เลื่อนลอย โลเล หลอกลวง: ปิยบุตร แสงกนกกุลอภิปรายนโยบายรัฐบาลประยุทธ์

อภิปรายจากปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่หลังนายกฯ ประยุทธ์ จันทร์โอชา แถลงนโยบาย ชี้ แถลงรอบนี้เลื่อนลอย โลเล หลอกลวง เสนอแนวทางกระจายอำนาจท้องถิ่น การบำรุงสถาบันพระมหากษัตริย์ 

ปิยบุตร แสงกนกกุล อภิปรายในรัฐสภา (ที่มา:facebook/วิทยุและโทรทัศน์รัฐสภา)

ในช่วงกลางวัน หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ อภิปรายในวาระการอภิปรายว่านโยบายของ ครม. ชุดนี้มีลักษณะเด่นอยู่ 3 ประการ คือเลื่อนลอย โลเลและหลอกลวง และมีข้อเสนอแนะหลายประการตั้งแต่การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น สถานะของสถาบันพระมหากษัตริย์ไปจนถึงการแก้รัฐธรรมนูญ

ลักษณะเด่นประการแรก นโยบายของ ครม. ชุดนี้เป็นนโยบายที่เลื่อนลอย ไม่มีการแยกเฉพาะเจาะจงประเด็นของแต่ละเรื่องอย่างชัดเจน แต่ทำให้ประเด็นของหลายๆเรื่องเกิดการกระจัดกระจาย ไม่มีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมในรายละเอียดว่าจะต้องทำอย่างไร ยกตัวอย่างนโยบายเร่งด่วนในข้อที่ 9 ว่าด้วยเรื่องการดำเนินนโยบายที่แก้ไขปัญหาเรื่องยาเสพติดและสร้างความสงบสุขในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นคนละประเด็นที่ถูกนำเขียนติดกัน อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่าปัญหาเรื่องยาเสพติดมีอยู่ที่ชายแดนภาคใต้ จึงเป็นประเด็นที่ย้อนแย้งกันที่ถูกนำมารวมกัน 

อีกตัวอย่างที่ปิยบุตรได้ยกขึ้นมาคือประเด็นในการขับเคลื่อนเชิงรุกเพื่อประชาชนเพื่อคุ้มครองผลประโยชน์ของคนไทยส่งเสริมบทบาทของชุมชนไทยฯ ปิยบุตรชี้ให้เห็นว่าเป็นการเขียนถึงเพียงแค่ทิศทางของนโยบายแต่ไม่ได้บอกว่าจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้บรรลุผลของทิศทางนั้น

ลักษณะเด่นประการที่สอง นโยบายของ ครม. ชุดนี้เป็นนโยบายที่มีลักษณะโลเล ไม่มีความชัดเจนว่านโยบายมีความต้องการอะไรที่แน่นอน เพราะการเขียนมีความซับซ้อนและขัดแย้งกันเอง ยกตัวอย่างเช่น นโยบายหลักข้อที่ 10.1 ที่กล่าวถึงการเร่งคือพื้นที่ผืนป่า มีการระบุว่าจะจัดการให้ประชาชนอยู่ร่วมกับป่าได้ ซึ่งหากย้อนกลับไปตลอด 5 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่ามีประชาชนจำนวนมากที่ถูกดำเนินคดีและถูกจับเข้าคุกจริง ดูจะเป็นเรื่องที่อยู่คนจะทิศคนละทางในเรื่องของการทวงคืนผืนป่ากับการเข้าชุมชนกับป่ามาอยู่ร่วมกัน ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสะท้อนถึงความโลเลที่ไม่รู้จะเอาเรื่องไหนเป็นเรื่องสำคัญ

ลักษณะเด่นประการที่สาม เป็นนโยบายที่มีลักษณะหลอกลวง เนื่องจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาในการรณรงค์หาเสียงก่อนวันเลือกตั้งในวันที่ 24 มี.ค. 2562 แต่ละพรรคการเมืองได้ยกนโยบายที่ก้าวหน้าสร้างสรรค์จำนวนมาก เช่น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ สวัสดิการ การศึกษา การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร การนำกัญชามาใช้อย่างถูกกฎหมาย แต่ก็ยังไม่ได้ปรากฎให้เห็นว่าแต่ละพรรคการเมืองที่เข้าไปเป็นพรรคร่วมรัฐบาลได้มีการดำเนินนโยบายตามที่ได้หาเสียงเอาไว้ตอนต้นอย่างเป็นรูปธรรม

