Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

หลายๆ ท่านคงได้รับทราบความในประเด็นสารของ พล.อ.ประยุทธ์์ ที่นำมามอบให้สื่อมวลชนเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 กรกฏาคม 2562 ที่ผ่านมานั้น ซึ่งท่านได้ระบุถึงความไม่สบายใจกับสถานการณ์ทางการเมือง โดยเฉพาะความขัดแย้งกันเรื่องโควตาเก้าอี้รัฐมนตรีภายในพรรคพลังประชารัฐ โดยความบางตอนที่กล่าวสื่อมา ได้สะท้อนความรู้สึกบางประการ ที่บ่งบอกถึงวิธีคิดของตัวท่านออกมาอย่างปฏิเสธไม่ได้ ดังนี้

“นายกรัฐมนตรีมีความรู้สึกไม่สบายใจ และต้องขอโทษพี่น้องประชาชนแทนพรรคพลังประชารัฐ ในฐานะเป็นบุคคลที่พรรคเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี เนื่องจากในห้วงเวลานี้มีข่าวสารความขัดแย้งภายในพรรคปรากฏตามสื่อต่างๆ มากมาย”

ก่อนจะตบท้ายว่า

“...หวังเป็นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างจะเดินหน้าต่อไป เพื่อตอบสนองความต้องการของพี่น้องประชาชนในฐานะรัฐบาลของคนไทยทั้งประเทศ ซึ่งจะถือเป็นการเริ่มต้นปฏิรูปทางการเมืองของรัฐบาล และพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อมิให้การดำเนินการทางการเมืองกลับไปเป็นปัญหาเช่นเดิม จนต้องเกิดการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการขึ้นมาอีก”

พลันที่ได้รับทราบสารจากนายกฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แทบทุกภาคส่วนของคนไทย ไม่เพียงเฉพาะแต่ภาคการเมืองเท่านั้น ที่สงสัยในปมประเด็นของคำว่า “..การแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการ..”

โดยทุกคนในสังคมได้ตีความ ความหมายของการกล่าวในลักษณะนี้ว่าหมายถึงการรัฐประหาร ยึดอำนาจ ที่เคยนำมาเป็นโมเดลในการแก้ปัญหาทางการเมืองของ คสช.ที่นำโดยตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นั่นเอง จนนำมาสู่ความวิตกกังวลกันไปต่างๆ นานาว่า อาจจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมประเทศชาติหรือเปล่า โดยเฉพาะในส่วนของภาคธุรกิจที่สะท้อนได้ดีจากการปิดตัวลดลงของการซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 2 ก.ค. ถัดมานั่นเอง

และที่สะท้อนได้ดีว่าน่าจะวิตกกังวลมากไม่น้อยไปกว่าภาคธุรกิจ นั่นก็คือภาคการเมืองหรือนักการเมืองนั่นเอง โดยท่าทีที่พิสูจน์ได้ดีที่สุดน่าจะเป็นการกลับลำแบบ 360 องศาของกลุ่มสามมิตรนั่นเอง จากท่าทีที่แข็งกร้าวเหมือนจะแตกหักพรรคสะบั้น จนนำมาซึ่งสารจากนายกรัฐมนตรี เปลี่ยนเป็นท่าทีที่อ่อนโยน อะไรก็ได้ แบบจูบปาก จบๆ กันไปในพริบตาเพียงชั่วข้ามคืน ซึ่งหลาย ๆ คน โดยเฉพาะซีกของพรรคฝ่ายค้าน ต่างมองเป็นเรื่องตลกขบขันเป็นอย่างยิ่ง กับท่าทีของนักการเมืองจากกลุ่มก๊วนต่างๆ ของพรรคพลังประชารัฐ

แต่สิ่งหนึ่งที่พิสูจน์ได้ชัดนั่นก็คือ ไม่ว่านักการเมืองจากฝากฝั่งไหน ล้วนประหวั่นพรั่นพรึงกับคำว่า “..การแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการ..”

ทุกคน..ไม่ต้องการจริงๆ

เป็นเรื่องตลกร้ายจริงๆ สำหรับสังคมไทย เพราะหากจะว่ากันไปแล้ว หลายๆ เรื่องเหมือนจะเกิดขึ้น เพื่อวัตถุประสงค์บางสิ่งบางประการอยู่เหมือนกันในช่วงเวลานี้

หากย้อนนึกกันดูดีๆ มีบางสิ่งบางอย่างสอดรับกันให้น่าสงสัยอยู่เหมือนกัน

ก่อนหน้านี้ไม่นานเป็นช่วงที่หลายคน กำลังเพ่งเล็งและตั้งคำถามกับ กกต.ในประเด็นคะแนนที่ลืมเอามานับ จนทำให้บางพรรคการเมืองมี ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่ม ว่าทำไม?..ถึงลืม ซึ่งถ้าจะว่ากันไปแล้วกกต.เองตอบง่ายเกินไปหรือเปล่าว่า“ลืม” ไม่ต้องมีผู้รับผิดชอบใดๆ เลยหรือ รึว่าได้รางวัลมีรายชื่อเป็น ส.ว.บัญชีสำรอง กันไปแล้ว หลายสิ่งยังคาใจ กำลังจะเป็นประเด็นร้อนขึ้นมา

