Skip to main content
sharethis

ผู้หญิงญี่ปุ่นรณรงค์ #KuToo เลิกบังคับสวมส้นสูงในที่ทำงาน

มีกลุ่มผู้หญิงญี่ปุ่นออกมารณรงค์ภายใต้ชื่อ #KuToo ที่คล้ายกับแคมเปญ #MeToo แต่เป็นการใช้คำภาษาญี่ปุ่น 'kutsu' ที่แปลว่า 'รองเท้า' กับ 'kutsuu' ที่แปลว่า 'เจ็บปวด' เพื่อเปลี่ยนแปลงบรรทัดฐานสังคมเรื่องการแต่งกายของผู้หญิงในที่ทำงาน ที่แม้ไม่กฎเขียนไว้ แต่ก็เป็นเงื่อนไขทางพฤตินัยว่าพนักงานหรือผู้สมัครงานผู้หญิงจะต้องสวมรองเท้าส้นสูง

โดยผู้ริเริ่มรณรงค์ #KuToo คือ Yumi Ishikawa นักแสดงและนักเขียนอิสระพร้อมกับผู้สนับสนุน ได้ยื่นคำร้องต่อกระทรวงสาธารณสุข แรงงานและสวัสดิการญี่ปุ่นเมื่อต้นเดือน มิ.ย. 2019 พร้อมรายชื่อผู้เห็นด้วยเกือบ 2 หมื่นชื่อจากเวบไซต์ change.org

ที่มา: VOA, 4/6/2019

คนงานฝรั่งเศสปิดโรงงาน 'นูเทลลา' ขอขึ้นค่าแรง

คนงานกว่าร้อยคนประจำโรงงานผลิต นูเทลลา ช็อคโกแล็ตถั่วฮาเซลนัทแบรนด์ดัง ปิดโรงงานที่ใหญ่ที่สุดในโลก ในแคว้นนอร์มังดี เป็นเวลาเกือบ 1 สัปดาห์ เพื่อกดดันให้มีการเจรจาเรื่องเงินเดือน

ทางสหภาพแรงงานของนูเทลลาในฝรั่งเศส ระบุว่า มีคนงาน 160 คน จาก 350 คนที่ร่วมผละงานประท้วง เพื่อเรียกร้องให้บริษัทเฟอร์เรโรของอิตาลี ที่เป็นเจ้าของแบรนด์ดังกล่าว ให้ปรับขึ้นเงินเดือนร้อยละ 4.5 และให้โบนัส 900 ยูโร รวมทั้งเรียกร้องสวัสดิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น แต่ทางบริษัทเฟอร์เรโร ยินยอมที่จะขึ้นเงินเดือนให้ร้อยละ 1.7 ให้โบนัสสูงสุด 400 ยูโร ซึ่งสหภาพแรงงานมองว่าไม่เพียงพอต่อค่าครองชีพในพื้นที่

อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทเฟอร์เรโร ออกแถลงการณ์เมื่อวันจันทร์ ขู่ว่าจะปรับเงินพนักงานที่ออกมาปิดโรงงานประท้วง หลังการเจรจาที่ล่วงเลยมากว่า 6 วันนั้นยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจน ขณะที่การหารือระหว่างสหภาพแรงงานและบริษัทเฟอร์เรโรจะมีขึ้นอีกครั้งในวันที่ 13 มิถุนายนนี้

โรงงานผลิตนูเทลลาใหญ่ที่สุดในโลก ที่แคว้นนอร์มังดี มีกำลังการผลิต 600,000 กระปุกต่อวัน นั่นเท่ากับปริมาณนูเทลลาที่ผลิตได้ราว 1 ใน 4 ของโลก

ที่มา: VOA, 5/6/2019

เผยยื่นขอว่าจ้างแรงงานต่างชาติผ่านระบบออนไลน์ ช่วยนายจ้างประหยัดค่าใช้จ่ายได้ปีละ 33 ล้านเหรียญไต้หวัน

