Skip to main content
sharethis

26 ก.ค. 2562 ชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส. พรรคเพื่อไทย จังหวัดนครพนม ได้อภิปรายต่อการแถลงนโยบายของรัฐบาลใน 3 ประเด็น ประกอบด้วย 1.นโยบายในอดีตสะท้อนหลักคิดที่ต่อเนืองจนถึงปัจจุบัน 2.เราต้องทราบหัวใจของปัญหาจึงจะแก้ไขปัญหาได้ตรงจุด และประเด็นที่ 3. ทางออกและข้อเสนอแนะ

แรกสุดชวลิต กล่าวว่า ได้ตรวจสอบนโยบายของรัฐบาล คสช. ที่ได้แถลงต่อ สนช. เมื่อวันที่ 12 ก.ย. 2557 (อ่านได้ที่นี่) มีข้อความสำคัญตอนหนึ่งว่า การที่รัฐบาลนี้ไม่ได้จัดตั้งขึ้นจากพรรคการเมือง จึงไม่มีนโยบายพรรคที่ใช้หาเสียง หรือมุ่งหวังคะแนนประชานิยมมาเป็นฐานการเมือง จึงไม่ต้องวิตกว่าจะมีการนำประเทศของไปผูกผันจนเสียวินัยการคลัง หรือทำให้เกิดภาระในอนาคต และการที่มีเอกภาพทางนโยบายจึงไม่ต้องวิตกว่า การทำงานในแต่ละกระทรวงจะไม่บูรณาการสอดคล้อง สิ่งเหล่านี้จะน่าจะเป็นพลังอำนาจ เกื้อหนุนให้รัฐบาลทำงานที่ยากให้สำเร็จในระยะเวลาอันสั้นได้สำเร็วราบลื่น สิ่งที่กระผม(พล.อ.ประยุทธ์) ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลจะกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดคือจะไม่ให้การทำงานของรัฐบาลเป็นภาระของประเทศเป็นอันาขาด

ชวลิตระบุว่า สาระสำคัญของคำแถลงนโยบายดังกล่าวนี้ สามารถแยกออกได้ 3 ประเด็นดังนี้ 1.รัฐบาลไม่ได้มาจากพรรคการเมืองจึงไม่มีนโยบายที่ใช้หาเสียง หรือมุ่งหวังคะแนนประชานิยม กรณีนี้ต้องถามพล.อ.ประยุทธ์ อย่างตรงไปตรงมาว่า การที่ท่านได้ส่งรัฐมนตรี 2 คน ไปเป็นหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค ของพรรคการเมืองหนึ่ง เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงการสืบทอดอำนาจหรือไม่ การใช้ชื่อนโยบายโครงการประชารัฐของรัฐบาล คสช. เป็นชื่อของพรรคการเมือง ถือเป็นส่วนหนึ่งของการวางแผนในการสืบทอดอำนาจหรือไม่ และกรณีของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ เพราะเหตุใดรัฐบาลจึงอัดฉีดเม็ดลงเข้าไปก่อนการเลือกตั้งเพียงไม่กี่วัน ถือเป็นการหาเสียง และเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นหรือไม่

เขาระบุต่อไปว่า จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาล คสช. เมื่อปี 2557 คือ การยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่บริหารงานจนเสียวินัยทางการคลัง แต่การเทงบประมาณลงไปในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเป็นเงินนับแสนล้าน ถือเป็นการเสียวินัยทางการคลังหรือไม่

อีกประเด็นหนึ่งที่จะเป็นการกระทำที่ถือว่าเป็นการเสียวินัยทางการคลัง ชวลิตชี้ว่า เป็นเรื่องที่น่าตกใจที่แม้แต่ทีมกฎหมายของพรรคเพื่อไทยเองก็ไม่ได้ทราบเรื่องมาก่อน แต่พบว่ากฎหมายฉบับนั้นได้ผ่านโดย สนช. เรียบร้อยแล้ว คือ พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 ซึ่งเป็นการเปิดให้มีการนำภาษีอากรของประชาชนมาใช้โดยไม่ต้องมีแผนงาน โครงการ ไม่จำเป็นต้องผ่านพิจารณาของสภาฯ ตามมาตรา 45 ที่กำหนดให้คณะรัฐมนตรีสามารถใช้เงินก้อนหนึ่งที่เรียกว่าเงินสำรองจ่าย จำนวนห้าหมื่นล้านบาท

พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ.2561 มาตรา 45 ให้มีเงินทุนจํานวนหนึ่งโดยให้รัฐมนตรีจ่ายจากคลัง เรียกว่า “เงินทุนสํารองจ่าย” เป็นจํานวนห้าหมื่นล้านบาท เงินทุนนี้ให้นําไปจ่ายได้ในกรณีที่มีความจําเป็นและเร่งด่วนเพื่อประโยชน์แก่ ราชการแผ่นดิน และงบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสํารองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจําเป็น ไม่เพียงพอ ทั้งนี้ โดยอนุมัติคณะรัฐมนตรีและเมื่อได้จ่ายเงินไปแล้ว ให้ตั้งงบประมาณรายจ่ายเพื่อชดใช้ ในกฎหมายว่าด้วยงบประมาณรายจ่ายเพื่อสมทบเงินทุนนั้นไว้จ่ายต่อไปในโอกาสแรก

เขากล่าวต่อไปว่า ทุกรัฐบาลที่ผ่านมีจะมีงบกลางไว้ใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินและจำเป็น แต่รัฐบาล คสช. ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมาได้ใช้งบกลางอย่างน่ากลัว ในปี 2558 มีการใช้งบไป 372,740 ล้านบาท ปี 2559 455,389 ล้านบาท ปี 2560 448,881 ล้านบาท ปี 2561 394,326 ล้านบาท ปี 2562 468,032 ล้านบาท และหากรวมอีกห้าหมื่นล้านบาทก็จะมียอดเงินที่สูงขึ้น

“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ควรถ่วงดุลกันระหว่างฝ่ายบริหาร กับฝ่ายนิติบัญญัติ จึงขอถามท่าน พล.อ.ประยุทธ์ตรงๆ ว่า เมื่อบ้านเมืองวันนี้ท่านบอกว่าวันนี้มันเป็นประชาธิปไตยแล้ว ท่านจะตัดมาตรา 45 ออกไปได้ไหม อยากฟังจากปากท่าน ถ้าท่านบอกว่าได้ พวกผมก็จะไม่ดำเนินการอะไรต่อ แต่ถ้าท่านบอกว่าไม่ได้ โดยส่วนตัวผมจะเสนอต่อพรรคของผมเพื่อแก้ไขกฎหมายฉบับนี้โดยตัดมาตรา 45 ออกไป” ชวลิต กล่าว

เขาอภิปรายต่อไปถึงประเด็นที่ 2 เรื่องหัวใจของปัญหาว่า การจะแก้ไขปัญหาของประเทศต้องทราบหัวใจของปัญหาว่าคืออะไร หากมองไม่เห็นก็ไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาได้ ปัญหาของประเทศมีมากมายหลายด้าน เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ความมั่นคง การต่างประเทศเป็นต้น แต่อะไรคือหัวใจของปัญหา

เขายกตัวอย่างถึงการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่คนในประเทศลุกขึ้นมาฆ่าฟันกันในช่วง สงครามคอมมิวนิสต์ว่า ในแต่ละปีที่ประชาชน และเจ้าหน้าที่รัฐเสียชีวิตรวมกันนับพันคน ก่อนจะมีการแก้ปัญหาดังกล่าวโดยการออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/23 ในสมัยรัฐบาลพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ภายใต้การอำนวยการเสนอคำสั่งที่หลักคิดของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบก จากนั้นบ้านเมืองก็เข้าสู่ความสงบเลิกรบลาฆ่าฟันกัน เกิดผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย ออกจากป่ามาร่วมกันพัฒนาชาติไทย หลายคนเป็นรัฐมนตรี เป็น ส.ส. เป็นนักธุรกิจ ทำงานเป็นประโยชน์กับบ้านอยู่ในขณะนี้

“ปัญหาของประเทศในขณะนี้ เราต้องคิดว่าทำไมรัฐบาลทุ่มเทสรรพกำลัง ใช้เงินมากมายมหาศาลถึง 13 ล้านล้านในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา แต่ทำไมคนจนจึงเพิ่มขึ้น ขณะนี้ 14.5 ล้านคน ตรงนี้มันประจักษ์ชัดว่า เรามาผิดทางแน่ ถ้าเราไม่ห่หัวใจของปัญหาให้เจอนั่นก็คือ ความเชื่อในการเมืองการปกครองของประเทศ หากเราดูย้อนหลังไป 85-86 ปี ประเทศไทยมีการรัฐประหารจำนวนมากจนถูกบันทึกใน Guinness Book กับประเทศที่เขาเคยแย่กว่าเรา เช่น เกาหลี รุ่นพี่ รุ่นพ่อเล่าให้ฟังว่าเราเคยส่งทหารไปช่วยเกาหลีรบ เขาถูกบอมพ์ยับเยิน ไม่มีอะไรเหลือ แต่ปัจจุบันใน 1-2 ปีที่ผ่านกระทรวงกลาโหมของไทยต้องไปซื้อเครื่องบินฝึกรบจากเกาหลี เกาหลีผลิตอะไรต่างๆ ได้มากกมาย แต่ทำไมประเทศไทยเราถึงถอยหลังเข้าคลอง ก็เพราะการเมืองที่ไม่นิ่ง การเมืองที่ไม่มีประสิทธิภาพ”

ชวลิต ระบุว่า ปัญหาความเชื่อมั่นทางการเมืองมี 2 ประเด็นที่ต้องได้รับการแก้ไข อย่างแรกคือกติตา โดยจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนหน้านี้มีการสำรวจความเห็นมาเป็นระยะ ซึ่งคนจำนวนมากเห็นว่าจำเป็นต้องแก้ไข สิ่งที่เป็นสาเหตุสำคัญที่จะต้องแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนหนึ่งมาจากวลีบางท่านเคยกล่าวคือ “รัฐธรรมนูญออกแบบมาเพื่อพวกเรา และรัฐธรรมนูญฉบับนี้ออกแบบมาเพื่อให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเป็นนายกรัฐมนตรี เท่านั้น” ซึ่งผู้พูดเองก็ได้พูดอย่างองอาจต่อสาธารณะ และนี้คือสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่เป็นกลาง มีการเอาเปรียบในการเลือกตั้งที่ผ่านมา

“ท่านสมาชิกก็อาจจะบอกได้ว่า ก็เขียนอยู่ในนโยบายรัฐบาลข้อ 12 แล้วนี่ ที่เขียนว่า สนับสนุนให้มีการศึกษาการรับฟังความเห็นประชาชน และการดำเนินการเพื่อแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญฉบับในส่วนที่ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ อ่านแล้วใครๆ ก็รู้ว่าให้อย่างเสียไม่ได้ ถ้ายังจำร่างแรกไม่มีนะครับ ต้องต่อรองวุ่นวายกันไปหมด ไม่แน่ใจว่าถูกหลอกหรือเปล่า หรือรู้ว่าหลอกแต่เต็มให้หลอก ในการเข้าร่วมรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2562 ผู้สื่อข่าวไปถามพล.อ.ประยุทธ์ว่า มีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งยื่นเงื่อนในการร่วมรัฐบาลว่าจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ท่านนายกฯ มีจุดยืนเรื่องนี้อย่างไร ท่านตอบสั้นๆ ว่า ผมไม่มีจุดในการแก้รัฐธรรมนูญ ชัดไหมครบ”

เขากล่าวต่อว่า จึงไม่แน่ใจว่านโยบายที่วางไว้ว่าจะมีการศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญจะประสบความสำเร็จ แต่ก็หวังว่าเมื่อนายกฯ ได้ฟังสิ่งที่พูดทั้งหมดจะมองเห็นหัวใจของปัญหาได้ชัดว่าเป็นเรื่องการเมือง เรานี้ไม่ได้ขอให้มีการแก้ไขมากมาย เริ่มต้นที่ 2 ประเด็นคือ ที่มาและอำนาจหน้าที่ของ ส.ว. และประเด็นที่สองระบบการเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสมจะต้องยกเลิก เพราะ 2 สิ่งนี้คือปัญหาหัวใจสำคัญของประเทศ

“ต่อให้มี 10 วิษณุ 10 สมคิด ก็แก้ไขปัญหาปากท้องไม่ได้ แต่ถ้าระบบการเมืองได้รับการแก้ไขท่านจะทำงานอย่างสบาย ท่านแก้ไขปัญหาบ้านเมืองได้แน่” 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net