ปิยบุตรได้ยกตัวอย่างนโยบายของพรรคพลังประชารัฐ ในประเด็นเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400-425 บาท ที่ระบุไว้ในแผ่นป้ายหาเสียง ปริญญาตรีจบแล้วได้เงินเดือน 2 หมื่นบาท อาชีวะจบแล้วได้เงินเดือน 1 หมื่น 8 พันบาท แต่ทั้งที่กล่าวมานี้ไม่ได้ปรากฎอยู่ในนโยบายของ ครม. ชุดปัจจุบันที่พรรคพลังประชารัฐเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล 

นโยบายเด่นทั้ง 3 ประการที่ได้กล่าวไปเป็นนโยบายที่เขียนได้แย่กว่านโยบายในสมัยปี 2557 ที่พลเอกประยุทธ์ได้ทำการรัฐประหารใหม่ๆเสียอีก ซึ่งหากพินิจดูแล้วถึงสาเหตุที่เป็นเช่นนี้สำหรับปิยบุตรแล้วเป็นที่ระบบของกฎหมายรัฐธรรมนูญที่บีบบังคับ ครม. ต้องเขียนนโยบายแบบนี้ไม่ใช่ปัญหาที่ตัวของ ครม. เอง

ปิยบุตรได้ให้ข้อสังเกตกับ ครม. ในประเด็นเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์ว่า "การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษตริย์ที่ดีที่สุด มิใช่การนำสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างทางการเมือง มิใช่การป้ายสีข้อหาที่เรามักเรียกกันว่า 'ล้มเจ้า' มิใช่การเปิดโอกาสให้กองทัพเข้ามายึดอำนาจโดยการใช้ข้ออ้างเรื่องหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแบบในอดีต แต่การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุดคือ การสร้างประชาธิปไตยให้มั่นคง" 

"มีแต่การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนเท่านั้นที่จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคงสถาพร และทรงพระเกียรติยศ"

ปิยบุตรกล่าวว่า การมีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคทำให้การเขียนนโยบายไม่มีเสถียรภาพ เป็นผลสืบเนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 เพราะต้องการสืบทอดอำนาจ แต่ก็ได้มาในลักษณะเสียงปริ่มน้ำ รัฐบาลนี้ไม่ได้ผิด แต่ผิดที่ระบบ และทำให้พรรคต่าง ๆ เสียโอกาสในการผลักดันนโยบายที่ก้าวหน้าและสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นปัญหาในระดับโครงสร้าง นโยบายก้าวหน้าจากจากรัฐบาลที่มาจากหลายพรรคแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะสำเร็จ รัฐบาลชุดนี้จะผลักดันได้เพียงนโยบายเฉพาะหน้า เฉพาะนโยบายที่จะส่งผลประโยชน์ในการเลือกตั้งครั้งถัดไป นโยบายที่เคยแถลงไว้ก็เป็นไปไม่ได้จริง นโยบายที่ทำได้จะเป็นเพียงการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ กระตุ้นระบบเศรษฐกิจ เพิ่มคะแนนความนิยมให้ตนเองในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่นโยบายสำคัญจะทำไม่สำเร็จคือนโยบายของรัฐบาลที่มี 12 ด้าน ด้านแรก คือการปกป้องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของทุกรัฐบาลอยู่แล้ว ตามที่รัฐกำหนด การปกป้องและเชิดชูสถาบันพระมาหากษัตริย์ที่ดีสุดไม่ใช่การใช้สถาบันเป็นเครื่องมือในการทำร้ายฝ่ายที่เห็นไม่ตรงกัน ไม่ใช่การเปิดโอกาสของกองทัพ แต่คือการสร้างประชาธิปไตยที่มั่นคง ประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ประชาธิปไตยแบบนี้จะทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ดำรงอยู่อย่างมั่นคงและทรงพระเกียรติ

