Skip to main content
sharethis

18 พ.ค. 2562 เพจ The Pen รายงานว่าศาลจังหวัดนาทวี ได้พิพากษาว่าผู้ชุมนุม จำนวน 4 คน ที่ร่วมกันเดินขบวนพร้อมชาวบ้านนับร้อยคนจาก อ.เทพา จ.สงขลา เพื่อไปยื่นหนังสือคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพา ต่อนายกรัฐมนตรี ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย อ.เมือง จ.สงขลา เมื่อวันที่ 27 พ.ย.2560 มีความผิดตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 มาตรา 10 จัดการชุมนุมโดยไม่ได้แจ้งต่อผู้รับแจ้ง ก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง และมาตรา 17 เดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมโดยไม่แจ้งต่อหัวหน้าสถานีตำรวจ 

โดยผู้ชุมนุมทั้ง 4 คน ประกอบด้วย 1.นายดิเรก เหมนคร ผู้ประสานงานเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหิน โพสต์ในเฟสบุ๊ค เมื่อวันที่ 23 พ.ย. 2560 2.นายอัยโยบ มุเซะ ซึ่งเดินนำหน้าการเดินขบวน 3.นางรอกีเยาะ สะมะแอ ในฐานะเจ้าของบ้าน และ 4.นายเอกชัย อิสระทะ เลขาธิการ กอ.อพช.ภาคใต้ ในฐานะที่แจ้งให้มีการชุมนุม โดยปรับใน 2 ข้อหาๆ ละ 10,000 บาท รวมปรับคนละ 20,000 บาท และยกฟ้องนายหมิด ชายเต็ม 

เพจ The Pen ได้ตั้งข้อสังเกตว่า อย่างไรก็ดีประเด็นที่ถูกพูดถึง คือ คดีดังกล่าวเคยตัดสินสิ้นสุดไปแล้วโดยศาลสงขลาเมื่อเดือน ธ.ค. 2561 ปีที่ผ่านมา โดยลักษณะข้อกล่าวหา และผู้ถูกกล่าวหา ก็คล้ายกัน จนทำให้ทนายฝั่งผู้ถูกกล่าวหาเตรียมยื่นอุธรณ์คดี

จุดเริ่มต้นคดีนี้ต้องย้อนไปเมื่อวันที่ 27 พ.ย. 2560 เมื่อเครือข่ายคนสงขลา-ปัตตานีไม่เอาโรงไฟฟ้าถ่านหินทำกิจกรรมเดินเท้าเป็นเวลา 4 วัน จากอำเภอเทพา จังหวัดสงขลาไปที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เพื่อสื่อสารต่อสาธารณะและยื่นหนังสือต่อพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช.ในวันที่ 28 พ.ย. 2560 

แต่เมื่อถึงวันที่ 27 พ.ย. 2560 เจ้าหน้าที่ได้เข้าสลายการชุมนุมและจับกุมตัวชาวบ้าน 16 คน ที่ร่วมในกิจกรรมและแจ้งข้อกล่าวหาตาม พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะฯ พ.ร.บ.จราจรฯ และข้อหา พกพาอาวุธและต่อสู้ขัดขวางเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาต่อมามีการสั่งฟ้องต่อศาลจังหวัดสงขลา และมีการนัดสืบพยานฝ่ายโจทก์และจำเลย ใช้เวลากว่า 5 เดือน จนเสร็จสิ้นไปเมื่อเดือน ต.ค. 2561 

ต่อมาศาลได้นัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 ธ.ค. 2561 โดยศาลตัดสินยกฟ้องคดีชาวบ้านทั้ง 17 คน และ พิพากษาให้จำเลยที่ 1.นายเอกชัย อิสระทะ และจำเลยที่ 3.นายปาฏิหาริย์ บุญรัตน์ มีความผิดฐานตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ โทษปรับคนละ 5,000 บาท 

