Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

จากการที่ พ.ร.บ.จัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่น (อปท.) จำนวน 5 ฉบับและ พ.ร.บ.เลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น จำนวน 1 ฉบับ ได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป นั้น

เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้วเห็นว่าจากวิวัฒนาการของการปกครองท้องถิ่นไทยได้มีพัฒนาการคืบหน้ามาโดยลำดับ แม้ว่าจะสะดุดหยุดลงในช่วงหลังรัฐประหาร 2557 ซึ่ง คสช.ได้มีการออกประกาศและคำสั่งหลายฉบับที่ริดรอนอำนาจขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และที่ร้ายที่สุดคือการระงับการเลือกตั้งสมาชิกสภาและผู้บริหารท้องถิ่นมาเกือบ 5 ปีแล้ว แต่เมื่อได้มี พ.ร.บ.ทั้ง 5 ฉบับดังกล่าวออกมา แทนที่จะมีความก้าวหน้า แต่กลับเป็นการรวบอำนาจถอยหลังไปจนผิดหลักการของการปกครองท้องถิ่นที่แท้จริงและบางประเด็นก็ขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ ปี 60 อย่างชัดแจ้ง คือ

1) ในบทเฉพาะกาลของ พ.ร.บ.การเลือกตั้งท้องถิ่นฯ มาตรา 142 บัญญัติให้การเลือกตั้งครั้งแรกภายหลังจากที่ พ.ร.บ.นี้ใช้บังคับเมื่อคสช.เห็นสมควรให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นของอปท.ใด ให้แจ้งคณะกรรรมการ         การเลือกตั้ง (กกต.) ทราบ โดยได้บัญญัติไว้ว่ากรณีที่ไม่มีคสช.แล้วให้อำนาจคสช.เป็นของครม. ซึ่งจะเห็นได้ว่าการเลือกตั้งฯ จะมีขึ้นได้หรือไม่จะต้องขึ้นอยู่กับคสช.และครม. แทนที่จะเป็นอำนาจหน้าที่ของอปท.หรือกกต.โดยตรง

2) มีการกำหนดอายุในคุณสมบัติของผู้บริหาร อปท.ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 35 ปีนับถึงวันเลือกตั้ง (เดิม 25 ปี) โดยใช้การเทียบเคียงกับคุณสมบัติรัฐมนตรี ซึ่งเห็นว่าเป็นการกำหนดเกณฑ์อายุที่สูงเกินไป และเป็นการปิดโอกาสคนรุ่นใหม่ที่จะเริ่มทำกิจกรรมทางการบริหาร อปท.

3) มีการลดจำนวนสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบล ( อบต.) เหลือเพียงหมู่บ้านละ 1 คน (เดิม 2 คน) ทำให้ประชาชนมีโอกาสเลือกตัวแทนของตนเองเพื่อไปเป็นปากเสียงน้อยลง

4) ผู้บริหารอปท.จะดำรงตำแหน่งเกิน 2 วาระๆละ4ปีไม่ได้ หากดำรงตำแหน่งวาระติดต่อกันแล้วจะดำรงตำแหน่งได้อีกเมื่อพ้นระยะเวลา 4 ปี (ไม่ว่าจะกี่สมัยก็ตาม-บางสมัยอาจอยู่ไม่ครบวาระ 4ปี) นับแต่วันพ้นตำแหน่ง ซึ่งเป็นการปิดโอกาสของอปท.เล็กๆที่ขาดแคลนผู้ที่มีความรู้ความสามารถเป็นผู้บริหารฯ และประชาชนยังพึงพอใจอยู่ไม่สามารถลงสมัครรับเลือกตั้งฯ ได้

5) บทบัญญัติของ พ.ร.บ.จัดตั้งอปท.ฯ ขัดแย้งกับมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบิหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 ที่บัญญัติให้หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตามแนวทางของ พ.ร.บ.ฯ นี้ และกฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศที่ออกตามความใน  พ.ร.บ.ฯ นี้ และบทบัญญัติของ พ.ร.บ.จัดตั้งอปท.ฯ นี้ยังขัดต่อรัฐธรรมนูญฯ ปี 60 มาตรา 250 วรรคห้า ที่บัญญัติให้องค์อปท.มีอิสระในการบริหาร การจัดทำบริการสาธารณะ การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการศึกษา การเงินและการคลังและการกำกับดูแลอปท.ซึ่งต้องทำเท่าที่จำเป็น เพื่อการคุ้มครองประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่นหรือประโยชน์ของประเทศเป็นส่วนรวม ฯ ลฯ และต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับการป้องกันการขัดกันแห่งผลประโยชน์และการป้องกันการก้าวก่ายการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการส่วนท้องถิ่นด้วย