พรรคอนาคตใหม่เสนอว่าวิธีปกป้องต้องไม่ใช้สถาบันเป็นเครื่องมืออย่างที่ฝ่ายรัฐบาลเสนอมาว่าจะเน้นความสำคัญไปที่ ความสงบสุขของประเทศ พัฒนาประเทศ ธรรมภิบาล ความรักชาติ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งเหล่านี้ ประชาธิปไตยสามารถแสดงออกผ่านได้การเลือกตั้ง ในประเทศไทยเป็นระบบรัฐสภาผ่านการเลือกผู้แทน ที่มาจากการเลือกตั้งและแต่งตั้ง ซึ่งต้องหาจุดสมดุล จะไม่มีที่อยู่ให้กับการรัฐประหารหรือยึดอำนาจ อำนาจของกองทัพจะไม่อยู่เหนือรัฐบาลพลเรือน ครม. ชุดนี้จำเป็นต้องหยุดยั้งรัฐประหาร กองทัพก็จะเป็นกองทัพแบบมืออาชีพ อำนาจสูงสุดต้องมาจากการเลือกตั้งมากกว่าแต่งตั้ง ส.ว. ต้องมีอำนาจน้อยกว่า ส.ส. เพราะ ส.ส. มาจากการเลือกตั้ง หาก ส.ว. ต้องการมีอำนาจเท่ากับ ส.ส. ก็ต้องมาจากการเลือกตั้งเช่นกัน รัฐบาลพลเรือนจะอยู่เหนือกองทัพซึ่งเป็นสิ่งที่ยึดกับรัฐบาลทุกชุดต่อไป 

อีกประการหนึ่ง รัฐบาลชุดนี้ต้องทบทวนประกาศคำสั่ง ม.44 ที่ผ่านมา 5 ปี มีคำสั่งออกมามากมาย จึงต้องทบทวนคำสั่ง จัดการและเปลี่ยนแก้ และที่สำคัญมาตรา 279 ที่ทำให้อ้างได้ตลอดว่าคำสั่ง คสช. ต่าง ๆ มีความชอบธรรม หากแก้ไขเรื่องดังกล่าวแล้ว จะเหลือเพียงความขัดแย้งทางความคิด ซึ่งเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย ศาลจะสร้างความเชื่อมั่นในระบอบยุติธรรม สถาบันพระมหากษัตริย์จะสง่างามทรงพระเกียรติ เรื่องความรักชาติ ครม. เป็นเพียงส่วนหนึ่งของความเป็นชาติ คนที่วิจารณ์ท่านก็รักชาติไม่ต่างกัน จึงไม่ควรมองว่าคนที่คิดไม่ตรงกันเป็นคนไม่รักชาติ แต่ทุกคนรักชาติ พอพวกเขารักชาติเขาเลยต้องวิจารณ์ ไม่ควรตั้งข้อหากับพวกเขา ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บ้านเมืองมีความขัดแย้งอันยาวนาน มีผู้ประสบปัญหาทางการเมือง และต้องลี้ภัยไปอยู่ในต่างแดน หลายท่านมีความกังวลใจ เราเป็นคนชาติเดียวกัน การกลับมาของพวกเขา เราควรให้พวกเขากลับมาอยู่อย่างปลอดภัย มีหลักประกันการปลอดภัย ด้วยนโยบาย 66/23 แต่สุดท้ายคนเหล่านี้ได้กลับมาทำหน้าที่ มีบทบาทในสภา กลับสู่ความปรองดองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

นโยบายหลักของ ครม. ได้กำหนดไว้ในข้อ 11.8 เรื่องการกระจายอำนาจ ความรับผิดชอบ และเพิ่มบทบาทการปกครองขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เรื่องกระจายอำนาจเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เขียนเอาไว้ ซึ่งเป็นอีกส่วนหนึ่งเลยที่ผมไม่มั่นใจเลยว่าจะเกิดขึ้นจริงของ ครม. ชุดนี้ เนื่องจากดูพฤติกรรมของตอนที่ท่านครองอำนาจกันมาเมื่อ 5 ปีแล้วบังเอิญว่าท่านรัฐมนตรีมหาดไทยก็ยังเป็นคนเดิมด้วย ด้วยความหวังว่าจะมีรัฐมนตรีที่ได้รณรงค์หาเสียงเรื่องกระจายอำนาจเอาไว้ก็คิดว่าน่าจะเดินหน้าได้ 

