'ดีเอสไอ' ชี้ 'บิลลี่' ตายแล้ว โดนฆ่าเผายัดถังอำพรางคดี ทิ้งเขื่อนแก่งกระจาน 'ดีเอ็นเอ' ยัน

กรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาระหว่างประเทศ หลังจากนี้ จะเร่งรัดสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มองค์กรที่กระทำความผิดโดยเร็ว

ภาพซ้าย กิจกรรมรำลึกการสูญหายของบิลลี่ (ที่มา :แฟ้มภาพ จาก kim chaisukprasert) ส่วนภาพขวา การแถลงของดีเอสไอ 3 ก.ย.2562

3 ก.ย.2562 ข่าวสดออนไลน์ รายงานว่า วันนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) แถลงความคืบหน้าคดีการหายตัวไปของ พอละจี หรือบิลลี่ รักจงเจริญ แกนนำกะเหรี่ยงโป่งลึก-บางกลอย ที่หายตัวไปอย่างลึกลับ เมื่อวันที่ 17 เม.ย.2557 นำโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดี ดีเอสไอ ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตามที่คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติในการประชุมครั้งที่ 1/2561 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2561 ให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นกรณีการหายตัวไปของ พอละจีเป็นคดีพิเศษที่ต้องสืบสวนและสอบสวนตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 พฤติการณ์กล่าวคือ พอละจี ได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจับกุมในระหว่างนำน้ำผึ้งออกจากพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานโดยไม่ได้รับอนุญาต เมื่อวันที่ 17 เม.ย.57 โดยเจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมตัวอ้างว่าได้ปล่อยตัว พอละจี พร้อมรถจักรยานยนต์และนำผึ้งของกลางไปโดยไม่ได้ดำเนินคดี แต่ พิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยาของพอละจี และญาติ เชื่อว่า พอละจี หายสาบสูญไปโดยถูกบังคับ

ภายหลังการรับไว้ในกรณีดังกล่าว ดีเอสไอได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวน ได้แต่งตั้งพนักงานอัยการจากสำนักงานอัยการสูงสุด เป็นที่ปรึกษาคดีพิเศษและ บูรณาการความร่วมมือกับทุกภาคส่วน (Strong Collaboration) ประกอบไปด้วย สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช และตัวแทนจากองค์การนอกภาครัฐ ร่วมกันสืบสวนสอบสวนต่อเนื่องมาโดยตลอด

กระทั่งเมื่อวันที่ 26 เม.ย.62 และเมื่อวันที่ 22-24 พ.ค.62 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ใช้เครื่องยานยนต์สำรวจใต้น้ำจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ และนักประดาน้ำ จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน

สามารถตรวจพบชิ้นส่วนกระดูก 2 ชิ้น ถังน้ำมันขนาด 200 ลิตร 1 ถัง เหล็กเส้น 2 เส้น ถ่านไม้ 4 ชิ้น และเศษฝาถังน้ำมัน จากนั้นส่งให้สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ทำการตรวจพิสูจน์พบว่า “วัตถุเป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะข้างซ้ายของมนุษย์ มีรอยไหม้สีน้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าว และการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200-300 องศาเซลเซียส

ตรวจพบสารพันธุกรรมตรงกับ โพเราะจี รักจงเจริญ มารดาของ พอละจี เมื่อพิจารณาจากสถานที่เกิดเหตุ พยานหลักฐานในสำนวนอื่นประกอบ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษจึงเชื่อว่า วัตถุดังกล่าวเป็นกระดูกของ “นายพอละจี รักจงเจริญ ที่เสียชีวิตแล้วโดยไม่ทราบวิธีที่ทำให้ตาย แต่นำมาเผาทำลายเพื่ออำพรางคดี”

ซึ่งไทยพีบีเอสรายงานรายละเอียดดังนี้ 

ผลการตรวจสารพันธุกรรม กองสารพันธุกรรม สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งได้นำสารพันธุกรรม (ดีเอ็นเอ) แม่ของบิลลี่ มาเทียบกับวัตถุพยาน ชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะสภาพไม่สมบูรณ์ ลักษณะทางกายภาพเข้าได้กับลักษณะกระดูก มนุษย์ชิ้นส่วนกระดูก Petrous part ของกระดูก temporal bone ด้านใน ข้างซ้าย

