Skip to main content
sharethis

'ธนาธร' ลั่นยังไม่ใช่ความพ่ายแพ้ของฝ่ายประชาธิปไตยแต่โดนปล้นชัยชนะ - ชี้ไม่ใช่จุดจบ แค่จุดเริ่มต้น ลุยทำงานหนักพิสูจน์กับประชาชน 'สุดารัตน์' ยก 7 พรรคร่วมปกป้องประชาธิปไตยจนถึงที่สุด

5 มิ.ย.2562 ภายหลังที่ประชุมรัฐสภาโหวตนายกรัฐมนตรี จากสมาชิกทั้งหมด 747 เสียง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ 500 เสียง ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ 244 เสียง งดออกเสียง 3 เสียง นั้น ล่าสุด ทีมสื่อพรรคอนาคตใหม่ รายงานว่า ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า ก่อนอื่นขอโทษพ่อแม่พี่น้องที่เราทำไม่สำเร็จ การหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ คสช.ไม่อาจทำได้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่วันนี้เราไม่ได้พ่ายแพ้ หากแต่เป็นเพราะว่าชัยชนะของเราถูกปล้นไป เมื่อวาน ตนมีความหวังเล็กๆ ว่า พรรค ปชป. และ ภท.จะตัดสินใจถูกต้อง แต่เมื่อวานเย็นก็พอทราบว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาเป็นอย่างไร แต่เราทั้ง 7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตยได้สู้จนถึงที่สุด จนถึงวินาทีสุดท้าย สู้จนถึงยกสุดท้าย เราทำตามที่หาเสียงไว้ ไม่ได้ยอมแพ้ เราสู้ถึงที่สุดภายใต้กรอบกติกาที่ระบอบรัฐประหารวางไว้ การเลือกตั้งครั้งนี้เป็นเพียงสมรภูมิหนึ่งในการเดินทางที่ยาวไกลที่จะได้มาซึ่งประชาธิปไตย เราเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่า ท้ายที่สุดจะเป็นวันของเรา เผด็จการจะต้านสายลมแห่งการเปลี่ยนแปลง สายลมแห่งประชาธิปไตยไม่ได้ ประชาชนจะร่ำร้องหาเสรีภาพ ประชาชนจะร่ำร้องหาความเป็นธรรม วันนี้การหยุดยั้งประชาธิปไตย ได้พิสูจน์แล้วว่าพวกเขาต้องใช้ต้นทุนการเงิน สังคม การเมืองมากน้อยเพียงใด และเดินหน้าต่อไปเรื่อยๆ ต้นทุนเหล่านี้มีแต่จะหดแห้ง 

"ดังนั้น พี่น้องที่รักประชาธิปไตยอย่าเพิ่งสิ้นหวัง ความหวังยังอยู่กับเรา เดินหน้าต่อไป เราอยากชวนมารณรงค์อย่างแข็งขัน มาสร้างการเมืองที่สร้างสรรค์ และประชาชนจะเห็นเอง ประชาชนจะเป็นสักขีพยานในการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อความเป็นธรรม อย่างแหลมคม เราจะเดินหน้าอย่างแข็งขัน และเขาจะเห็นและตัดสินใจเอง วันนี้อยากขอบคุณแกนนำพรรคฝ่ายประชาธิปไตยทั้ง 7 พรรคที่ส่งชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นผู้ชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผมอยากขอบคุณเพื่อนที่รักประชาธิปไตยทั้ง 244 คนที่กล่าวขานชื่อธนาธรเป็นนายกรัฐมนตรี ขอบคุณแรงใจจากพี่น้องประชาชนทุกภูมิภาคที่เราไปพบเจอ และเรียนพ่อแม่พี่น้องประชาชนว่า นี่ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นจุดเริ่มต้น ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้แสดงให้เห็นชัดว่า เราคนที่ที่รักความเป็นธรรม รักประชาธิปไตย ยังทำงานหนักไม่พอ แสดงให้เราเห็นว่า เราทำงานเดินหน้าน้อยกว่านี้ไม่ได้ มีแต่จะต้องทำงานให้หนักขึ้น เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้ แสดงให้เห็นว่า ถ้าเราไม่สู้หนักกว่านี้ ลูกหลานเราที่โตมาจะต้องอยู่ในสังคมที่ไม่เป็นธรรม ไม่มีเสรีภาพ ดังนั้น มาทำงานร่วมกัน อย่าส่งต่อสังคมแบบนี้ให้คนรุ่นต่อไป ดังนั้นอย่าเพิ่งหมดหวัง" ธนาธร กล่าว  

