงาน

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ตั้งแต่บัดนี้ – 8 พฤษภาคม 2562 ณ กองควบคุมการประมงนอกน่านน้ำและการขนถ่ายสัตว์น้ำ อาคารเชิดชายอมาตยกุล ชั้น 1 กรมประมง

ที่มา: ไอเอ็นเอ็น, 4/5/2562

 

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net