ช่วงเดือนสิงหาคม 2562 นับว่าเป็นห้วงเวลาที่หนักหน่วงของคนที่อยู่ในมหาวิทยาลัยราชภัฏทั่วประเทศ (ขอเรียกต่อไปว่า "ราชภัฏ") ด้วยข่าวร้ายที่ประดังประเดกันเข้ามาไม่ว่าจะเป็นข่าวว่าราชภัฏบางแห่งจะไม่มีเงินเดือนจ่ายพนักงาน หรือข่าวความซบเซาเหงาหงอยจากจำนวนนักศึกษาที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ไม่ไกลจากกันก็มีข่าวยุบเลิกโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนไม่เป็นไปตามเป้าหมาย คำถามถึงการยุบ และควบรวมของราชภัฏจึงถูกเปล่งขึ้นมาให้ลอยปลิวไปกับสายลม ในโลกคู่ขนานก็มีข่าวจากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบว่า รัฐบาลจะทุ่มงบประมาณให้มหาวิทยาลัยมหิดลเพิ่มอีกพันล้านเพื่อส่งเข้าสู่ความเป็นมหาวิทยาลัยระดับโลก ทั้งที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้มีงบประมาณอยู่แล้วกว่าหมื่นสามพันล้าน (งบประมาณปี 2562)
งบประมาณกับความเหลื่อมล้ำในภาพรวม
เมื่อวันก่อน มีเพจแห่งหนึ่งแชร์ความคิดด้วยความหวังดี คาดให้ราชภัฏปรับตัว 1 2 3 4 อย่างชาญฉลาด แต่ก็มีหลายประเด็นที่ผู้เขียนอยากแลกเปลี่ยนด้วย ผู้เขียนขอเริ่มต้นด้วยสัดส่วนของรายได้เปรียบเทียบระหว่างราชภัฏ กับ มหาวิทยาลัยอย่าง ม.มหิดล และม.เชียงใหม่ ในตารางที่ 1 แสดงให้เห็นงบประมาณย้อนหลัง 3 ปีของมหาวิทยาลัยกลุ่มตัวอย่างทั้ง7อันได้แก่ 2 มหาวิทยาลัยที่กล่าวไปแล้ว และม.ราชภัฏอีก5 แห่งที่กระจายอยู่ทุกภูมิภาค นั่นคือ เชียงใหม่, ลำปาง, เลยและสงขลา
จะเห็นว่าเฉพาะปี 2562 สัดส่วนงบประมาณของมหาวิทยาลัยมหิดลมีมากถึงร้อยละ 59.72 ของงบประมาณด้วยงบกว่าหมื่นสามพันล้าน เมื่อเทียบกับเชียงใหม่ที่งบประมาณน้อยกว่าเกินครึ่งหนึ่งจากจะเห็นว่ามีจำนวนนักศึกษาปริญญาตรีน้อยกว่าเกือบ 6 พันคนขณะที่นักศึกษาระดับปริญญาตรีและโทนับว่าสูสีกัน อนึ่ง ม.มหิดลอาจมีลักษณะพิเศษอย่างที่ต่างจากที่อื่นก็ มีคณะแพทยศาสตร์ใน 2 ส่วนนั่นคือ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีที่มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง อนึ่ง มหาวิทยาลัยที่ได้งบประมาณที่ได้น้อยที่สุดในกลุ่มตัวอย่างคือ ม.ราชภัฏเลยที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 2.24 งบประมาณอยู่ในระดับไม่เกิน 500 ล้านบาททั้งที่มีจำนวนนักศึกษาหลักหมื่น แตกต่างจากลำปางที่มีไม่ถึง 9 พันคน
ตารางที่ 1 ภาพรวมของงบประมาณย้อนหลังของกลุ่มมหาวิทยาลัยกลุ่มตัวอย่าง 6 แห่ง ตั้งแต่ปี 2560-2562
มหาวิทยาลัยกลุ่มตัวอย่าง 7 กลุ่ม | งบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.(บาท) | จำนวนนักศึกษา (คน)ปีการศึกษา 2560[1] | สัดส่วนงบประมาณใน 7 กลุ่ม เฉพาะปี 2560(ร้อยละ) | |||
2560 | 2561 | 2562 | ปริญญาตรี | ปริญญาโท-เอก | ||
มหิดล | 14,223,698,100 | 14,267,939,300 | 13,320,852,500 | 20,836 | 6,231 | 59.72 |
เชียงใหม่ | 6,282,859,500 | 6,213,693,100 | 6,171,791,600 | 26,872 | 6,553 | 26.38 |
ราชภัฏเชียงใหม่ | 818,926,600 | 919,199,500 | 843,109,800 | 20,703 | 129 | 3.44 |
ราชภัฏลำปาง | 689,273,800 | 597,253,000 | 450,890,700 | 8,760 | 272 | 2.89 |
ราชภัฏเลย | 532,353,400 | 468,454,400 | 387,150,800 | 10,823 | 114 | 2.24 |
ราชภัฏนครสวรรค์ | 694,410,200 | 622,031,700 | 593,296,800 | 9,857 | 0 | 2.91 |
ราชภัฏสงขลา | 577,638,100 | 583,296,800 | 512,131,200 | 13,197 | 9 | 2.42 |
หมายเหตุ ที่มาของบประมาณมาจาก พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2560-2562 เฉพาะงบประมาณที่ปรากฏชื่อมหาวิทยาลัยนั้นๆ ตามที่ระบุในมาตราต่างๆของพระราชบัญญัติ
