ผอ.สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เผยส่งออกเดือนมิ.ย.ติดลบร้อยละ 2.15 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 จากปัญหาสงครามการค้ากระทบส่งออกกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ครึ่งปีแรกยังติดลบร้อยละ 2.91 ส่วนสถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งวันนี้เปิดอ่อนค่าลงที่ระดับ 30.84 บาท/ดอลลาร์
22 ก.ค.2562 สำนักข่าวไทย รายงานว่า พิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า เปิดเผยตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2562 ว่า มีมูลค่า 21,409 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังคงติดลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ร้อยละ 2.15 แต่ปรับตัวดีขึ้นจากเดือนพฤษภาคมที่ติดลบถึงร้อยละ 6.20 เนื่องจากปัญหาสงครามการค้าจีนและสหรัฐยังเป็นแรงกดดันต่อการส่งออกสินค้าไทยโดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ที่อยู่ในห่วงโซ่การผลิตของจีน และเป็นสินค้าส่งออกสำคัญ 10 อันดับแรกของไทย ปรับตัวลดลงเกือบทุกรายการทั้งคอมพิวเตอร์ส่วนประกอบร้อยละ 15.5 และแผงวงจรไฟฟ้า ติดลบร้อยละ 20.6 ยกเว้นทองคำ อัญมณีและเครื่องประดับขยายตัว และยางพารากลับมาขยายตัวเดือนมิถุนายนร้อยละ 11.8
ขณะที่การส่งออกสินค้าเกษตรยังหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยเฉพาะข้าวติดลบถึงร้อยละ 34.6 ตามความต้องการของตลาดที่ลดลง เนื่องจากจีนเริ่มเป็นผู้ส่งออกข้าวแทนการนำเข้า รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า ทำให้ราคาข้าวไทยสูงกว่าคู่แข่ง ส่งผลให้ภาพรวมการส่งออกครึ่งปีแรกมีมูลค่ารวม 122,970 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังติดลบร้อยละ 2.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ส่วนปัญหาเงินบาทแข็งค่านั้น จากการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อยากให้ผู้ส่งออกทำประกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่ง ธปท.มีหน่วยงานให้คำแนะนำและออกหลายมาตรการ ทั้งโครงการให้เงินปล่าว เพื่อไปทำประกันความเสี่ยง หรือการสนับสนุนให้ใช้เงินสกุลท้องถิ่นในการค้าขาย หรือการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนแบบสัญญาระยะยาวที่จะช่วยบรรเทาผลกระทบจากการค้าได้ โดยการส่งออกไทยได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายประเทศในภูมิภาค และยังมีโอกาสขยายตัวได้ดีในหลายตลาด เนื่องจากภาพลักษณ์ของสินค้าไทยที่ดีในสายตาของต่างชาติ และยังมีโอกาสทดแทนสินค้าจากการดำเนินมาตรการตอบโต้ทางการค้าของประเทศต่าง ๆ รวมทั้งระยะเร่งด่วน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ยังสั่งการให้จัดตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนกระทรวงพาณิชย์ หรือ กรอ.พาณิชย์ เพื่อเป็นเวทีแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหาและอุปสรรคด้านการส่งออกในการผลักดันให้การส่งออกของไทยปีนี้ขยายตัวมากขึ้น โดยในช่วงที่เหลือของปีนี้ หากตัวเลขการส่งออกเฉลี่ยเดือนละ 21,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ไทยยังมีโอกาสที่การส่งออกจะขยายตัวเป็นบวกร้อยละ 1-2 แม้เป้าการส่งออกจะตั้งไว้ที่ร้อยละ 3 หากไม่มีปัญหาเพิ่มเติมการส่งออกจะขยายตัวเพิ่ม 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ยังมีโอกาสที่การส่งออกจะได้ตามเป้าหมายอยู่
ส่วนการนำเข้าเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มีมูลค่า 18,197 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ติดลบร้อยละ 9.44 แต่ยังเกินดุลการค้า 3,212 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เช่นเดียวกับภาพรวมช่วงครึ่งปีแรก มูลค่านำเข้ารวม 119,027 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ไทยยังได้ดุลการค้า 3,943 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดอ่อนค่าลงที่ระดับ 30.84 บาท/ดอลลาร์
ขณะที่สถานการณ์ค่าเงินบาทแข็งนั้น ประชาชาติธุรกิจออนไลน์ รายงานว่า จิติพล พฤกษาเมธานันท์ ประธานนักกลยุทธ์ตลาดทุนสายงานธุรกิจตลาดเงินทุน ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ (22 ก.ค.) ที่ระดับ 30.84 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ อ่อนค่าจากช่วงปิดสิ้นสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 30.78 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ สำหรับกรอบเงินบาทวันนี้อยู่ที่ 30.82-30.92 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
“ในสัปดาห์นี้ เงินดอลลาร์น่าจะแข็งค่ากลับขึ้นได้ จากแนวโน้มนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดมองไว้ (ลดดอกเบี้ย 0.25% ในวันที่ 31ก.ค.) ถ้าจีดีพีสหรัฐไตรมาสสองรายงานออกมาสูงกว่าที่คิด ขณะที่ค่าเงินฝั่งยุโรป ก็จะเข้าสู่ช่วงที่มีปัญหาการเมืองและนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นด้วย ขณะที่ปัจจัยสนับสนุนเงินบาทสัปดาห์นี้จะเริ่มลดลง เพราะราคาทองมีโอกาสพักฐานและภาพรวมการค้าไทยก็ดูจะชะลอตัวลง เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในเอเชีย” จิติพล กล่าว และระบุว่ากรอบเงินบาทสัปดาห์นี้ คาดว่าจะอยู่ระหว่าง 30.60-31.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