นโยบายเรื่องการกระจายอำนาจตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เราไม่มีการเลือกตั้งท้องถิ่นเลย รัฐบาลชุดที่แล้วได้ทำลายหลักการกระจายอำนาจท้องถิ่นอย่างสิ้นเชิงคือไม่ให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่น แล้วก็เอาอำนาจไปแทรกแซง แต่งตั้ง โยกย้าย ตอนนี้เรามีพระบัญญัติเลือกตั้งท้องถิ่นใช้แล้วครับ แต่ปรากฏว่าก็ยังมีมาตราที่เขียนไว้ว่าให้ ครม. เป็นคนตัดสินใจว่าจะให้มีการเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อไหร่ ดังนั้นอยากจะขอให้ ครม. ได้ระบุให้ชัดเจนว่าจะเลือกตั้งท้องถิ่นเมื่อไหร่ การกระจายอำนาจไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลยถ้าไม่กลับไปเลือกตั้งท้องถิ่น ในอดีต ตั้งแต่มีรัฐธรรมนูญ 2540 เรามีกฎหมายขั้นตอนการกระจายอำนาจออกมาปี 2542 เราทำแผนเพื่อจะกระจายอำนาจกันออกมาเพื่อวางกันเอาไว้เพื่อว่าจะทยอยการแบ่งสรรปันส่วนงบประมาณกับท้องถิ่นส่วนกลางไปให้ถึงฝันอยู่ที่ 70:30 แต่ทุกท่านก็ทราบดีว่า เวลานี้ภารกิจของท้องถิ่นมากขึ้น งบประมาณเพียงเท่านี้ยังไม่พอ ถ้าเป็นไปได้อยากให้ขยับขึ้นเป็น 60:40 หรือ ครึ่งต่อครึ่งก็ได้ เหมือนที่เป็นนโยบายของพรรคอนาคตใหม่ได้รณรงค์หาเสียงไว้ ในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นลักษณะแบบนี้เพราะท้องถิ่นมีภารกิจมาก มีอำนาจมากขึ้น งบประมาณก็จะมากขึ้นตาม

ในช่วงเวลาที่ผ่านมากระทรวงมหาดไทยมีการประกาศระเบียบคำสั่งกระทรวงที่ใช้กันภายในเยอะแยะเต็มไปหมด แต่ปรากฏว่ากฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ทำลายหลักการกำกับรุนแรงของส่วนกลางกับท้องถิ่นเปลี่ยนจนกลายเป็นเหมือนบังคับบัญชา ท้องถิ่นจะทำอะไรแต่ละอย่างต้องกังวลใจเสมอว่ามหาดไทยจะยอมหรือไม่ ท้องถิ่นต้องคอยกังวลกับเรื่องการตรวจเงินแผ่นดินของ สตง. (สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน) ตลอดเวลา จนส่วนท้องถิ่นไม่กล้าจะทำอะไรเลย ดังนั้นอยากให้จัดการแก้ไขปัญหาตรงนี้ด้วยเพื่อให้การกระจายอำนาจสมอย่างที่ท่านเขียนไว้ในนโยบาย

ปิยบุตรกล่าวว่า เขาและสมาชิกพรรคอนาคตใหม่สนับสนุนเต็มที่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพราะเราเล็งเห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นรัฐธรรมนูญที่ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตยทั้งในแง่ของที่มา ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเชื่อมโยงกับรัฐธรรมนูญปี 2557 และรัฐธรรมนูญ 2557 ก็เกิดมาจากการรัฐประหารทั้งในตัวเนื้อหาก็มีปัญหาเรื่องความไม่ชอบธรรมในเรื่องประชาธิปไตย เช่น ส.ว.ในชุดนี้มีอำนาจในการเลือกรัฐมนตรี มีอำนาจร่วมในทางออกกฎหมายเกี่ยวกับการปฏิรูป ส.ว.ชุดนี้ทั้งหมดมาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช. มีมาตรา 279 มาตราสุดท้ายที่รับรองไว้หมดว่า ประกาศคำสั่งถูกต้องตามรัฐธรรมนูญเสมอ นั่นหมายความว่า ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญ 2 ระบบ คือระบบปกติกับระบบพิเศษ คือข้อยกเว้น บรรดาประกาศคำสั่งทั้งหลายได้รับข้อยกเว้นหมดว่าถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ใครก็ตามอยากจะไปโต้แย้งว่า ประกาศฉบับนี้ของหัวหน้า คสช. เคยออกมาขัดกับรัฐธรรมนูญ พอไปถึงศาลก็จะไม่รับ มีมาแล้วหลายคดี เพราะรัฐธรรมนูญ 279 รับรองเอาไว้หมดแล้ว ด้วยเนื้อหาแบบนี้เองจึงต้องทำการเปลี่ยนแปลง ท่านอาจจะบอกว่ารัฐธรรมนูญ 2560 ผ่านการออกเสียงประชามติ แต่ใครๆ ก็ทราบดีว่าการออกเสียงประชามติที่ผ่านนั้นไม่ต้องมาตรฐานสากลตามแบบอย่างประชาธิปไตย เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของฝ่ายไม่รับใช้ได้ไม่เต็มที่ หลายคนถูกดำเนินคดีจนตอนนี้ยังคงขึ้นศาลกันอยู่ เพราะฉะนั้นรัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาจริงๆและต้องแก้กันขนานใหญ่ พรรคอนาคตใหม่สนับสนุนให้แก้รัฐธรรมนูญเพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากประชาชน แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับโดยยึดหลักระบอบอธิปไตยทรงมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขเอาไว้ ยึดหลักเรื่องราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขสืบทอดทางสายโลหิต ยึดหลักเรื่องการแบ่งแยกอำนาจ ยึดหลักเรื่องการเป็นรัฐเดี่ยวเอาไว้ แล้วที่เหลือก็ร่างในส่วนอื่นๆกันต่อ 