งบประมาณที่ผ่านมาและช่องว่างมหาศาลไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นหากย้อนไปดูยุคที่มหาวิทยาลัยเติบโตในยุคฟองสบู่ทศวรรษ 2530 สมัยที่ราชภัฏยังเป็นวิทยาลัยครูภายใต้สังกัดกรมการฝึกหัดครู ปี 2534[2] เป็นปีแรกที่ม.มหิดลมีงบประมาณแตะระดับ 2 พันล้านครั้งแรก (ม.มหิดลแตะ 1 พันล้านบาทในปี 2527[3]) ส่วน ม.เชียงใหม่ก็แตะระดับ 1 พันล้านบาทเป็นครั้งแรกในปีเดียวกัน ขณะที่วิทยาลัยครูทั่วประเทศที่มีราว 30 กว่าแห่งได้รับงบประมาณรวมกันแล้วอยู่ที่ 1,414,000,550 บาท ชื่อของวิทยาลัยครูไม่ปรากฏในราชกิจจานุเบกษาแต่น่าจะอยู่ในส่วนของกรมการฝึกหัดครูอย่างไรก็ตามความแตกต่างของงบประมาณราว 30 เท่าสัมพันธ์อยู่กับจำนวนนักศึกษา คณะที่เปิดสอนด้วยจึงอาจพอเข้าใจได้ในงบประมาณที่ไม่มาก เนื่องจากในช่วงแรกดังกล่าวสาขาวิชาที่เปิดสอนยังไม่กว้างขวาง และนักศึกษาอาจยังมีไม่มากนัก
ฟองสบู่การศึกษาที่ไม่แตกไปพร้อมวิกฤตต้มยำกุ้ง
ภายใต้การเติบโตทางเศรษฐกิจ วิทยาลัยครูก็ได้ขยายตัวตามไปด้วย ในที่สุดก็เปลี่ยนเป็นสถาบันราชภัฏเมื่อปี 2537 การผลิตบัณฑิตที่ไม่ใช่เฉพาะวิชาชีพครูเริ่มเปิดกว้าง ปี 2540 สถาบันราชภัฏ 30 กว่าแห่งได้รับงบประมาณในนามสำนักงานสภาสถาบันราชภัฏเป็นจำนวนเงิน5,666,138,700 บาท[4] นอกจากนั้นเงื่อนไขใหม่ที่เกิดขึ้นจากการที่รัฐธรรมนูญปี 2540 ได้กำหนดคุณสมบัติสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้จบปริญญาตรี ต่อมาได้ส่งผลไปยังนายกเทศมนตรีระดับเทศบาลและนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดด้วย ทำให้การเรียนการสอนด้านรัฐประศาสนศาสตร์ โครงการจัดการศึกษาสำหรับบุคคลประจำการ (กศ.บป.) ในราชภัฏขยายตัวขึ้นเป็นเงาตามตัว ช่วงทศวรรษ 2540 ความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2547 สถาบันราชภัฏยกระดับเป็นมหาวิทยาลัยตามพระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยราชภัฏ พ.ศ.2547 (หาอ้างอิง)
ระหว่างนั้นการศึกษาระดับอุดมศึกษาก็ได้เผชิญหน้ากับโจทย์ใหม่ นั่นคือนโยบายของรัฐที่วางแผนจะให้มหาวิทยาลัยพึ่งตนเองมากยิ่งขึ้นสอดคล้องกับแนวคิดแบบเสรีนิยมใหม่ให้มหาวิทยาลัยกลายเป็น “มหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ” หรือที่เรียกกันว่า “มหาวิทยาลัยออกนอกระบบ”[5] ในที่นี้จะแบ่งออกเป็น 4 ระลอกดังนี้
ระลอกที่ 1 เป็นการปฏิบัติตามแผนระยะยาว (ปี 2533-2547) มหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบ 3 แห่งแรกคือ มหาวิทยาลัยที่ตั้งขึ้นใหม่ ได้แก่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (2533), มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ (2534) และมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง (2541) ก่อนจะมีมหาวิทยาลัยที่ปรับเปลี่ยนจากสถานภาพเดิมที่เคยเป็น “มหาวิทยาลัยในสังกัดของรัฐ” อีก 3 แห่ง ได้แก่ คือ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (2540), มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย (2540) และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (2541)
ระลอกที่ 2 มาพร้อมกับนโยบายเศรษฐกิจ 2540 ความพังพินาศด้านเศรษฐกิจทำให้รัฐบาลต้องอาศัยเงินกู้จาก IMF หนึ่งในข้อผูกมัดมากับสัญญากู้เงินก็คือ รัฐบาลจะต้องลดงบประมาณในส่วนราชการที่สามารถเลี้ยงตนเองและบริหารงบประมาณเองได้ ในที่นี้มหาวิทยาลัยได้กลายเป็นเป้าหมายทำให้นโยบายออกนอกระบบจึงเป็นจริงเป็นจังขึ้นในปี 2541การดำเนินการแรกที่ส่งผลต่อมหาวิทยาลัยของรัฐทั้งหมด ก็คือ การยุติการบรรจุอาจารย์ใหม่ในตำแหน่งข้าราชการพลเรือน และมีสถานภาพเป็น “พนักงานมหาวิทยาลัย” เมื่อปี 2542 พนักงานเหล่านี้แม้จะกรอบเงินเดือนที่สูงขึ้น แต่ถูกลดสวัสดิการแบบข้าราชการลงพวกเขามีสถานภาพคล้ายพนักงานเอกชน ทั้งยังไม่มีกฎหมายรองรับ แม้จะต้องชำระเงินสมทบกองทุนประกันสังคม แต่พวกเขาก็ไม่นับว่าอยู่ในกฎหมายแรงงาน