ทั้งนี้ระหว่างการถูกดำเนินคดีดังกล่าวอยู่ ในช่วงเดือน ต.ค. 2561 พนักงานสอบสวน สภ.เทพา ได้มีการออกหมายเรียกผู้ต้องหา 5 ราย ข้างต้น ให้ไปรับทราบข้อกล่าวหาใหม่อีก โดยสามรายในจำนวนนี้คือ นายเอกชัย ดิเรก และนายอัยโยบ มุเซะ ได้ถูกกล่าวหาดำเนินคดีในคดีแรกที่ศาลจังหวัดสงขลามาแล้ว

สำหรับคดีใหม่นี้ มี พ.ต.อ.วีรวุธ สันนะกิจ ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเทพาเป็นผู้กล่าวหา ในความผิดฐานร่วมกันจัดการชุมนุมสาธารณะโดยไม่แจ้งการชุมนุมต่อผู้รับแจ้งก่อนเริ่มการชุมนุมไม่น้อยกว่ายี่สิบสี่ชั่วโมง และเดินขบวนหรือเคลื่อนย้ายการชุมนุมโดยไม่แจ้งล่วงหน้าต่อหัวหน้าสถานีตำรวจที่มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลการชุมนุมสาธารณะตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ พ.ศ.2558 ซึ่งในชั้นสอบสวนนั้น ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 5 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา จนเมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2561 พนักงานสอบสวน สภ.เทพา ได้นัดส่งตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คนให้อัยการ 

อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ผู้ต้องหาทั้ง 5 ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการ โดยในหนังสือขอความเป็นธรรมตอนหนึ่งได้ระบุว่า คดีนี้มีพฤติการณ์และข้อเท็จจริงเดียวกันกับคดีเทใจให้เทพาคดีแรก ที่กำลังต่อสู้คดีในศาลจังหวัดสงขลา และกำลังรอฟังคำพิพากษาในวันที่ 27 ธ.ค. 2561 จึงเป็นการดำเนินคดีที่ขัดต่อหลักการห้ามดำเนินคดีซ้ำ และยังก่อให้เกิดปัญหาที่เกี่ยวเนื่องกับการดำเนินคดีอาญาซ้ำในชั้นเจ้าพนักงานตามมาอีกด้วย

แต่หลังจากการส่งสำนวนให้อัยการเพียง 3 วัน พนักงานอัยการก็ได้มีการพิจารณาสั่งฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดนาทวีทันที โดยไม่ได้มีการเรียกพยานฝ่ายผู้ต้องหามาสอบสวนเพิ่มเติม และพิจารณาคำร้องขอความเป็นธรรมดังกล่าว และยังอ้างว่า ชาวบ้านเริ่มชุมนุมกันเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 2560 ในพื้นที่ อ.เทพา ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจศาลจังหวัดนาทวี แต่ศาลจังหวัดนาทวี วินิจฉัยว่าเป็นเรื่องที่เกิดกันคนละพื้นที่และคนละเวลากัน โดยที่ จ.สงขลา คือวันที่ 27 พ.ย. 2560 แต่ที่ศาลจังหวัดนาทวีคือวันที่ 24-25 พ.ย. 2560

ขณะที่ฝั่งกลุ่มผู้เสียหายโดยทนายของกลุ่มผู้ชุมนุม เห็นว่ายังคงมีข้อกฎหมายที่จะไปดูว่าจะอุทธรณ์ได้หรือไม่ เนื่องจากพวกเราพยายามต่อสู้คดีตั้งแต่ชั้นพนักงานสอบสวนว่า คดีนี้เป็นเหตุเดียวกัน และเคยดำเนินคดีนี้แล้วในความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุม โดยศาลจังหวัดสงขลาต ยกฟ้องชาวบ้าน จำนวน 17 คน และพิพากษาให้นายเอกชัย และนายปาฏิหาริย์ บุญรัตน์ มีความผิดตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ปรับคนละ 5,000 บาท  

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net