เพื่อเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและอำนวยความสะดวกแก่นายจ้างที่ประสงค์จะว่าจ้างแรงงานต่างชาติ เริ่มตั้งแต่ต้นปี 2019 มานี้ กระทรวงแรงงานไต้หวันได้เปลี่ยนรูปแบบการยื่นคำร้องขออนุญาตว่าจ้างแรงงานต่างชาติจากเดิมที่ต้องนำเอกสารที่เป็นแผ่นกระดาษเดินทางไปยื่นขอยังเคาน์เตอร์ของกระทรวงแรงงานในเวลาทำการ มาเป็นยื่นขอผ่านระบบออนไลน์ อยู่ที่บ้านก็ทำได้และยื่นขอได้ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่ช่วยให้ประหยัดเวลาจากเดิมที่ต้องใช้ประมาณ 12 วันทำการ ลดลงเหลือ 7 วันทำการ นอกจากนี้ ยังช่วยให้นายจ้างประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงค่าแสตมป์ในการส่งเอกสารยื่นคำร้อง คิดเป็นเงินปีละประมาณ 33 ล้านเหรียญไต้หวัน

ผู้อำนวยการศูนย์กิจการแรงงานข้ามชาติ กรมพัฒนากำลังแรงงาน ระบุว่าว่าการยื่นเรื่องผ่านระบบออนไลน์ ช่วยประหยัดเวลาลงได้อย่างมาก การยื่นแบบดั้งเดิม เฉพาะส่งเอกสารและส่งกลับ ต้องใช้เวลาประมาณ 12 วัน หากเอกสารไม่ครบต้องเพิ่มเติมจะนานกว่านี้ แต่การยื่นผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่ยื่นเรื่องจนอนุมัติใช้เวลา ไม่เกิน 7 วัน นอกจากประหยัดเวลาแล้ว ยังช่วยนายจ้างและบริษัทจัดหางานประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางด้วย เฉพาะค่าเดินทางและค่าแสตมป์ สามารถประหยัดได้ปีละ 33 ล้านเหรียญไต้หวัน

ที่มา: Radio Taiwan International, 7/6/2019

เวียดนามตั้งเป้ายุติการใช้แรงงานเด็กในปี 2025

รัฐมนตรีกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของเวียดนามระบุในเวทีประชุมเสวนาเนื่องในวันต่อต้านการใช้แรงงานเด็กโลก (World Day against Child Labour 2019) ว่าเวียดนามตั้งเป้าหมายที่จะยุติการใช้แรงงานเด็กในปี 2025

ที่มา: Vietnam News Agency, 7/6/2019

ขอวีซ่าเข้าอเมริกาต้องแจ้งบัญชีโซเชียลมีเดียย้อนหลัง 5 ปี

ตั้งแต่วันที่ 3 มิ.ย. 2019 ที่ผ่านมา สหรัฐฯ กำหนดให้ผู้ขอวีซ่าเข้าประเทศเกือบทุกคนแจ้งข้อมูลส่วนตัวเกี่ยวกับกิจกรรมต่างๆ ทางโซเชียลมีเดียของตน นอกจากนี้ผู้ที่ขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ต้องแจ้งที่อยู่อีเมลและหมายเลขโทรศัพท์ที่เคยใช้ ข้อกำหนดใหม่นี้คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อชาวต่างชาติประมาณ 15 ล้านคนที่ต้องการขอวีซ่าเข้าสหรัฐฯ ในแต่ละปี

รัฐบาลของประธานาธิบดีทรัมป์เสนอกฎนี้เป็นครั้งแรกเมื่อเดือน มี.ค.2018 นโยบายนี้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “ตรวจคัดกรองแบบเข้ม” ของรัฐบาลสหรัฐฯ สำหรับผู้อพยพย้ายถิ่นฐานและนักท่องเที่ยวทุกคน มีเพียงผู้ยื่นขอวีซ่าที่เป็นนักการทูตหรือข้าราชการเท่านั้นที่ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฏนี้

กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าได้เปลี่ยนแบบฟอร์มการยื่นขอวีซ่าทั้งสำหรับผู้อพยพย้ายถิ่นฐานและผู้ที่ไม่ได้ย้ายเข้าเมืองเพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติม แบบฟอร์มดังกล่าวจะถามชื่อบัญชีโซเชียลมีเดีย หมายโทรศัพท์ กิจกรรมการเดินทางระหว่างประเทศและประวัติการเนรเทศในระยะเวลา 5 ปี นอกจากนี้ผู้ขอวีซ่าจะต้องตอบคำถามว่าสมาชิกในครอบครัวมีส่วนเกี่ยวข้องกับกิจกรรมการก่อการร้ายหรือไม่