เนื่องจากมีการตีความว่าแรงงานในสถานศึกษาที่เป็นสถานที่ราชการไม่ใช่แรงงานตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ.2518ยังไม่นับว่าเงินเดือนที่สูงขึ้นที่รัฐจัดสรรให้ทางมหาวิทยาลัยไม่ได้จ่ายให้กับพนักงานมหาวิทยาลัยอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย จึงไม่แปลกใจอะไรที่พวกเขาจำนวนหนึ่งเรียกร้องขอให้บรรจุไปเป็นข้าราชการที่มีความมั่นคงกว่า กรณีนี้จึงสร้างความเหลื่อมล้ำของการจ้างงานในมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งที่มีทั้งข้าราชการและพนักงานมหาวิทยาลัย และความเหลื่อมล้ำระหว่างบุคลากรที่ทำการสอน เมื่อเทียบกับครูในโรงเรียนระดับประถมและมัธยมของรัฐ ประเด็นนี้ได้กลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาอย่างยาวนานจนจะครบ 2 ทศวรรษในปีนี้ด้วย
ในยุคที่ประชาคมการศึกษาและการเมืองภาคประชาชนเข้มแข็ง การผลักดันนโยบายให้มหาวิทยาลัยออกนอกระบบไม่ได้ทำได้โดยง่าย ในรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีรัฐสภาที่ทำหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุลหากไม่นับระลอกแรกแล้ว จะเห็นว่าการออกนอกระบบไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จนกระทั่งเกิดรัฐประหารปี 2549 รัฐบาลรัฐประหารสามารถกุมอำนาจเบ็ดเสร็จ เมื่อไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีรัฐสภา ไม่มีฝ่ายค้าน กลไกในการผลิตกฎหมายอย่างสภานิติบัญญัติแห่งชาติก็ได้ผลักดันกฎหมายจนทำให้มหาวิทยาลัยจำนวนหนึ่งออกนอกระบบได้สำเร็จ ได้แก่ มหาวิทยาลัยมหิดล, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ เมื่อปี 2550 ส่วนมหาวิทยาลัยบูรพา, มหาวิทยาลัยทักษิณ, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังเกิดขึ้นในปี 2551เสียงต่อต้านคัดค้านต่อมหาวิทยาลัยและรัฐบาลที่เคยดังกระหึ่มในช่วงรัฐบาลประชาธิปไตยแทบไม่มีความหมาย นี่คือ ความเปลี่ยนแปลงในระลอกที่ 3
ระลอกที่ 4 เกิดขึ้นหลังรัฐประหารอีกครั้ง ความสำเร็จ ระลอกนี้ทำให้มหาวิทยาลัยขนาดใหญ่และมีชื่อเสียงอีกจำนวนหนึ่งได้ออกนอกระบบสมใจผู้บริหารมหาวิทยาลัย นั่นคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, มหาวิทยาลัยสวนดุสิต (เปลี่ยนชื่อจากเดิมมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต), มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยขอนแก่นช่วงปี 2558ขณะที่มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, มหาวิทยาลัยศิลปากร, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ก็บรรลุเป้าหมายในปี 2559 และยังมีร่างพระราชบัญญัติอีกหลายแห่งที่จ่อคิวเข้าสภาอยู่ แต่การที่กฎหมายไปค้างท่อในลักษณะดังกล่าวอาจไม่เป็นผลดีกับพวกนิยมออกนอกระบบเพราะหลังเลือกตั้ง 2562 สภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งไม่ได้ทำหน้าที่สภาแบบที่ผ่านมาที่มีแนวโน้มจะผ่านกฎหมายเอื้อกัน ดังนั้นการตรวจสอบและอภิปรายเรื่องดังกล่าวคงซับซ้อนกว่าในรัฐบาลใหม่และอาจค้างท่ออยู่อย่างนั้นอีกนาน
ความเปลี่ยนแปลงดังกล่าว นอกจากราชภัฏสวนดุสิตเดิมแล้ว ยังไม่พบว่าราชภัฏมีตำแหน่งแห่งที่ใดในการออกนอกระบบ ที่น่าสังเกตก็คือ การออกนอกระบบแต่เดิมนั้นมีหลักการว่า จะลดการสนับสนุนหน่วยงานที่พึ่งพิงตัวเองได้แบบแนวคิดเศรษฐกิจเสรีนิยมใหม่ แต่ในความเป็นจริงมหาวิทยาลัยอย่างมหิดล และเชียงใหม่ที่ออกนอกระบบไปตั้งแต่ปี 2550 และ 2551 นั้นในรอบ 10 ปี งบประมาณไม่ได้ถูกลดทอนลงอย่างมีนัยสำคัญเลย โปรดสังเกตจากตารางที่ 2 งบประมาณของม.มหิดลแตะระดับหมื่นล้านในปี 2554
ตารางที่ 2 ภาพรวมของงบประมาณย้อนหลังของมหาวิทยาลัยมหิดลและมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ตั้งแต่ปี 2549-2562
ปี พ.ศ. | งบประมาณสนับสนุน | |
