พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มธ. ชี้บทความของ 'สฤณี' ไม่เข้าข่ายละเมิดอำนาจศาล ตามป.วิแพ่ง มาตรา 32 (2) เพราะเป็นการวิจารณ์หลังมีคำพิพากษาแล้ว ส่วนจะเป็นการดูหมิ่นผู้พิพากษาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 หรือไม่ ต้องมีการไปแจ้งความกับพนักงานสอบสวนก่อน ซึ่งจะต้องมีการสอบสวน ทำสำนวนให้อัยการ จากนั้นอัยการต้องพิจารณาว่าจะฟ้องหรือไม่ ไม่ใช่ศาลออกหมายเรียกไปไต่สวนเอง
พนัส ทัศนียานนท์
29 ส.ค. 2562 สืบเนื่องจากกรณีที่แผนกคดีเลือกตั้งศาลฎีกาได้ออกหมายเรียก สฤณี อาชวานันทกุล นักเขียน นักแปล นักวิจัย และนักวิชาการอิสระด้านการเงิน ให้ไปพบที่ศาลฎีกา ในวันที่ 9 ก.ย. 2562 เวลา 10.30 น. เนื่องจากถูกกล่าวว่ากระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล จากการเขียบบทความวิจารณ์คำวินิจฉัยของศาลที่พิพากษาตัดสิทธิผู้สมัคร ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ ที่เป็นผู้ถือหุ้นบริษัทซึ่งปรากฎในหนังสือบริคณห์สนธิระบุวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อฯ โดยที่ความจริงไม่ได้ประกอบกิจการสื่อฯ เพียงแต่กิจการสื่อเป็นเพียงหนึ่งในวัตถุประสงค์ในการขึ้นทะเบียนบริษัทเท่านั้น และตามข้อเท็จจริงผู้สมัครคนดังกล่าวประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง โดยสฤณี กล่าวถึงกรณีนี้ว่าเป็นการกระทำที่มักง่าย และใช้กฎหมายอย่างตะพึดตะพือ
ผู้กล่าวหากรณีนี้คือ สุประดิษฐ์ จีนเสวก เลขานุการแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ซึ่งทำบันทึกข้อความถึงประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา ระบุฐานความตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 32 (2) คือการละเมิดอำนาจศาล
ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง
มาตรา 32 ผู้ใดเป็นผู้ประพันธ์ บรรณาธิการ หรือผู้พิมพ์โฆษณาซึ่งหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์อันออกโฆษณาต่อประชาชน ไม่ว่าบุคคลเหล่านั้นจะได้รู้ถึงซึ่งข้อความหรือการออกโฆษณาแห่งหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่านั้นหรือไม่ ให้ถือว่าได้กระทําผิดฐานละเมิดอํานาจศาลในกรณีอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างดังจะกล่าวต่อไปนี้
(1) ไม่ว่าเวลาใด ๆ ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์เช่นว่ามานั้นได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ซึ่งข้อความหรือความเห็นอันเป็นการเปิดเผยข้อเท็จจริงหรือพฤติการณ์อื่น ๆ แห่งคดี หรือกระบวนพิจารณาใด ๆ แห่งคดี ซึ่งเพื่อความเหมาะสมหรือเพื่อคุ้มครองสาธารณประโยชน์ ศาลได้มีคําสั่งห้ามการออกโฆษณาสิ่งเหล่านั้น ไม่ว่าโดยวิธีเพียงแต่สั่งให้พิจารณาโดยไม่เปิดเผยหรือโดยวิธีห้ามการออกโฆษณาโดยชัดแจ้ง
(2) ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ในระหว่างการพิจารณาแห่งคดีไปจนมีคําพิพากษาเป็นที่สุด ซึ่งข้อความหรือความเห็นโดยประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานแห่งคดีซึ่งพอเห็นได้ว่าจะทําให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป เช่น
ก. เป็นการแสดงผิดจากข้อเท็จจริงแห่งคดี หรือ
ข. เป็นรายงานหรือย่อเรื่องหรือวิภาค ซึ่งกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกต้อง หรือ
ค. เป็นการวิภาคโดยไม่เป็นธรรม ซึ่งการดําเนินคดีของคู่ความ หรือคําพยานหลักฐาน หรือนิสัยความประพฤติของคู่ความหรือพยาน รวมทั้งการแถลงข้อความอันเป็นการเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงของคู่ความหรือพยาน แม้ถึงว่าข้อความเหล่านั้นจะเป็นความจริง หรือ
ง. เป็นการชักจูงให้เกิดมีคําพยานเท็จ
เพื่อประโยชน์แห่งมาตรานี้ ให้นําวิเคราะห์ศัพท์ทั้งปวงในมาตรา 4 แห่งพระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช 2479 มาใช้บังคับ
พนัส ทัศนียานนท์ อดีตคณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวถึงกรณีการระบุความผิด ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ตามประมวลวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 32 (2) ระบุว่า การกล่าวหรือแสดงข้อความที่เข้าลักษณะเป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายมาตรานี้ จะต้องเป็นการกระทำในระหว่างการพิจารณาคดีไปจนมีคำพิพากษาเป็นที่สุด เรื่องนี้ สฤณีเขียนบทความวิจารณ์คำพิพากษาของศาลฎีกา ภายหลังที่ศาลได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว จึงไม่เป็นความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามกฎหมายมาตรานี้
พนัส ระบุด้วยว่า ส่วนจะเป็นความผิดฐานดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทผู้พิพากษาในการพิจารณาพิพากษาคดี ซึ่งเป็นความผิดอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 198 หรือไม่ จะต้องมีการแจ้งความร้องทุกข์เพื่อให้มีการสอบสวนดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาว่าได้กระทำความผิดดังกล่าวตามขั้นตอนและกระบวนการที่กำหนดโดยบทบัญญัติประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาคดีอาญา กล่าวคือ จะต้องมีการสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนแล้วส่งให้พนักวานอัยการพิจารณาว่าเป็นความผิดตามข้อกล่าวหาหรือไม่
"ไม่ใช่ออกหมายเรียกตัวไปไต่สวนว่ากระทำผิดฐานละเมิดอำนาจศาลหรือไม่ ดังเช่นในกรณีนี้ เพราะกรณีไม่เป็นการละเมิดอำนาจศาลดังกล่าวข้างต้น" พนัส ระบุ
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)