ก็มามีเรื่องจ่านิว นักเคลื่อนไหวทางการเมือง โดนรุมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัสขึ้นมากลบประเด็น กกต. ซึ่งสังคมก็เทมาเกาะประเด็นนี้กันหมด โดนเฉพาะตามสื่อทุกแขนงว่าใคร? เป็นคนกระทำ

แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเรื่องโผ ครม.พลิก นำมาซึ่งการตั้งโต๊ะแถลงท่าทีอันเหมือนจะแข็งกร้าวของกลุ่มสามมิตร ที่สะท้อนภาพของความแตกร้าวอย่างรุนแรงภายในพรรคพลังประชารัฐ แน่นอนเป็นข่าวกลบเรื่องจ่านิวไปเรียบร้อย

และถัดมาก็มีเรื่องสารจากนายกฯ ในประเด็นการรัฐประหาร ยึดอำนาจมากลบเรื่องอื่นๆ อีกที และท่ามกลางฝุ่นที่กำลังตะลบอบอวลอยู่นั้น ก็พลันบังเอิญมีเรื่อง กกต.ตีตกเรื่องที่มีการร้องเรียนพรรคพลังประชารัฐในทุกประเด็น ออกมาแบบเงียบๆ อย่างแยบยล

ที่ว่าเป็นเรื่องตลกร้ายของสังคมไทย ไม่ใช่เฉพาะในมุมที่ประเทศของเรา สามารถมีข่าวที่น่าสนใจขึ้นมากลบข่าวที่น่าสนใจได้ชนิดวันต่อวันแต่เพียงเท่านั้น เพราะเรื่องตลกร้ายในสังคมไทยเรานั้น ถ้าพินิจพิเคราะห์กันให้ดีๆ จากประเด็นสารจากนายกฯ เมื่อวันที่ 1 ก.ค.นั้น ทำให้เราเห็นภาพที่ตลกร้ายของสังคมไทยได้อย่างชัดเจนในอีกมิติหนึ่งนั่นก็คือ

ทำไม?...เราถีงต้องไปกลัวกับคำว่า“..การแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ที่ทุกคนไม่ต้องการ..” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

เพราะเมื่อเรากลัวการยึดอำนาจรัฐประหาร ที่เป็นวิธีการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ตามที่กล่าวอ้าง ก็เท่ากับว่าเรายอมรับสภาพการณ์ การสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ผ่านระบบรัฐสภา ที่กำลังดำเนินการกันอยู่ ณ ปัจจุบัน ซึ่งนั่นเท่ากับว่า เป็นการสร้างความชอบธรรมในการสืบทอดอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ไปโดยปริยาย

และเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ มีความชอบธรรม นั่นก็เท่ากับว่า

รัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ก็มีความชอบธรรม เมื่อรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีความชอบธรรม ส.ว.ที่มาจากการที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นคนเลือกตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ แล้วมาเลือก พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ก็มีความชอบธรรม

สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ที่มาจากรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ที่ทำให้มี ส.ส.บัญชีรายชื่อจากพรรคที่มีคะแนนไม่ถึงจำนวนพึงมี ก็พลอยได้ ส.ส. ก็มีความชอบธรรม เมื่อสูตรมีความชอบธรรม การดำเนินการของ กกต.ก็มีความชอบธรรม

ไม่ว่าจะเลือกตั้งมาแล้วร่วม 2 เดือนถึงประกาศรับรอง ส.ส.ได้ แต่ไม่สามารถประกาศคะแนนเป็นรายหน่วยได้ ทั้งๆ ที่นับคะแนนเป็นรายหน่วย

ไม่ว่าจะเรื่องการพิจารณาคุณสมบัติของ ส.ส. ที่บางพรรคพิจารณาเร็ว บางพรรคยังไม่พิจารณา

ไม่ว่าจะเรื่องบัตรเขย่ง เรื่องการลืมนำคะแนนมานับ เรื่องบัตรเลือกตั้งนิวซีแลนด์ ที่ป่านนี้ทั้งหมดทั้งปวง ไม่มีผู้ที่ต้องรับผิดชอบ (ไม่ต้องรับผิด แต่มีบางท่านรับชอบไปแล้ว)

หรือเรื่องอื่นๆ ที่สังคมคลางแคลงใจในการทำหน้าที่ของ กกต. (จาระไนไม่หมด)

หรือไม่ว่าเรื่องของการจัดตั้งรัฐบาลที่ผ่านมาหลังการเลือกตั้งครบ 100 วัน โดยนายกฯที่ได้รับเลือกด้วยคะแนนเสียง 500 คะแนนของรัฐสภา จะยังไม่สามารถดำเนินการได้สำเร็จ

ทั้งหมดล้วนมีความชอบธรรม

เป็นความชอบธรรมที่อยากถามสังคมไทยว่า เรารับกันได้จริงๆ หรือกับเรื่องเลวร้ายต่างๆ เหล่านี้ เหมือนอย่างที่มีท่าน ส.ว.บางท่านเรียกว่า “เผด็จการประชาธิปไตย” นั่นแหละ เพราะนี่มันก็คือการรัฐประหารยึดอำนาจ แปลงโฉมดีๆ นี่เอง ดังนั้นการยึดอำนาจรัฐประหาร ซึ่งๆ หน้ากันไปเลย อาจจะดูดีกว่าเสียด้วยซ้ำไป

“แก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ” ไปเลยครับท่านผู้นำ ดีกว่ากันเยอะเลย!

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net