Skip to main content
sharethis

รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจยกเลิกการให้การศึกษา การสันทนาการ และการเข้าถึงบริการด้านกฎหมายแก่เด็กผู้อพยพในสถานพักพิงของรัฐบาลที่ไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วย อ้าง อัตราการคุมขังสูงแต่งบน้อย มิหนำซ้ำยังเคยมีเด็กในที่คุมขังของรัฐบาลฟ้องร้องว่าเจ้าหน้าที่ทำร้ายร่างกาย ล่วงละเมิดทางเพศเป็นพันกรณี

เจ้าหน้าที่และผู้ข้ามแดนภายในสถานกักกัน "เออร์ซูลา" สถานกักกันที่ใหญ่ที่สุดภายใต้หน่วยงานป้องกันศุลกากรและเขตแดนสหรัฐฯ (ที่มา: Wikipedia)

7 มิ.ย. 2562 กลุ่มสิทธิมนุษยชนแสดงความไม่พอใจจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (5 มิ.ย. 2562) รัฐบาลสหรัฐฯ ในยุคประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศสั่งยกเลิกการให้การศึกษา การสันทนาการ และความช่วยเหลือด้านกฎหมายให้กับเด็กผู้อพยพในสถานพักพิงของรัฐบาลที่ไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วย

เดนีส เบลล์ นักวิจัยด้านสิทธิผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชันแนลสหรัฐฯ แค่การที่รัฐบาลทรัมป์พยายามทำให้การกวาดต้อนคุมขังเด็กเป็นเรื่องปกติก็ถือว่าแย่พออยู่แล้ว แต่การจงใจยกเลิกสิทธิด้านต่างๆ ของเด็กเหล่านี้ถือว่าไร้จิตสำนึก เธอยังเรียกร้องให้มีการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของเด็กเหล่านี้ให้ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมขณะที่อยู่ภายใต้การคุมขังของรัฐบาล และควรจะมีการปล่อยตัวพวกเขาโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

"การจับเด็กขังแล้วก็ปฏิเสธไม่ให้พวกเขาได้รับความช่วยเหลือทางกฎหมาย ไม่ให้ได้รับการศึกษา หรือแม้กระทั่งไม่ให้มีเวลาเล่น นับเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามอย่างโหดร้ายของรัฐบาลนี้ในการลดทอนความเป็นมนุษย์ของผู้คนที่เข้ามาที่สหรัฐฯ เพื่อแสวงหาความปลอดภัย" เบลล์กล่าว

คำประกาศของรัฐบาลทรัมป์มาจากปากของ มาร์ก เวเบอร์ โฆษกกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ เขายืนยันต่อสื่อว่าสำนักงานด้านการตั้งรกรากใหม่ของผู้ลี้ภัยได้เริ่มยกเลิกการให้งบประมาณด้านต่างๆ ดังกล่าวแล้ว โดยอ้างว่าเจ้าหน้าที่ทางการกลางสหรัฐฯ เตือนสภาคองเกรสว่าพวกเขากำลังเผชิญกับภาวะที่มีจำนวนเด็กที่ไม่มีผู้ปกครองเพิ่มสูงขึ้นในเขตพรมแดนทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ทำให้พวกเขาต้องใช้งบประมาณในการขยายแหล่งพักพิงและการดูแลจัดการเกี่ยวกับการยังชีพของเด็กเหล่านี้ แต่ข้อความจากอีเมลที่เจ้าหน้าที่กระทรวงสุขภาพส่งถึงแหล่งพักพิงที่ได้รับใบอนุญาตจากสหรัฐฯ นั้นก็อาจจะผิดกฎหมายและผิดข้อตกลงจากที่ศาลทางการกลางสหรัฐฯ ระบุให้แหล่งพักพิงของเด็กเหล่านี้ต้องมีการให้การศึกษาและสันทนาการแก่ผู้เยาว์ มีทนายความชื่อคาร์ลอส ฮอลกิน ผู้เป็นตัวแทนทางกฎหมายในการเรียกร้องการดูแลขั้นพื้นฐานต่อเด็กในที่คุมขังวิพากษ์วิจารณ์การสั่งตัดงบประมาณในครั้งนี้ทันทีว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย

องค์กรนานาชาติด้านสิทธิผู้อพยพ เนชันแนลพาร์ทเนอร์ชิพฟอร์นิวอเมริกัน (NPNA) ประณามการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ว่าเป็นสิ่งที่ "น่าจะผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรมและโหดร้ายอย่างเห็นได้ชัด" พวกเราระบุอีกว่า "แม้กระทั่งในฐานะที่เป็นรัฐบาลทรัมป์เองก็ถือว่าทำเกินเลยไปมากในกรณีนี้"

แรนดี ไวน์การ์เทน ประธานสหพันธ์ครูอเมริกันแถลงว่าการตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ โหดร้าย ขลาดเขลา และ ผิดกฎหมาย เธอบอกว่ามันละเมิดคำตัดสินคดี Flores v. Reno ที่ระบุอย่างชัดเจนว่าเด็กที่อยู่ในการคุมขังต้องได้รับการศึกษา การเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เวลาสันทนาการและเข้าถึงคนทำงานสังคมสงเคราะห์ได้ ไวน์การ์เทนยังวิจารณ์เรื่องที่รัฐบาลทรัมป์ใช้วิธีพรากเด็กจากพ่อแม่ผู้ปกครองและปฏิบัติอย่างแย่ๆ กับเด็กในที่คุมขัง โดยมีเด็กเสียชีวิต 6 รายในที่คุมขังของรัฐบาลเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมา

เด็บบี มูคาเซล-พาวเวลล์ ส.ส. พรรคเดโมแครตที่เคยเป็นผู้อพยพจากเอกวาดอร์มาตั้งแต่เด็กกล่าวประณามรัฐบาลทรัมป์เช่นกัน โดยระบุว่าเด็กเหล่านี้ต้องผ่านความทุกข์ทนอย่างมหาศาล ถ้าหากรัฐบาลทรัมป์ยกเลิกสิ่งจำเป็นขั้นพื้นฐานของพวกเขาอย่างการศึกษา การได้ออกกำลังกาย และการเข้าถึงบริการด้านกฎหมายถือเป็นการ "ฉกชิงเอาความเป็นมนุษย์ไปจากพวกเขา"

ก่อนหน้านี้ในเดือน ก.พ. ที่ผ่านมา เคยมีรายงานข่าวของสื่อนิวยอร์กไทม์ที่ระบุถึงประเด็นด้านสิทธิของเด็กผู้อพยพที่ถูกคุมขัง มีการเปิดเผยตัวเลขว่านับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2557 ถึง ก.ค. 2561 มีการฟ้องร้องต่อสำนักงานผู้ลี้ภัยสหรัฐฯ ว่ามีการล่วงละเมิดทางเพศต่อผู้เยาว์ในที่คุมขัง 4,556 กรณี มีการส่งเรื่องต่อไปยังกระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ 1,303 กรณี ซึ่งมีอยู่ 178 กรณีที่ถูกระบุว่าเป็นกรณีร้ายแรง จากที่ผู้ก่อเหตุเป็นเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เป็นผู้ใหญ่

เรียบเรียงจาก

'Straight-Up Cruel': Trump Admin Condemned for Canceling Education, Recreation, and Legal Services for Detained Migrant Children, Common Dreams, Jun. 5,2019

Thousands of Immigrant Children Said They Were Sexually Abused in U.S. Detention Centers, Report Says, Feb. 27, 2019

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net