กระทรวงการต่างประเทศกล่าวในแถลงการณ์ว่าข้อกำหนดใหม่นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อปรับปรุงกระบวนการคัดกรองเพื่อปกป้องความมั่นคงของชาติ

ในอดีตที่ผ่านมา ประวัติการใช้สื่อสังคมออนไลน์ อีเมล และหมายเลขโทรศัพท์นั้นเป็นที่ต้องการจากผู้ที่ได้รับการตรวจสอบเพื่อขั้นตอนต่อไปแล้วเท่านั้น กลุ่มผู้ยื่นขอวีซ่ากลุ่มนี้มีประมาณ 65,000 คนรวมถึงผู้ที่เคยเดินทางไปยังพื้นที่ที่ถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้ก่อการร้ายด้วย

ผู้ยื่นขอวีซ่าจะต้องระบุรายละเอียดเกี่ยวกับการใช้บริการโซเชียลมีเดียของสหรัฐฯ เช่น Facebook Google Instagram LinkedIn Twitter และ YouTube นอกจากนี้จะต้องให้รายละเอียดเกี่ยวกับการมีส่วนร่วมในการใช้บริการอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศที่สำคัญเช่น Douban Tencent QQ และ Sina Weibo ของประเทศจีน

สื่อออนไลน์ The Hill รายงานว่า ผู้ยื่นขอวีซ่าสามารถเลือกที่จะบอกว่าตนไม่มีบัญชีโซเชียลมีเดียได้ อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศเตือนว่าการโกหกเกี่ยวกับกิจกรรมโซเชียลมีเดียจะมีผลร้ายแรงต่อการตรวจคนเข้าเมืองสำหรับผู้ขอวีซ่า

สหภาพเสรีภาพพลเมืองอเมริกัน หรือ ACLU และกลุ่มสิทธิส่วนบุคคลหลายกลุ่มคัดค้านข้อกำหนดใหม่นี้ตั้งแต่มีการเสนอเป็นครั้งแรกเมื่อปีที่แล้ว ในเวลานั้น ACLU ได้เตือนว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลร้ายแรงต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นออนไลน์

แต่ทางกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า มาตรการนี้ไม่เป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัว เพราะสิ่งที่ปรากฎอยู่ในโซเชียลมีเดียนั้นถูกเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว

Hina Shamsi ผู้อำนวยการโครงการความมั่นคงแห่งชาติของ ACLU กล่าวว่า ตอนนี้ผู้คนต่างสงสัยว่าสิ่งที่ตนโพสต์ออนไลน์อาจจะถูกเข้าใจผิดโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐ และว่ายังไม่มีหลักฐานว่าการตรวจสอบโซเชียลมีเดียนั้นมีประสิทธิภาพหรือถูกต้องจริงหรือไม่

ที่มา: VOA, 8/6/2019

Air New Zealand ยกเลิกกฎห้ามพนักงานมีรอยสัก

สายการบินแอร์นิวซีแลนด์ (Air New Zealand) ออกแถลงการณ์ว่าตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 2019 นี้ สายการบินจะยกเลิกกฎห้ามพนักงานมีรอยสัก แต่จะต้องเป็นรอยสักที่ไม่ทำให้เกิดความขุ่นเคือง ทั้งนี้การเปลี่ยนกฎเรื่องนี้มาจากการทำวิจัยในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา กับผู้โดยสารและพนักงานของสายการบิน รวมทั้งกับชาวนิวซีแลนด์ที่อาศัยอยู่ทั้งในและต่างประเทศ

ที่มา: BBC, 10/6/2019

แรงงานต่างชาติในไต้หวันเพิ่มต่อเนื่อง อินโดนีเซียมากสุดครองสัดส่วนร่วม 40% แรงงานไทยลดเหลือ 8.49%

กระทรวงแรงงานไต้หวันเปิดเผยสถิติล่าสุดของแรงงานต่างชาติ ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2019 ที่ผ่านมานี้ ยอดจำนวนแรงงานต่างชาติที่เดินทางมาทำงานในไต้หวัน 706,060 คน เพิ่มขึ้นในอัตราส่วน 3.3% ต่อปี โดยในจำนวนนี้ เป็นแรงงานอินโดนีเซียมากที่สุด 270,890 คน คิดเป็นอัตราส่วน 38.4% อันดับ 2 ได้แก่เวียดนาม 221,479 คน คิดเป็นอัตราส่วน 31.4% ตามด้วยแรงงานฟิลิปปินส์ 153,742 คน ครองสัดส่วน 21.8% แรงงาน 3 ชาติแรกครองสัดส่วนกว่าร้อยละ 90 ส่วนแรงงานไทยลดลงเหลือ 59,947 คน หรือ 8.49%