“รัฐธรรมนูญชุดนี้เมื่อออกดอกออกผลเต็มที่แล้ว ไม่ได้มีแต่พวกผมทางซีกฝ่ายค้านที่จะโดนฤทธิ์เดชของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ทางพวกท่านเองที่กำลังเป็นรัฐบาล ท่านก็ต้องโดนเหมือนกัน สิ่งที่ท่านคิดตอนออกแบบรัฐธรรมนูญอาจจะคิดว่าจะมาใช้กับใครคนใดคนหนึ่ง พรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง แต่เมื่อรัฐธรรมนูญมาออกมาแล้ว มันโดนใช้กับทุกคน”

ท่านก็จะเห็นปัญหาต่างๆ ต่อเนื่องตลอดเวลา รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นเหมือนกับดัก เวลาเป็นกับดัก ลูกระเบิดที่พร้อมจะระเบิดต่อไป ถ้าหากจะให้บ้านเมืองกลับสู่ปกติได้ เราจำเป็นต้องทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ผ่านมาเราเคยมีรัฐธรรมนูญที่มีฉันทามติร่วมกันทั่วประเทศแล้ว นั่นคือรัฐธรรมนูญ 40 อยากจะเชิญชวนให้ช่วยกันฟื้นวิญญาณการเกิดขึ้นของรัฐธรรมนูญ 40 กลับมา ยุติรัฐธรรมนูญแบบการแก้แค้นเอาคืนตลอด 3 ฉบับหลังที่ผ่านมา คุณต้องการแก้แค้นเอาคืนใคร ก็เขียนรัฐธรรมนูญให้หน้าตาเป็นอย่างนั้น แต่ถึงที่จริงแล้วมันหาฉันทามติของสังคมไมได้ ฟื้นวิญญาณรัฐธรรมนูญ 40 มาด้วยกัน บ้านเมืองจะได้ไปต่อ

“ผมเองในฐานะผู้แทนราษฎรของพรรคอนาคตใหม่ ผมขอเรียนว่าพรรคอนาคตใหม่ พวกเรามีความปารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง พวกเรามีความรักชาติบ้านเมือง รักและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ไมได้น้อยไปกว่าพวกท่าน ไมได้น้อยไปกว่าคนที่กล่าวหาพวกเรา แต่การแสดงออกของแต่ละคน ของแต่ละท่านมีความเหมือนและแตกต่างกัน แต่หัวจิตหัวใจไม่ได้แตกต่างจากพวกท่าน พวกเรามีความรักชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ไม่ต่างจากพวกท่าน” 

พวกเราไม่ได้มีความคิดที่จะล้มล้างอะไร ไมได้มีความคิดรุนแรง เราเพียงต้องการให้บ้านเมืองกลับมาสู่ระบบปกติ ระบบประชาธิปไตย ระบบนิติรัฐให้ได้ เราเพียงต้องการร่วมกันสร้างฉันทามติร่วมกันเพื่อให้บ้านเมืองออกจากความขัดแย้ง 13 ปีนี้เสียที เราไมได้คิดตั้งตนเป็นศัตรูกับกองทัพ เพียงแต่เราไม่สนับสนุนให้มีการรัฐประหารโดยกองทัพ เราไม่ได้ต้องการให้รัฐบาลพลเมืองไปอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาดูแลของตัวกองทัพเท่านั้นเอง เราต้องการกองทัพที่มืออาชีพ เราไม่เป็นศัตรูกับองค์กรตุลาการหรือศาลใด เพียงแต่เราต้องการมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมที่เท่าเทียมกัน ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ทุกท่าน พวกเรา 81 คนพร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐมนตรี กับทุกองค์กร กับทุกๆสถาบันเพื่อที่จะนำประชาธิปไตยกลับมา และร่วมกันเดินหน้าหาฉันทามติมาแสวงหาอนาคตแบบใหม่ร่วมกัน

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท