Skip to main content
sharethis

ปิยบุตร ยืนยันกรณีถวายสัตย์ฯ  ขัดรัฐธรรมนูญยังไม่จบ ต้องรอคำวินิจฉัยทางกฎหมาย มั่นใจกรณี ‘หุ้นวีลัค-อิลลูมินาติ-ธนาธรให้พรรคกู้เงิน’ ผลตัดสินที่เลวร้ายสุด “ไม่ถึงขั้นยุบพรรค” ชี้กรณีเลิกพรรคประชาชนปฎิรูปอาจเข้าค่ายควบรวมพรรคการเมือง

27 ส.ค. 2562 ทีมสื่อสารพรรคอนาคตใหม่ รายงานว่า ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ กล่างถึงกรณีการถวายสัตย์ของ พล.อ.ประยุทธ์ และคณะรัฐมนตรี ตามที่เมื่อเช้านายกฯ ได้นำคณะเข้ารับพระราชดำรัส พร้อมลายพระราชหัตถเลขาต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์นั้น ขอยืนยันตามความเห็นของวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรีว่าไม่ใช่การถวายสัตย์ครั้งใหม่ โดยวิษณุบันได้ทึกเอาไว้ในหนังสือ “หลังม่านการเมือง” ว่า เมื่อนายกรัฐมนตรีนำคณะรัฐมนตรีเข้าเฝ้าถวายสัตย์จบแล้ว พระมหากษัตริย์จะทรงมีพระราชดำรัสให้กำลังใจอำนวยพรให้กับคณะรัฐมนตรี หลายครั้ง พระราชดำรัสได้กลายเป็นแนวทางที่ใช้ในการบริหารประเทศ ในสมัยหนึ่งอดีตนายกรัฐมนตรี คือ บรรหาร ศิลปอาชา หลังเข้าเฝ้าถวายสัตย์ เห็นความสำคัญของพระราชดำรัสแล้ว จึงขอพระบรมราชานุญาตตีพิมพ์เอาไปแจกรัฐมนตรีทุกคน กรณีเมื่อเช้านี้ เป็นครั้งแรกที่มีการจัดพิธีรับพระราชดำรัสต่อหน้าพระบรมฉายาลักษณ์ แต่ไม่ใช่การถวายสัตย์ปฏิญาณใหม่ ดังนั้น จึงต้องพิจารณาต่อว่าการถวายสัตย์เมื่อวันที่ 16 ก.ค.ที่ผ่านมาครบถ้วนสมบูรณ์หรือไม่ และจะส่งผลทางกฎหมายอย่างไร

ปิยบุตร กล่าวต่อว่า พล.อ.ประยุทธ์เองก็ไม่เคยชี้แจงอย่างชัดเจน จึงเป็นปัญหาต่อเนื่องมาในวันนี้ ซึ่งล่าสุดผู้ตรวจการแผ่นดินได้มีมติส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ แต่ยังไม่ได้อธิบายชัดแจ้งว่าการถวายสัตย์ครบถ้วนหรือชอบด้วยรัฐธรรมนูญหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายคำร้องในหลายองค์กรเช่น ป.ป.ช. และยังมีญัตติอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎรตามมาตรา 152 แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่มีองค์กรไหนวินิจฉัยยืนยันชัดเจนถึงผลทางกฎหมายของการถวายสัตย์ไม่ครบถ้วนตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 161  เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องยังคงเป็นเรื่องที่ต้องรอการวินิจฉัยต่อไป

"เรื่องนี้กินเวลามาแล้วเป็นเดือน หลายคนบอกว่าทำไมจึงไม่สนใจปัญหาเรื่องปากท้อง กรณีนี้ผมเองต้องเรียนว่าต้องการจบเรื่องนี้ใจจะขาด แต่ผมเองไม่มีอำนาจที่จะไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้การถวายสัตย์ที่ไม่สมบูรณ์ให้สมบูรณ์ได้ คนที่จะทำให้จบเรื่องได้คือ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งผมเองก็ได้เสนอแนะวิธีการไปแล้วเพื่อให้ทุกอย่างจบครบถ้วน ได้ทักท้วงไปแล้วตั้งแต่ในการอภิปรายการแถลงนโยบายในรัฐสภา เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม แต่ไม่มีการตอบ ไม่มีการอธิบาย ไม่ตอบแม้กระทั่งว่าทำไมถึงไม่อ่านตามถ้อยคำตามที่มาตรา 161 กำหนด เรื่องนี้ยืนยันว่า ที่ทักท้วงไปไม่เกี่ยวกับการล้มรัฐบาล เรื่องแค่นี้ล้มรัฐบาลไม่ได้ เราเพียงต้องการความแน่นอนชัดเจนเพื่อให้คณะรัฐมนตรีรับหน้าที่โดยสมบูรณ์แบบตามรัฐธรรมนูญ จะได้ชัดเจนว่ามาตรการหรือมติต่างๆ ที่ออกมาเพื่อแก้ไขปัญหาต่างๆ จะมีความชัดเจนสมบูรณ์ ไม่เสี่ยงที่จะโมฆะ ถ้าแก้ปัญหาตั้งแต่วันที่ผมได้อภิปรายไปในสภา เรื่องก็จะไม่บานปลายมาจนถึงจุดนี้" ปิยบุตร กล่าว

นอกจากนี้ยังแถลงถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการยุบพรรคอนาคตใหม่ โดยระบุว่า ตอนนี้ พรรคอนาคตใหม่ มีเรื่องที่ถูกร้องเรียนจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งหมด 22 รายการ บางเรื่องเป็นคดีฟ้องร้องตัวบุคคล บางคดีเป็นการฟ้องร้องพรรคการเมืองด้วย โดยคดีทั้งหมดอยู่ในขั้นตอนต่างๆ ตามกระบวนการ

ปิยบุตร ระบุว่า มีคดีที่เป็นที่สนใจของประชาชนอยู่ 3 คดี คือ 1.เรื่องหุ้นวี-ลัค มีเดีย ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรค วันนี้ สถานะล่าสุดคือ ศาลรัฐธรรมนูญจัดประชุมเพื่อจะมีมติให้มีการไต่สวนหรือไม่ หากมีการไต่สวน ศาลจะนัดคู่ความเพื่อกำหนดวันไต่สวนอีกครั้งหนึ่ง แต่หากศาลไม่อนุญาติให้ไต่สวน ศาลจะกำหนดว่าวินิจฉัยเมื่อไหร่ ดังนั้นวันนี้ไม่ใช่วันวินิจฉัยคดีของนายธนาธร แต่จากการคาดการแล้วอีกประมาณ 1 เดือน คดีนี้จะเกิดการวินิจฉัย 2.คดีอิลลูมินาติ ที่มีชายนายหนึ่งไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญโดยตรง อ้างว่าหัวหน้าพรรค และผม ใช้เสรีภาพล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งขั้นตอนคดีนี้ ยังอยู่ชั้นคำให้การต่อศาล ดังนั้น คดีนี้ยังไม่มีการวินิจฉัย และ 3.คดีเรื่องเงินกู้ หัวหน้าพรรคให้พรรคกู้เงิน ตอนนี้อยู่ในชั้นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง อยู่ในขั้นตอนของคณะกรรมการสืบสวน สอบสวน และไต่สวน

ปิยบุตร มองว่า 3 คดีนี้ต่อให้มีการตัดสินเป็นลบกับพรรคมากที่สุด แต่ก็ไม่ถึงขั้นของการยุบพรรคการเมืองได้ สำหรับคดีถือหุ้นสื่อ ผลที่เลวร้ายที่สุดจะส่งผลให้ ธนาธร หลุดจากการเป็น ส.ส. ส่วนคดีอิลลูมินาติ ตามรัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุเรื่องการยุบพรรคการเมืองไว้ และคดีที่หัวหน้าพรรค ให้พรรคกู้เงิน หากศาลตัดสินว่าผิดจริง ก็จะบอกว่าเงินกู้นี้ ทำไม่ได้ให้เอาไปคืน มิได้มีบทบัญญัติอะไรให้ไปยุบพรรค ทั้ง 3 คดีใหญ่ๆ นี้ ไม่เกี่ยวข้องกับการยุบพรรคทั้งสิ้น

“พรรคอนาคตใหม่มั่นใจว่าจะสู้คดีได้และจะสู้จนถึงที่สุด ทั้งนี้ ผมขอตั้งข้อสังเกตว่า ทำไมสังคมถึงคิดว่าพรรคอนาคตใหม่จะโดนยุบ สังคมเชื่อโดยล่วงหน้า หากแต่สังคมประเมินจากประวัติศาสตร์ 13 ปีที่ผ่านมาที่มีการยุบพรรคบ่อยครั้ง นั่นหมายความว่า คนจำนวนมากประเมินและตัดสินล่วงหน้าโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยกฎหมาย เพราะทุกคดีเรา ไม่เกี่ยวกับการยุบพรรคทั้งสิ้น พรรคอนาคตใหม่ยืนยันว่า ส.ส.ในพรรคทุกคนเข้มแข็งและยึดมั่นในอุดมการณ์ของพรรค และพรรคอนาคตใหม่มีแนวทางการแก้ปัญหาของเรา" ปิยบุตร กล่าว

นอกจากนี้ เลขาธิการพรรคอนาคใหม่ยังกล่าวถึงกรณี การเลิกพรรคประชาชนปฏิรูป โดยระบุว่า พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง  มีบทบัญญัติเรื่องการห้ามควบรวมพรรคการเมือง เนื่องจากผู้ร่างมีบทเรียนในอดีต เพราะพรรคไทยรักไทยเกิดขึ้นในเวลานั้น  แล้วเมื่อเข้าสู่สภาก็เข้าไปควบรวมพรรคการเมืองต่างๆ กลายเป็นพรรคขนาดใหญ่เกิน 300 เสียง ดังนั้นกฎหมายพรรคการเมือง ปี 2560 จึงเขียนเอาไว้ในหมวด 9 ว่าด้วยการควบรวมพรรคการเมืองว่า จะควบรวมพรรคการเมืองแบบไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ การควบรวมพรรคการเมืองตามกฎหมายปัจจุบันจะเกิดได้มีเงื่อนไข คือ 1. ถ้าอยู่ในสมัยประชุมสภาห้ามควบรวมพรรคการเมืองเด็ดขาด เพื่อป้องกันการควบรวมจากพรรคเล็กไปพรรคใหญ่ 2. หากสองพรรคมารวมกันต้องกำเนิดพรรคใหม่ขึ้นมา มิใช่ เล็กไปรวมกับใหญ่ แล้วอยู่ในนามพรรคใหญ่ 3. ต้องเรียกประชุมใหญ่ทั้ง 2 พรรคเพื่อลงมติการควบรวมพรรค ซึ่งการใช้ช่องทางการเลิกพรรค จะต้องไม่นำมาซึ่งการควบรวมพรรคโดยปริยาย จะต้องไม่ใช่การใช้ช่องทางการเลิกพรรคอย่างบิดเบือน เพื่อไปทำให้เป็นการควบรวมพรรค โดยหลีกเลี่ยงกฎหมายข้อห้ามและเงื่อนไขการควบรวมพรรค

กรณีที่มีประกาศจากคณะกรรมการการเลือกตั้งมีมติให้พรรคประชาชนปฎิรูปให้สิ้นสภาพ โดยเหตุที่ว่ามีการเลิกพรรค หากพิจารณาตามกฎหมาย ปิยบุตรเห็นว่า การเลิกพรรคแบบนี้น่าจะทำไม่ได้ เพราะเป็นการใช้บทบัญญัติเรื่องการเลิกพรรคแบบบิดผัน เพื่อส่งผลให้เกิดการควบรวมพรรคการเมืองโดยปริยาย และเป็นการควบรวมพรรคที่ไม่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และจะเกิดผลเสียดังต่อไปนี้ 1. พรรคเล็ก 1 เสียง จะใช้ช่องทางนี้ควบรวมกับพรรคการเมืองขนาดใหญ่ เพราะหากใช้กฎหมายควบรวมตอนนี้ยังทำไม่ได้เพราะอยู่ในสมัยประชุมสภา จึงหนีไปใช้ช่องทางเลิกพรรคการเมืองแทน  2. ส่งผลต่อการคำนวน ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ 3. ส.ส.ซึ่งเป็นสมาชิกพรรคที่ถูกเลิกกิจการ ส.ส. คนนั้น จะไม่มีวันหลุดจาก ส.ส.อีกเลย อย่างเช่น หากมี ส.ส.คนหนึ่ง ย้ายไปอีกพรรคหนึ่งที่ใหญ่กว่า แล้วเกิดมีการเลือกตั้งซ่อม ส.ส แบบแบ่งเขต ภายใน 1 ปีนี้ ก็ต้องนำคะแนนดิบทั้งประเทศมาคำนวณที่นั่ง ส.ส. บัญชีรายชื่อใหม่ ส.ส.บัญชีรายชื่อที่เคยอยู่พรรคเล็กเดิม ก็ไม่ต้องกังวลว่าพรรคตนเองจะเสียที่นั่ง ส.ส.อีกแล้ว เพราะตนเองย้ายมาพรรคใหม่แล้ว แต่กลายเป็นว่า ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับท้ายของพรรคใหญ่ ต้องกังวลว่า หากคำนวณที่นั่ง ส.ส.บัญชีรายชื่อใหม่แล้ว ตนเองจะหลุดจากการเป็น ส.ส.หรือไม่ และ 4.เป็นการทำลายระบบพรรคการเมือง และทำลายเจตจำนงของประชาชนที่เลือกพรรคนั้นๆ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net