หากจำแนกตามเพศแล้วพบว่า แรงงานต่างชาติเพศหญิงมีจำนวนมากกว่าเพศชาย ในสัดส่วน 55 ต่อ 45 กล่าวคือแรงงานเพศหญิงมี 385,281 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้อนุบาลจากอินโดนีเซีย ส่วนเพศชาย มี 320,779 คน ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 45 เป็นแรงงานเวียดนามที่ทำงานอยู่ในโรงงาน แต่หากจำแนกตามประเภทของงานที่ทำแล้ว ภาคการผลิต ได้แก่โรงงาน ไซต์งานก่อสร้างเป็นต้น มีจำนวนแรงงานต่างชาติทำงานอยู่มากที่สุด คิดเป็นอัตราส่วน 63.3% หรือ 446,916 คน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างชาติเพศชาย และในจำนวนนี้ 76.2% อายุต่ำกว่า 35 ปี อันดับสองได้แก่ภาคสวัสดิการสังคม 259,144 คน คิดเป็นอัตราส่วน 36.7% และร้อยละ 99.3 เป็นผู้อนุบาลเพศหญิง

ที่มา: Radio Taiwan International, 14/6/2019

ผู้หญิงทั่วสวิสประท้วงเรียกร้องค่าตอบแทนเท่าเทียมกัน

กลุ่มผู้หญิงในสวิตเซอร์แลนด์ออกมาชุมนุมประท้วงเพื่อเรียกร้องให้จ่ายค่าตอบแทนเท่าเทียมกัน นับเป็นการชุมนุมทั่วประเทศครั้งแรกในรอบเกือบ 30 ปี หลังจาก 10 ปีก่อนนั้นที่มีการระบุเนื้อหาความเท่าเทียมทางเพศไว้ในรัฐธรรมนูญสวิส ซึ่งมีผู้หญิง 500,000 คนร่วมชุมนุมตามจุดต่างๆ ทั่วประเทศ

ที่มา: Euro News, 14/6/2019

ญี่ปุ่นจะเปิดทำการศูนย์บริการแรงงานชาวต่างชาติแบบครบวงจรที่เขตชินจูกุของกรุงโตเกียว

รัฐบาลญี่ปุ่นได้อนุมัติมาตรการช่วยเหลือแรงงานชาวต่างชาติที่มีจำนวนมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการจัดตั้งสำนักงานบริหารแบบครบวงจรที่กรุงโตเกียว บรรดารัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องหารือเกี่ยวกับมาตรการดังกล่าวในวันที่ 18 มิ.ย. 2019

สำนักงานแบบครบวงจรซึ่งจะมีศูนย์จัดหางานของรัฐและสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จะเปิดทำการในเขตชินจูกุของกรุงโตเกียวในปีงบประมาณหน้าซึ่งจะเริ่มขึ้นในเดือน เม.ย. 2020 ที่ประชุมยังได้ตัดสินใจออกมาตรการเพื่อบรรเทาการกระจุกตัวของแรงงานต่างชาติในพื้นที่เมืองซึ่งค่าแรงสูงกว่าเมื่อเทียบกับที่อื่น และกระจายแรงงานไปยังพื้นที่ชนบทเพื่อช่วยแก้ไขปัญหาแรงงานขาดแคลนในภูมิภาค ทางการและศูนย์จัดหางานของรัฐในท้องถิ่นจะได้รับการส่งเสริมให้ร่วมแรงกันเพื่อช่วยเหลือแรงงานต่างชาติให้สามารถหางานในบริษัทขนาดเล็กและกลางนอกพื้นที่เมือง