มหาวิทยาลัยมหิดล | มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ | |
2549 | 6,060,641,000 | 2,862,714,500 |
2550 | 7,352,161,600 | 3,218,659,400 |
2551 | 8,149,560,400 | 3,379,390,600 |
2552 | 8,784,108,100 | 3,781,560,600 |
2553 | 9,027,319,200 | 4,135,889,000 |
2554 | 10,166,072,800 | 4,515,580,100 |
2555 | 10,133,500,000 | 5,188,272,800 |
2556 | 10,361,578,400 | 5,299,092,800 |
2557 | 11,507,877,000 | 5,432,364,700 |
2558 | 13,158,966,100 | 5,636,391,700 |
2559 | 14,059,935,000 | 5,889,179,100 |
2560 | 14,223,698,100 | 6,282,859,500 |
2561 | 14,267,939,300 | 6,213,693,100 |
2562 | 13,320,852,500 | 6,171,791,600 |
เมื่อเทียบกับราชภัฏทั่วประเทศ ยังไม่มีแห่งไหนที่ได้รับจัดสรรงบประมาณถึงหลักพันล้านสักแห่ง แม้ว่าเส้นทางเดินของราชภัฏจะออกมาจากช่องทางการฝึกหัดครูไปแล้ว ยังไม่ต้องนับว่ากฏระเบียบจำนวนมากของราชภัฏก็กลายเป็นกลไกที่บีบรัดทำให้ราชภัฏไม่สามารถแสวงหารายได้อย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่มหาวิทยาลัยนอกระบบจำนวนมาก เปิดหลักสูตรและหารายได้และทำกำไรได้อย่างเป็นกอบเป็นกำจึงไม่แปลกว่าในช่วงหลังเริ่มมีกระแสโยนหินถามทางว่า ราชภัฏควรจะออกนอกระบบหรือไม่ เนื่องจากที่ผ่านมาราชภัฏอาจจะเกรงว่าหากออกนอกระบบไปแล้ว ไม่มีเงินรัฐบาลมาสนับสนุนจะทำให้เดือดร้อนหรือไม่[6] เนื่องจากว่าเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยต่างๆแล้ว ราชภัฏมีค่าเทอมที่ต่ำที่สุด แต่หากการออกนอกระบบเป็นแบบม.มหิดล หรือม.เชียงใหม่ที่รัฐยังอุดหนุนงบประมาณไม่เปลี่ยนแปลง การออกนอกระบบก็คงเป็นยาวิเศษอีกแขนงที่ทำให้ราชภัฏสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการบริหารได้
ราชภัฏกับปัญหาภาพลักษณ์หรือปัญหาทางชนชั้น?
บัณฑิตที่จบจากราชภัฏ (รวมถึงมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล) นั้นถูกมองในทางแง่ลบมานาน แต่ที่กลายเป็นข่าวใหญ่อย่างช้าก็ในปี 2558 ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ตกเป็นข่าวว่ารับสมัครงานโดยระบุคุณสมบัติที่มีนัยว่าไม่รับบัณฑิตที่จบการศึกษามาจากราชภัฏ จนเหล่าเครือข่ายผู้บริหารราชภัฏต้องทำการกดดันผ่านการขู่ว่าราชภัฏทั่วประเทศจะยกเลิกการทำธุรกรรมกับธนาคาร[7]ซึ่งเป็นอาวุธสุดท้ายที่เขาจะต่อกรกับนายทุนธนาคารเช่นนี้ กระแสดังกล่าวจางหายไปตามหน้าข่าวและโซเชียลมีเดีย จนเกิดขึ้นอีกครั้งเมื่อปี 2561การโพสต์ในโซเชียลมีเดียด้วยข้อความว่า "ขอบคุณค่ะที่สนใจจะเข้าร่วมงานกับบริษัทฯ เเต่บริษัทฯ ไม่สะดวกรับพนักงานวุฒิ ป.ตรี ที่จบจาก ม.ราชมงคล/ราชภัฏ/เอกชน ค่ะ"เป็นการตอกย้ำความเชื่อเดิมอีกครั้ง[8]กระทั่งผู้บริหารราชภัฏบางแห่งยังระบุว่า "หลายองค์กรไม่ได้พิจารณาเฉพาะเรื่องความเก่งความฉลาดทางปัญญาของบัณฑิตเพียงอย่างเดียว แต่ประเมินจากคุณลักษณะอื่นประกอบ อาทิ เป็นคนดี มีความรับผิดชอบ มีวินัย เสียสละ เป็นจิตอาสา ตลอดจนการภาวะการเข้าสังคมและทำงานร่วมกับผู้อื่น สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นหัวใจของการทำงานแทบทั้งสิ้น" ซึ่งก็เป็นการประเมินบัณฑิตตัวเองไปในตัว
อย่างไรก็ตาม การปฏิเสธบัณฑิตจากราชภัฏ นั่นยอมหมายถึงการปฏิเสธคนจำนวนมากจากจำนวนกว่า 30 สถาบันทั่วประเทศหากนับจากจำนวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี ปีการศึกษา 2560 ราชภัฏทั่วประเทศมีอยู่ 475,661 คน ขณะที่สถาบันอุดมศึกษารัฐมีอยู่ 1,422,488คน[9] คิดเป็นร้อยละ 33.44 ของจำนวนทั้งหมดจำนวนนักศึกษาเหล่านี้บอกอะไรแก่เรา การรับนักศึกษาของราชภัฏอาจไม่ได้มีความเข้มข้นนักเมื่อเทียบกับระบบเอนทรานซ์-แอดมินชั่นที่ผ่านมา การเลือกเรียนที่ราชภัฏอาจแบ่งเป็น 2 สาขาใหญ่ๆ นั่นคือ สาขาวิชาชีพครูที่เป็นตัวชูโรง และสาขาอื่นๆ การแข่งขันเพื่อเข้าเรียนวิชาชีพครูจะมากกว่าสาขาอื่นๆ อย่างไรก็ตามในสาขาอื่นๆ ไม่น้อยก็เป็นสาขาที่ต่อยอดจากวุฒิที่พวกเขาเรียนมาเช่นการเรียนต่อเนื่องจากวุฒิปวช.-ปวส. ปัจจัยการเลือกเรียนราชภัฏส่วนหนึ่งก็มาจากค่าเทอมที่ไม่แพงนักเมื่อเทียบกับมหาวิทยาลัยอื่น หรือราชภัฏอยู่ใกล้ละแวกบ้าน บางคนเลือกเรียนราชภัฏขนาดกลางเพราะว่าไม่อยากเข้าไปเรียนในเมืองใหญ่ด้วยค่าใช้จ่ายไม่แพงเกินไป
ราชภัฏจึงเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่โอบรับนักศึกษาในระดับท้องถิ่นที่ทั้งไม่สามารถจะเข้าศึกษาสถาบันศึกษาขนาดใหญ่ของรัฐและไม่เลือกด้วยเหตุผลบางประการดังที่อภิปรายมาข้างต้น ราชภัฏได้รับงบประมาณอย่างจำกัด หากเป้าหมายของบางแนวคิดเห็นว่า คุณภาพประชากรนั้นสำคัญ เหตุใดราชภัฏจึงมิได้รับโอกาสในการลงทุนเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แม้ไม่ต้องเท่าเทียมกัน แต่ควรลดความเหลื่อมล้ำในสิ่งที่พวกเขาเผชิญอยู่
ช่วงกลางทศวรรษ 2550 เป็นต้นมา เงินเดือนของอาจารย์ในราชภัฏที่จบปริญญาโทมาค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้น นับว่าจูงใจให้นักศึกษาปริญญาโทจบใหม่ที่ไม่อยากอยู่ในเมืองหลวง หรือต้องการกลับมาทำงานภูมิลำเนาให้มาทำงานราชภัฏมากขึ้น อาจารย์หนุ่มสาวเหล่านั้นเติบโตไปพร้อมกับการสอนและการสร้างผลงานวิชาการขึ้นมามากขึ้นเรื่อยๆ กระนั้นภายใต้งบประมาณที่น้อยแสนน้อย ทำให้ขาดโอกาสต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการให้ทุนวิจัยที่สมัยก่อนพบว่า การจะขอทุนนักวิจัยรุ่นใหม่ได้นั้น จะต้องเป็นอาจารย์ที่จบปริญญาเอกมาเท่านั้น ซึ่งในที่สุดทุนวิจัยประเภทนี้ก็จะตกอยู่กับมหาวิทยาลัยที่มีทรัพยากรพร้อมอยู่แล้ว เช่นเดียวกับทุนบางประเภทที่มีข้อผูกมัดว่า มหาวิทยาลัยจะต้องร่วมจ่าย มหาวิทยาลัยขนาดเล็กจะมีส่วนเอี่ยวกับทุนประเภทนี้อย่างไรได้
การบอกให้ปรับตัวเอง ในสภาพที่ราชภัฏเองก็อยู่ในโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำ อาจเป็นความดีแต่ก็ไม่ต่างอะไรกับการชี้หน้าด่าคนยากไร้ที่ไม่ยอมปรับตัวกับโลกทุนนิยมที่ตามบดขยี้พวกเขา ในสังคมที่ไม่มีสวัสดิการพื้นฐานเอื้อให้เขามีชีวิตที่ดีกว่าที่ควรจะเป็น
ทางออกของราชภัฏยังมีอยู่หรือ?
อาจกล่าวได้ว่าฟองสบู่ของมหาวิทยาลัยไทยไม่ได้แตกพร้อมกับพิษเศรษฐกิจ มิแน่ว่าอาจจะมาจากสาเหตุของจำนวนประชากรที่ลดลงและความหมายของปริญญาตรีที่เปลี่ยนไป สถิตินักศึกษาที่ลดวูบ พร้อมกับระบบคัดคนเข้ามหาวิทยาลัยแบบใหม่ทำให้ที่นั่งในมหาวิทยาลัยเหลืออย่างไม่มีใครคาดคิด[10]ราชภัฏได้รับผลกระทบนี้เป็นอย่างมาก การคาดการณ์ว่า ปี 2561 ถึงจุดต่ำสุดก็ไม่จริง[11]จำนวนนักศึกษาที่ลดลงอย่างมากนั้นเมื่อเทียบกันแล้วสาขาที่สอนวิชาชีพครูยังถือว่าสามารถรักษาที่มั่นได้ดีที่สุด หากมองในแง่ร้ายที่สุดหากคนเรียนสาขาอื่นน้อยลงมาก ราชภัฏอาจจะเหลือแต่คณะครุศาสตร์ที่เข้มแข็ง ในสายตาคนทั่วไปราชภัฏอาจจะกลับไปสู่ในยุควิทยาลัยครูที่อยู่ภายใต้กรมการฝึกครูก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้เขียนนั้นเห็นต่างออกไป การชูราชภัฏให้เป็นมหาวิทยาลัยเพื่อท้องถิ่นนั้นมีความจำเป็น แต่เหนือสิ่งอื่นใด เราต้องนิยาม "ท้องถิ่น" กันเสียก่อนคำว่าท้องถิ่นคืออะไร เนื่องจากที่ผ่านมาคำว่า ท้องถิ่นของราชภัฏนั้นมักสัมพันธ์กับท้องถิ่นที่โรแมนติกแบบวัฒนธรรมชุมชนและเอ็นจีโอการให้ความสำคัญกับบ้าน-วัด-โรงเรียน เป็นท้องถิ่นที่ไร้ "ความเป็นการเมือง"[12] ในนั้น ท้องถิ่นในมุมมองผู้เขียนคือ หน่วยพื้นที่และปฏิบัติการทางการเมือง เรามีการบริหารส่วนท้องถิ่นในหลายระดับตั้งแต่องค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เทศบาลและองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.)หากพูดกันอย่างรวบรัด อบจ.เป็นโครงสร้างท้องถิ่นที่มีสมาชิกสภาและนายกอบจ.ที่ได้รับเลือกโดยตรงจากประชาชนในเขตจังหวัด พื้นที่อบจ.นับว่าครอบคลุมหน่วยจังหวัดที่ซ้อนอยู่กับการปกครองส่วนภูมิภาคที่นำโดยผู้ว่าราชการจังหวัด กระนั้นอบจ.กลับมีทรัพยากรทั้งคนและงบประมาณรวมถึงโครงสร้างที่เอื้อกับการจัดการบริหารเชิงพื้นที่เป็นอย่างสูงเมื่อเทียบกับผู้ว่าราชการจังหวัดและสำนักงานจังหวัดที่เทียบกันไม่ได้เลย
ข้อเสนอของบทความนี้ก็คือ ราชภัฏอาจจะต้องปรับโครงสร้างใหม่ให้ไปเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่อยู่ใต้การบริหารของท้องถิ่น หากดูจากตัวอย่างในต่างประเทศจะเห็นได้ว่าท้องถิ่นมีบทบาทไม่น้อยกับการสนับสนุนมหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นมีสิ่งที่เรียกว่า Local public university[13] ซึ่งมีอยู่ทั่วทุกภูมิภาค เช่น Kyoto Prefectural University of Medicine, Osaka Prefecture University, Gunma Prefectural Women's University, Prefectural University of Hiroshima ที่น่าสนใจคือมหาวิทยาลัย Kyoto Prefectural University of Medicine ที่ไม่ยอมยกระดับเป็นมหาลัยระดับชาติแบบที่มหาวิทยาลัยระดับท้องถิ่นอื่นๆเป็นกัน เพราะไม่ต้องการสูญเสียความเป็นอิสระทางวิชาการ เพราะเกรงว่ารัฐบาลกลางจะเข้ามาควบคุมผ่านกระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันคือกระทรวงศึกษาธิการ, วัฒนธรรม, กีฬา, วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี)[14] หรือการให้สนับสนุนมหาวิทยาลัยขององค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในฝรั่งเศสสนับสนุนงานวิจัยและมหาวิทยาลัยกว่า หนึ่งพันหกร้อยล้านยูโร (หรือประมาณห้าหมื่นสี่พันล้านบาท ในอัตราแลกเปลี่ยนที่ 1 ยูโรเท่ากับ 33.94 บาท) ช่วงปี 2559 โดยแบ่งเป็นงบสนับสนุนด้านวิจัย 970 ล้านยูโรและสนับสนุนมหาวิทยาลัย 600 ล้านยูโร[15]
หากกลับมาดูในบริบทของบ้านเรา หน่วยงานที่น่าสนใจทั้งที่มีขนาดและงบประมาณมากพอที่จะทำให้เกิดขึ้นได้ก็คือ องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) มหาวิทยาลัยอาจปรับมาอยู่ในลักษณะที่คล้ายกับโรงเรียนสังกัดอบจ. อนึ่ง ครูในสังกัดอบจ. มีสถานะเป็นข้าราชการที่มีสวัสดิการที่ดีในระดับหนึ่ง ว่ากันว่ารายได้ครูอบจ.นอกจากจะมาจากรัฐอุดหนุนแบบเดียวกับสพฐ.แล้ว ปลายปียังจะมี “โบนัส” ที่มาจากข้อบัญญัติรายจ่ายประจำปี[16]ที่อาจมากถึง 1.5 เท่า[17] พนักงานมหาวิทยาลัยราชภัฏจะอยู่ตรงไหนในโครงสร้างใหม่นี้ คงต้องถกกันอีกยาว
ราชภัฏในมิติใหม่นี้นอกจากจะมีบทบาทด้านการโอบรับนักเรียนนักศึกษาในท้องถิ่นผ่านด้านการเรียนการสอนสอดคล้องกับงานด้านสวัสดิการและการศึกษาจากชั้นปฐมวัยไปจนถึงระดับมหาวิทยาลัยได้เลย ขณะเดียวกันงานวิจัยและนวัตกรรมทั้งหลายที่ตอบสนองความต้องการท้องถิ่นผ่านอบจ.ก็ยังเป็นสิ่งที่เป็นไปได้จริงดังที่ทราบกันว่า อบจ.เอง มีพันธกิจมหาศาลที่จะเข้าไปบริหารและพัฒนาท้องถิ่น การผลักดันนโยบายต่างๆ องค์ความรู้ต่างๆ จากราชภัฏจะช่วยเสริมสร้างนโยบายการพัฒนาท้องถิ่นอย่างเป็นรูปธรรมที่สุด สิ่งเหล่านี้จำเป็นต้องใช้องค์ความรู้และนักวิชาการจากทั้งสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ การตลาด การท่องเที่ยว รวมไปถึงเทคโนโลยีทางวิศวกรรมและการเกษตร หรือหากเป็นไปได้อาจนำไปสู่การผลิตบุคลากรทางสาธารณสุขและการแพทย์ได้ด้วย อย่างไรก็ดีราชภัฏในมิติใหม่นี้เองก็ควรเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเองให้ดี และวางตำแหน่งของตัวเองในพื้นที่ให้แม่นยำ