ธนาธร กล่าวต่อว่า จากนี้พรรคอนาคตใหม่จะแบ่งการทำงานจากนี้ 3 ส่วน  คือ 1 ส.ส.ที่อยู่ในสภาจะทำงานในฐานะฝ่ายค้าน ตรวจสอบการทำงานรัฐบาล นำเสนอปัญหาของพ่อแม่พี่น้อง ผลักดันเสนอกฎหมายที่ก้าวหน้าและเป็นประโยชน์ 2. การเตรียมตัวสำหรับการเลือกตั้งท้องถิ่น  และ 3.การรณรงค์สร้างพรรคการเมืองที่เข้มแข็ง ทำให้พรรคอนาคตใหม่เป็นสถาบันที่จะต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย เพื่อคุณภาพประชาชนที่ดีขึ้นในระยะยาว ทั้งนี้ คดีความต่างๆ ยืนยันหลายครั้งว่าเรามีความมั่นใจ แต่ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร ตนยืนยันว่าจะทำงานการเมืองสร้างสรรค์ต่อไป ตอนนี้ตนยังเป็น ส.ส.อยู่ ถ้าอยู่ในสภาก็ทำหน้าที่อย่างดีที่สุด ถ้าไม่ได้เข้าก็ยังมีพื้นที่ทางการเมืองอีกเยอะ ยังมีเพื่อน ส.ส. ในสภา ที่ตนจะไปรับฟังปัญหาแล้วนำมาส่งต่อให้เพื่อนใ สภาดำเนินการต่อ ในประเด็นที่เป็นประโยชน์ ร่วมผลักดันประชาธิปไตยด้วยกัน 

ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี เรื่องการแก้รัฐธรรมนูญของพรรคร่วมที่จะมีการจัดตั้งรัฐบาล ธนาธร กล่าวว่า โดยส่วนตัวไม่คิดว่าจะมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ให้ก้าวหน้ากว่านี้ในรัฐบาลชุดต่อไป อาจมีการแก้รายมาตรา เพื่อให้ประชาชนเห็นว่าได้ทำแล้ว เป็นการแก้ผ้าเอาหน้ารอด เชื่อว่าเขาคงไม่แก้ที่มา 250 ส.ว. แต่อาจแก้กฎกติกาเกี่ยวกับเลือกตั้ง อาจจะมีบ้าง แต่ถ้าล้มคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติไม่มีแน่นอน  ตนขอยืนยันวันนี้เราไม่ได้แพ้ แต่กติกาแบบนี้ เราถูกปล้นชัยชนะไป ไม่คิดว่าจะมีแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างก้าวหน้า ส่วนที่ถามว่าอะไรที่บอกว่าเป็นชัยชนะที่ถูกปล้นไป ก็ตั้งแต่เรื่องกฎกติกาการเลือกตั้ง การเลือกตั้งที่ผิดปกติหลายเขต สูตรการคำนวณที่ผิดปกติ การใช้ ส.ว. บิดเบือนการต่อรองร่วมรัฐบาล เห็นได้ชัดว่า ความพยายามในการสืบทอดอำนาจ คสช. ดำเนินไปอย่างแข็งขัง คนที่มีอำนาจในปัจจุบันไม่ยอมจะถอยอำนาจออกมา

'สุดารัตน์' ยก 7 พรรคร่วมปกป้องประชาธิปไตยจนถึงที่สุด

ขณะที่ สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำและแคนดิเดทนายกฯ ของพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊คแฟนเพจ 'คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ Sudarat Keyuraphan' ในหัวข้อ “7 พรรคการเมือง ร่วมปกป้องประชาธิปไตยจนถึงที่สุด” 

รายละเอียดดังนี้ : 

#ทีมเพื่อไทย ทุกคนกำลังใจเต็มเปี่ยม พลังงานเหลือล้น ทำการบ้านกันข้ามคืน เพื่อตั้งใจอภิปรายให้สมาชิกสภาและประชาชนเห็นถึงความไม่เหมาะสมของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจากพรรคพลังประชารัฐ 

ประการแรก ส.ส.เพื่อไทย เปิดประเด็นให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์ มีลักษณะต้องห้ามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (6) 98 (15) เนื่องจากเป็น "เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ"

ในข้อนี้ ส.ส.ของเรายกหลักฐานชัดเจนว่า ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา ได้เคยพิพากษาว่าหัวหน้า คสช. คือ "เจ้าพนักงาน" ซึ่งหมายความว่าเป็น "เจ้าหน้าที่ของรัฐ" ซึ่งเป็นหลักฐานว่า พล.อ. ประยุทธ์ ไม่สามารถเป็นนายกฯ ได้ตามคุณลักษณะต้องห้ามที่ รัฐธรรมนูญ มาตรา 160(6) กำหนดไว้ 