ที่มา: NHK WORLD-JAPAN, 18/6/2019

การออกวีซ่าไม่ทันทำให้ 'นักศึกษาต่างชาติ' ขอเลื่อนวันเริ่มงานในอเมริกา

นักศึกษาต่างชาติในสหรัฐฯที่ได้รับการตอบรับเป็นลูกจ้างฝึกงานช่วงฤดูร้อนกำลังประสบปัญหาไม่ได้วีซ่าทำงานทันเวลาวันเริ่มงาน เนื่องจากหน่วยงานอนุมัติวีซ่าของรัฐบาลอเมริกันใช้เวลามากขึ้นในการออกเอกสาร หนังสือพิมพ์ New York Times รายงานว่านักศึกษาหลายคนเขียนจดหมายถึงผู้บริหารมหาวิทยาลัยในอเมริกา ถึงปัญหาดังกล่าว ด้วยความตื่นตระหนกว่าอาจจะได้วีซ่าทำงานไม่ทันเวลา

New York Times รายงานว่านักศึกษาปริญญาโทที่คณะวารสารศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบียจำนวนหนึ่งต้องเลื่อนวันเริ่มต้นทำงานในฐานะลูกจ้างฝึกงานออกไป และมีนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน หลายคนที่ถูกยกเลิกงานช่วงฤดูร้อน และจำเป็นต้องเดินทางกลับประเทศบ้านเกิด ส่วนที่มหาวิทยาเยล นักศึกษาต้องรีบลงทะเทียนในวิชาพิเศษที่มหาวิทยาลัยจัดขึ้นเพื่อเปิดทางให้ทำงานช่วงฤดูร้อนได้

ในรายงานของ New York Times หน่วยงานออกวีซ่าของสหรัฐฯ U.S. Citizenship and Immigration Services หรือ USCIS กล่าวว่าระยะเวลาการออกเอกสารที่นานขึ้นมาจากจำนวนผู้ยื่นขอทำงานในอเมริกาที่มากขึ้น และหน่วยงานนี้กำลังแก้ปัญหางานล้นมือ เพื่อให้ระยะเวลาการพิจารณาการขอวีซ่าทำงานเป็นไปตามระดับปกติมากขึ้น

ที่มา: VOA, 19/6/2019

NGO ไต้หวันระบุการแก้กฎหมายอนุญาตให้แรงงานต่างชาติต่อสัญญาใหม่ที่ไต้หวันได้ ไม่ได้ช่วยลดปัญหาถูกบริษัทจัดหางานขูดรีดแต่อย่างใด

หลังสภานิติบัญญัติของไต้หวันได้ผ่านกฎหมายการจ้างงาน ฉบับแก้ไขมาตรา 52 ยกเลิกข้อบังคับให้แรงงานต่างชาติทำงานครบ 3 ปี ต้องเดินทางกลับประเทศอย่างน้อย 1 วัน อนุญาตให้ต่อสัญญาใหม่ที่ไต้หวันได้ ซึ่งมีเจตนารมณ์ช่วยลดภาระหนี้สินให้แก่แรงงานต่างชาติ ไม่ต้องกลับไปเสียค่าหัวคิวมารอบใหม่ ขณะเดียวกัน จะช่วยลดการหลบหนีกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายได้ แต่จากสถิติของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ณ สิ้นเดือน เม.ย. 2019 ที่ผ่านมา ยังมีจำนวนสูงถึง 50,557 คน กลุ่ม NGO วิจารณ์ว่าไม่ได้ช่วยลดปัญหาถูกบริษัทจัดหางานขูดรีดลงแต่อย่างใด

ก่อนหน้านี้ไม่นาน มีข่าวแรงงานต่างชาติผิดกฎหมายรายหนึ่ง ขณะหลบหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พลัดตกลงมาจากที่สูงเสียชีวิตในไซต์งานก่อสร้างอาคารโรงเรียนแห่งหนึ่งในเมืองเหมียวลี่  แสดงว่าปัญหาการหลบหนีของแรงงานต่างชาติยังอยู่ในภาวะรุนแรง กลุ่ม NGO กล่าวว่า สาเหตุสำคัญสืบเนื่องมาจาก แม้จะมีการแก้กฎหมายอนุญาตให้ต่อสัญญาใหม่ที่ไต้หวันได้ แต่ยังคงมีบริษัทจัดหางานจำนวนมาก เรียกรับค่าซื้อตำแหน่งงาน ค่าต่อสัญญาใหม่หรือไม่ก็บังคับให้เดินทางกลับประเทศไปทำเรื่องและเสียค่าหัวคิวมารอบใหม่ แรงงานต่างชาติบางส่วนจึงใช้วิธีหลบหนีกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งทำให้อัตราการหลบหนียังคงสูงเช่นเดิม