แต่ พ.ร.บ. อบจ.ม.76, พ.ร.บ.เทศบาล ม.69 และ พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล ม.88 ยังคงบัญญัติให้บังคับตามระเบียบที่กระทรวงมหาดไทยกำหนด ซึ่งขัดแย้งกับมาตรา 6 ของ พ.ร.บ.การจัดซื้อจัดจ้างและการบิหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.2560 โดยมิได้มีการแก้ไขแต่อย่างใด

ในส่วนของหลักการที่ให้อปท.มีอิสระในการบริหาร การจัดทำบริการสาธารณะตาม รัฐธรรมนูญฯ ปี 60 ม.250 วรรคห้า นั้น อบจ.,เทศบาล และ อบต.จะต้องให้กระทรวงมหาดไทย (มท.) ออกระเบียบให้เท่านั้น จึงจะเบิกจ่ายได้ นอกจากนั้น มท.ยังออกระเบียบจำกัดความเป็นอิสระของท้องถิ่นโดย “อปท.จะจ่ายเงินหรือก่อหนี้ผูกพันได้เฉพาะที่กฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับหรือหนังสือสั่งการที่มท.กำหนดเท่านั้น (ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงินฯ พ.ศ.2547 ข้อ 67) ซึ่งหากมีกรณีที่ท้องถิ่นมีความจำเป็นต้องทำโครงการต่างๆเพื่อจัดบริการสาธารณะและมีรายจ่ายที่จำเป็น กลับต้องมาทำตามระเบียบฯ ที่ไม่สอดคล้องในทางปฏิบัติที่กำหนดให้ต้องทำเหมือนกันทั่วประเทศ หากขืนทำไปก็อาจต้องถูกสตง.ทักท้วง ทำให้อปท.ที่แม้เห็นว่าเป็นความต้องการที่แท้จริงของประชาชน แต่ก็ไม่กล้าตัดสินใจดำเนินการ

กล่าวโดยสรุปว่าการแก้ไขกฎหมายจัดตั้งฯ และเลือกตั้งฯ อปท.ครั้งล่าสุดนี้นอกจากจะไม่ได้แก้ไขบทบัญญัติที่ขัดแย้งกับรัฐธรรมนูญแล้ว ยังได้เพิ่มบทบัญญัติที่ให้ข้าราชการส่วนกลางและภูมิภาคทำหน้าที่ “สั่งการบังคับบัญชา” มิใช่เพียง “กำกับดูแล”ตามหลักการปกครองท้องถิ่นดังเช่นนานาอารยประเทศทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น การส อบสวนและวินิจฉัยเกี่ยวกับสมาชิกภาพของสมาชิกสภาท้องถิ่น นายกองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น/นายกเทศมนตรี และการวินิจฉัยเกี่ยวกับการปฏิบัติการของอปท. โดยกทม.อยู่ในอำนาจของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อบจ.,เทศบาลและเมืองพัทยาอยู่ในอำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด (โดยเทศบาลเมืองและเทศบาลตำบลผวจ.สามารถม อบหมายนายอำเภอได้) และ อบต.อยู่ในอำนาจของนายอำเภอ แทนที่จะเป็นการตรวจส อบถ่วงดุลกันระหว่างฝ่ายบริหารกับสภาท้องถิ่นที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรง

ฉะนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องผลักดันและเสนอให้มีการแก้ไขบทบัญญัติแห่งกฎหมายในทุกระดับให้สอดคล้องกับหลักการปกครองท้องถิ่นที่อยู่บนพื้นฐานที่ว่า “ไม่มีใครรู้ปัญหาท้องถิ่น ดีกว่าคนท้องถิ่น” ด้วยการกระจายอำนาจเพื่อยุติรัฐราชการรวมศูนย์ในที่สุดนั่นเอง

 

 

หมายเหตุ: เผยแพร่ครั้งแรกในกรุงเทพธุรกิจฉบับประจำวันพุธที่ 29 พฤษภาคม 2562

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net