ประการต่อมา ส.ส.เพื่อไทย เปิดประเด็นให้เห็นว่า พลเอกประยุทธ์ ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมข้อ 5 ที่ระบุว่า "ต้องยึดมั่นและธำรงไว้ซึ่งการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" 

เหมือนที่ ส.ส.สุทิน คลังแสง จากมหาสารคาม ยกตัวอย่างชัดเจนว่า "รัฐธรรรมนูญระบุชัดเจนว่าการล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นกบฎ ท่านทำผิดข้อนี้ แต่ไปนิรโทษกรรมตัวเอง ในการนิรโทษกรรมเพียงแค่ไม่เอาผิด แต่ความผิดนั้นยังคงอยู่ ท่านยังได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้ากบฎ ถ้าเลือกพลเอกประยุทธ์มาเป็นนายกรัฐมนตรีอีก เปรียบเสมือนการเอาโจรมาใส่ชุดตำรวจ" 

ประการที่สาม พลเอกประยุทธ์ ขัดต่อมาตรฐานจริยธรรมข้อ 7 ที่ระบุว่า “ต้องถือประโยชน์ของประเทศชาติเหนือกว่าผลประโยชน์ตนเอง” และขัดต่อข้อ 11 ที่ระบุว่า “ไม่กระทำการอันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตนกับประโยชน์ส่วนรวม” กรณีตัวอย่างที่ชัดที่สุด คือที่มา และกระบวนการคัดเลือก 250 ส.ว.ซึ่งสาธารณะชนจดจำเรียกขานกันว่า#สวเอื้อพวกพ้อง และ 250 ส.ว.ที่ไม่ได้มาจากประชาชนนี้เองที่ได้ขานชื่อสนับสนุนพลเอกประยุทธ์เป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้ง 

นอกจากนั้น ยังมีประเด็นเสริมอีกมากมาย เหมือนที่ นายแพทย์ ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.จากจังหวัดน่าน ย้ำว่า “ถ้าปล่อยให้สภาฯ สนับสนุน พลเอก ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี การบริหารบ้านเมืองจะเดินไปสู่ความหายนะและล้มเหลว เนื่องจากวิธีคิดในการบริหารประเทศ ที่ยึดเอารัฐราชการเป็นศูนย์กลาง ซึ่งที่ถูกต้องควรเป็น ให้ประชาชนเป็นศูนย์กลาง” 

ดิฉันอยากย้ำว่า ถ้านี่คือการแข่งขันกีฬา สิ่งที่เราพบก็คือ ทีมประชาธิปไตยถูกโกงตลอดสนามการแข่งขัน

ขณะที่อีกฝั่ง อยู่นิ่งๆ เส้นชัยก็วิ่งเข้าหาแล้ว เหมือนที่ แกนนำพรรคพลังประชารัฐบางคน เคยพูดไว้บนเวทีว่า “รัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อพวกเรา” 

ไม่รวมถึงว่า ยังมีนักการเมืองตระบัดสัตย์ หันไปต่อชีวิตต่อเวลาให้เผด็จการอีกเป็นจำนวนมาก แตกต่างจากที่ได้เคยหาเสียงไว้ก่อนเลือกตั้งอย่างสิ้นเชิง 

แม้จะถูกเอารัดเอาเปรียบ และถูกกระทำเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้ 7พรรคฝ่ายประชาธิปไตยยอมแพ้ 

เรายืนหยัดอยู่ได้เพราะ “ประชาชน” และด้วยการตระหนักอยู่เสมอว่า “โอกาสของประเทศ และโอกาสของประชาธิปไตยที่จะได้กลับมาลงหลักปักฐานให้มั่น คือภารกิจสำคัญยิ่งกว่าการแสวงหาอำนาจทางการเมือง”

นี่คือความมุ่งมั่นของพวกเรา 7พรรคฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งยึดมั่นต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนในช่วงหาเสียง จนถึงวันโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ที่จะหยุดยั้งการสืบทอดอำนาจ และนำพาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กลับคืนมา

กาลเวลาพิสูจน์ว่า เราไม่เคยทรยศประชาชน และการยืนอยู่บนหลักการที่ถูกต้องจะทำให้เรายืดอกได้อย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด 

ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี เมื่อหันกลับมามองวันนี้ เรายืดอกได้อย่างภาคภูมิ ว่า “เราได้พยายามอย่างเต็มที่แล้วเพื่อปกป้องประชาธิปไตยจนถึงที่สุด”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net