เราอาจจะจินตนาการได้ถึงอบจ.แต่ละแห่งที่มีจุดแข็งแตกต่างกันไปในประเทศนี้ อบจ.อาจจะสร้างโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญต่อการพัฒนาท้องถิ่นไม่ว่าจะเป็นการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรเพื่อการส่งออก, บริษัทการจัดการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติระดับจังหวัด, สถาบันวิจัยทางวิทยศาสตร์การเกษตรและการแพทย์, หอจดหมายเหตุจังหวัด, ศูนย์ฝึกครูเพื่อสนับสนุนการเรียนการสอนขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในจังหวัด, ศูนย์ฝึกอบรมและพัฒนาเมืองอัจฉริยะให้กับเทศบาลต่างๆในจังหวัด ฯลฯ หากเป็นไปได้ การควบรวมสถาบันอุดมศึกษาอื่นๆในจังหวัดก็น่าจะทำให้องคาพยพของสถาบันอุดมศึกษาท้องถิ่นเข้มแข็งขึ้นไปด้วยไม่ว่าจะเป็นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลที่เดิมเกาะกลุ่มอยู่ระดับภูมิภาคต่างๆ, วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ฯลฯ กรณีการควบรวมเพื่อสร้างมหาวิทยาลัยจังหวัดเกิดขึ้นแล้วในมหาวิทยาลัยนครพนมที่รวมเอาสถาบันต่างๆ มาเป็นมหาวิทยาลัยหนึ่งเดียว ได้แก่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครพนม, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม วิทยาเขตนครพนม, วิทยาลัยเทคนิคนครพนม, วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีนครพนม, วิทยาลัยการอาชีพธาตุพนม, วิทยาลัยการอาชีพนาหว้า และ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีนครพนมสามารถออกพระราชบัญญัติได้ในปี 2548[18] และมหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์ อันเกิดจากการควบรวมเอามหาวิทยาลัยราชภัฏกาฬสินธุ์ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตกาฬสินธุ์ ไว้ด้วยกันและจัดตั้งในปี 2558[19]แต่มหาวิทยาลัยทั้งคู่มิได้เชื่อมโยงกับอบจ.แบบที่ผู้เขียนนำเสนอ อย่างไรก็ตามราชภัฏที่มีจำนวน 38 แห่งนั้นยังไม่ได้ครอบคลุมทั้งจังหวัด กระนั้นในช่วงเปลี่ยนผ่านราชภัฏอาจยังให้บริการร่วมกับเขตจังหวัดใกล้เคียงที่ยังไม่มีกลไกนี้ ราชภัฏอาจทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับจังหวัดต่างๆ ในการตั้งมหาวิทยาลัยท้องถิ่นถ้าอบจ.นั้นๆ มีศักยภาพมากพอ
เชื่อได้ว่ามีผู้ที่ไม่ไว้วางใจนักการเมืองไม่น้อยโดยเฉพาะแวดวงทางการศึกษาที่เกรงว่า นักการเมืองจะเข้ามาแทรกแซง เข้ามาทุจริตโกงกินและสร้างความเสื่อมเสียให้พื้นที่อันศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าว โดยหาตระหนักไม่ว่าในแวดวงการศึกษาก็มีการ “เล่นการเมือง” ในอีกรูปแบบหนึ่ง เป็นเกมการเมืองที่ไม่สามารถถูกตรวจสอบได้อย่างจริงจัง ในที่นี้ขอเสนอด้วยว่า นายกอบจ.จะเข้ามาเป็นสมาชิกสภามหาวิทยาลัย หรืออาจจะไปถึงที่สุดคือการดำรงตำแหน่งนายกสภามหาวิทยาลัยด้วยเลย เนื่องจากว่า ตำแหน่งดังกล่าวถูกเลือกมาจากประชาชนในท้องถิ่นโดยตรง และสามารถถูกตรวจสอบซ้ำได้ผ่านสภาอบจ.
นี่คือ สิ่งที่เราต้องต่อสู้ผลักดันและพิสูจน์ให้ได้ มิติการอยู่รอดของราชภัฏจึงมิได้สวยหรู และอยู่บนทางที่โปรยด้วยดอกกุหลาบ แต่สัมพันธ์กับโครงสร้างอำนาจทางการเมืองที่รวมศูนย์ไปด้วย ทุกวันนี้ท้องถิ่นได้รับเงินจัดสรรมาให้ในสัดส่วนที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น ยังไม่ต้องนับข่าวที่รัฐบาลชุดนี้สิ้นคิดขนาดที่จะล้วงเอาเงินท้องถิ่นไปใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ และพยายามครอบงำการทำงานและการตัดสินใจของท้องถิ่น โดยอาจไม่ทันนึกว่าการกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นเป็นหัวใจสำคัญอันหนึ่งของระบอบประชาธิปไตยในยุคนี้
มีความเป็นไปได้ที่ราชภัฏจะอยู่รอดภายใต้วิกฤตใหญ่หลวงที่กำลังถาโถมเข้ามา เพียงแต่จะต้องมีการปรับปรุงโครงสร้างเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยในด้านการจัดสรรทรัพยากร และจุดชี้ขาดสำคัญสำหรับบทความนี้ก็คือ การเชื่อมต่อกับท้องถิ่นในฐานะหน่วยพื้นที่ทางการเมืองของประชาชนในท้องถิ่นนั้นๆ.