ก่อนแก้กฎหมายการจ้างงาน ยอดจำนวนแรงงานต่างชาติหลบหนีที่ยังไม่ถูกตรวจพบประมาณ 53,000 คน หลังจากแก้กฎหมายผ่านไปแล้วกว่า 2 ปี ยอดจำนวนการหลบหนีของแรงงานต่างชาติยังคงสูงกว่า 50,000 คน สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ กลุ่ม NGO กล่าวว่า มาจากบริษัทจัดหางานอาศัยช่องทางกุมโอกาสการทำงานของแรงงานต่างชาติไว้เกือบทั้งหมด แล้วเรียกเก็บค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่ว ส่งผลให้เจตนารมณ์ที่ดีของการแก้กฎหมายไม่ได้ลดปัญหาแต่อย่างใด

ที่มา: Radio Taiwan International, 21/6/2019

บทวิเคราะห์ระบุ 'หุ่นยนต์' จะมาแทนที่แรงงาน 20 ล้านตำแหน่ง ในปี 2030

Oxford Economic บริษัทด้านการวิเคราะห์เศรษฐกิจ ระบุว่างานในภาคการผลิตทั่วโลกสูงถึง 20 ล้านตำแหน่ง อาจถูกแทนที่ด้วยหุ่นยนต์ในปี 2030 ส่วนตำแหน่งงานในภาคบริการก็จะถูกหุ่นยนต์มาแทนที่ด้วยส่วนหนึ่งเช่นกัน อย่างไรก็ตามการเพิ่มขึ้นของหุ่นยนต์ก็มีส่วนช่วยกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มตำแหน่งงานด้วย

ที่มา: BBC, 26/6/2019

งานวิจัยระบุทำงาน 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ช่วยสุขภาพจิตได้มากที่สุด

นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Cambridge และมหาวิทยาลัย Salford ของอังกฤษศึกษาสำรวจความเกี่ยวพันเรื่องชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์กับสุขภาพจิตและความพึงพอใจในชีวิตจากกลุ่มคนทำงานกว่า 71,000 คนในอังกฤษเป็นเวลาเก้าปี โดยกลุ่มตัวอย่างถูกตั้งคำถามเรื่องประเด็นต่างๆ เช่น ความกระวนกระวายใจและปัญหาการนอนหลับซึ่งมีผลต่อสุขภาพจิต

นักวิจัยได้คำตอบว่าชั่วโมงการทำงานที่เหมาะสมที่สุดต่อสุขภาพจิตคือ 8 ชั่วโมงหรือหนึ่งวันต่อสัปดาห์ และการทำงานเกิน 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์จะไม่สร้างประโยชน์เพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพจิตแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตามขณะที่การทำงาน 8 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ดูจะให้คำตอบที่ดีที่สุดสำหรับการรักษาสุขภาพจิตให้ดีสมบูรณ์ นักวิจัยพบว่าความสัมพันธ์ระหว่างจำนวนชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์กับความพึงพอใจในชีวิตของตัวเองนั้นเปลี่ยนไป โดยนักวิจัยพบว่าผู้ชายได้รับความพึงพอใจเพิ่มขึ้นราว 30% จากการทำงานที่ได้ค่าตอบแทนสัปดาห์ละ 8 ชั่วโมงขณะที่สำหรับผู้หญิงนั้นความพึงพอใจในชีวิตตัวเองจะขึ้นถึงจุดสูงสุดเมื่อทำงานสัปดาห์ละ 20 ชั่วโมง

จากการเพิ่มขึ้นและการคุกคามจากเทคโนโลยีอัตโนมัติรวมทั้งปัญญาประดิษฐ์ ขณะนี้บริษัทต่างๆ กำลังให้ความสนใจทบทวนเรื่องบรรทัดฐานการทำงานและชั่วโมงการทำงานต่อสัปดาห์ของคนงานมากขึ้น เพื่อส่งเสริมให้คนงานมีความสุข รักงานที่ทำ รวมทั้งมีสุขภาพจิตที่ดีและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า work-life balance สำหรับคนทำงาน

ที่มา: VOA, 26/6/2019

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net