อ้างอิง
[1]สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา. "ระบบเผยแพร่สารสนเทศอุดมศึกษา". สืบค้นจาก http://www.info.mua.go.th/info/ เมื่อ 26 สิงหาคม 2562
[2]"พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2534", ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 107, ตอนที่ 194, 30 กันยายน 2533, หน้าพิเศษ 1-58
[3]"พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2527", ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 100, ตอนที่ 155, 28 กันยายน 2525, หน้าพิเศษ 1-46
[4]"พระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ.2540", ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 113, ตอนที่ 39 ก, 18 กันยายน 2539, หน้า 1-51 อนึ่งปี 2540 ได้มีการจัดตั้งสถาบันราชภัฏเพิ่มขึ้นอีก 4 แห่ง ได้แก่ สถาบันราชภัฏชัยภูมิ, สถาบันราชภัฏศรีสะเกษ, สถาบันราชภัฏนครพนม, สถาบันราชภัฏกาฬสินธุ์ และสถาบันราชภัฏร้อยเอ็ด ทำให้งบประมาณเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา กว่า 2 พันล้านบาท ดูใน มหาวิทยาลัยราชภัฏร้อยเอ็ด. "ประวัติความเป็นมา ". สืบค้นจาก https://www.reru.ac.th/index.php/prawat-reru/prawat-reru.html เมื่อ 13 สิงหาคม 2562
[5]iLaw. "ผ่านแล้ว! เกษตร-มธ.-มข.-สวนดุสิต ออกนอกระบบ: ทบทวนประวัติศาสตร์ และความเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น". สืบค้นจาก https://ilaw.or.th/node/3773 (22 กรกฎาคม 2558) เมื่อ 26 สิงหาคม 2562ดูเพิ่มเติมจาก “พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยมหิดลพ.ศ.2550”, ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 124 ตอนที่ 68 ก, 16 ตุลาคม 2550, หน้า 4-30 และ "พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ
", ราชกิจจานุเบกษา, เล่ม 124 ตอนที่ 98 ก, 26 ธันวาคม 2550, หน้า 1-27
[6]เดลินิวส์ออนไลน์. "มรภ.ออกนอกระบบให้มหา'ลัยตัดสินใจเอง". สืบค้นจาก https://www.dailynews.co.th/education/655527(17 กรกฎาคม 2561) เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
[7]ผู้จัดการออนไลน์. "SCB แบงก์ไฮโซNO ราชภัฏ". สืบค้นจาก https://mgronline.com/daily/detail/9580000075468 (4 กรกฎาคม 2558) เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
[8]โพสต์ทูเดย์ออนไลน์. ""ไม่รับคนจบราชภัฏ-ราชมงคล-เอกชน" ศักยภาพ"บัณฑิต"ไม่ถึง หรือ "บริษัท"คิดไปเอง?". สืบค้นจาก https://www.posttoday.com/politic/report/538332 (31 มกราคม 2561) เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
[9]สำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา. "ระบบเผยแพร่สารสนเทศอุดมศึกษา". สืบค้นจาก http://www.info.mua.go.th/info/ เมื่อ 26 สิงหาคม 2562
[10]ผู้จัดการออนไลน์. "ทปอ.เผยTCAS ปี 62 เหลือเก้าอี้ว่าง 2 แสนที่นั่ง". สืบค้นจาก https://mgronline.com/qol/detail/9620000059626 (23 มิถุนายน 2562) เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
[11]ไทยรัฐออนไลน์. "มรภ.ชี้เด็กลดฮวบ 2 ปีคาดถึงจุดต่ำสุดแล้ว". สืบค้นจาก https://www.thairath.co.th/news/local/1454831 (29 ธันวาคม 2561) เมื่อ 27 สิงหาคม 2562และ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์. "หอพัก-ร้านค้ารอบมหา’ลัยทั่วไทยวูบ นักศึกษาลดกระทบกำลังซื้อ-บ้านเช่าร้างปิดกิจการ". สืบค้นจาก https://www.prachachat.net/local-economy/news-363493 (23 สิงหาคม 2562) เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
[12]กรุณาอ่านใน ยุกติ มุกดาวิจิตร, อ่าน "วัฒนธรรมชุมชน : วาทศิลป์และการเมืองของชาติพันธุ์นิพนธ์แนววัฒนธรรมชุมชน (กรุงเทพฯ : ฟ้าเดียวกัน, 2548)และ ภิญญพันธุ์ พจนะลาวัณย์, "บ้าน วัด โรงเรียนของหนู พลวัตของอำนาจการศึกษา ในชนบทไทย", ข้ามพ้นกับดักคู่ตรงข้าม: ไทศึกษา ล้านนาคดี ประวัติศาสตร์ และมานุษยวิทยา(เชียงใหม่ : ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2561)
[13]Japan Student Services Organization. "List of National Universities and Local Public Universities using EJU". Retrieved from https://www.jasso.go.jp/en/eju/examinee/use/uni_local_public.html (27 August 2019)
[14]Kyoto Prefectural University of Medicine. "History of the University". Retrieved from https://www.kpu-m.ac.jp/doc/english/overview/history/4.html(27 August 2019)
[15]EducPros. " Financement de l’enseignement supérieur : la montée en puissance des Régions" (Financing higher education: the rise of the Regions). Retrieved from https://bit.ly/2HuhOzO (27 August 2019)
[16]ครู บ. (นามสมมติ), ครูในโรงเรียนสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดท่านหนึ่ง, สัมภาษณ์, 25 สิงหาคม 2562
[17]คุณ จ. (นามสมมติ), พนักงานเทศบาลเมืองแห่งหนึ่งในภาคเหนือ, สัมภาษณ์, 25 สิงหาคม 2562
[18]มหาวิทยาลัยนครพนม. "เกี่ยวกับ มนพ. : ประวัติมหาวิทยาลัย". สืบค้นจาก https://www.npu.ac.th/?page=content&content_id=1556610531 เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
[19]มหาวิทยาลัยกาฬสินธุ์. "ประวัติมหาวิทยาลัย". สืบค้นจาก https://bit.ly/2Zs3a2c เมื่อ 27 สิงหาคม 2562
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)