ผลการตรวจสารพันธุกรรม รายงานการตรวจสารพันธุกรรม วัตถุพยานหมายเลข 60-2246-0004 รายละเอียดวัตถุพยาน ชิ้นส่วนกระดูก ซึ่งระบุว่าเป็นกระดูก Temporal น้ำหนัก 4.0 กรัม วัตถุประสงค์ในการตรวจพิสูจน์

  • รูปแบบสารพันธุกรรมของกระดูกตามรายการนั้น และนางไพเราะ รักจงเจริญ วัตถุพยานหมายเลข 62-DSI-2246-0003 มีความสัมพันธ์เป็นมารดาและบุตรกันหรือไม่
  •  รูปแบบสารพันธุกรรมของกระดูกตามรายการนั้น และ นางไพเราะ รักจงเจริญ วัตถุพยานหมายเลข 62-DSI-2246-0003 มีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษคนเดียวกันหรือไม่ 

ผลการตรวจพิสูจน์

  • ตรวจไม่พบสารพันธุกรรมโครโมโซมร่างกายจากกระดูก
  • จากการตรวจพิสูจน์สารพันธุกรรมในไมโทคอนเดรีย พบว่า รูปแบบสารพันธุกรรมมีความสัมพันธ์ทางสายโลหิตที่สืบทอด มาจากจากบรรพบุรุษคนเดียวกัน

ผลการตรวจสารพันธุกรรม

ขณะที่รายงานการตรวจวิเคราะห์กระดูก หมายเลขวัตถุพยาน 62-DSI-2246-0001 ลักษณะกระดูก สรุปว่า

  • เป็นชิ้นส่วนกระดูกกะโหลกศีรษะสภาพไม่สมบูรณ์จากลักษณะทางกายภาพเข้าได้กับลักษณะกระดูกมนุษย์ ชิ้นส่วนกระดูก Petrous part ของกระดูก temporal bone ด้านใน ข้างซ้าย พบรอยไหม้สี น้ำตาล ร่วมกับรอยแตกร้าวและการหดตัวของกระดูกจากการถูกความร้อน
  • สภาพกระดูกผ่านการถูกความร้อนที่อุณหภูมิประมาณ 200 – 300 องศาเซลเซียส

 

ส่วนถังน้ำมัน เหล็กเส้น ถ่านไม้ และเศษฝาถังน้ำมัน ได้ส่งศูนย์พิสูจน์หลักฐาน 7 สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ ทำการตรวจพิสูจน์หาร่องรอยการผ่านความร้อนและการผุกร่อน ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจพิสูจน์

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 28 – 30 ส.ค.62 พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ได้ร่วมกับ นักประดาน้ำ จากกองบังคับการสนับสนุนทางอากาศ กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน และกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 7 ตรวจหาพยานหลักฐานที่พื้นที่ใต้น้ำบริเวณสะพานแขวน เขื่อนแก่งกระจาน ตรวจหาพยานหลักฐาน พบชิ้นส่วนกระดูกเพิ่มเติมอีกจำนวน 20 ชิ้น ซึ่งอยู่ในระหว่างการดำเนินการ

ทั้งนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ เห็นว่า พฤติการณ์ของกลุ่มคนร้ายที่กระทำผิดครั้งนี้เข้าข่ายลักษณะเป็นการฆาตกรรมโดยทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหายที่เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรงตามอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการหายสาบสูญโดยถูกบังคับ ซึ่งหลังจากนี้ จะเร่งรัดสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับกลุ่มองค์กรที่กระทำความผิดโดยเร็ว

พีพีทีวีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า ก่อนหน้านี้ พ.ต.อ.ไตรวิช  น้ำทองไทย อดีตรองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 7 ซึ่งเคยเป็นผู้รับผิดชอบคดีนี้ บันทึกในสำนวนการสืบสวนว่า นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร หัวหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน(ในขณะนั้น) ที่ถูกพบเห็นว่าเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับบิลลี่ อ้างว่า มีพยานเป็นนักศึกษา 2 คน เห็นว่า ปล่อยตัวบิลลี่มาแล้ว แต่เมื่อเอาตัวนักศึกษามาสอบปากคำ พร้อมให้คุยกับพ่อแม่และอาจารย์ จนเมื่อสอบปากคำ นักศึกษาทั้ง 2 คนให้การว่าไม่เห็นบิลลี่ถูกปล่อยตัว พร้อมบอกว่า มีคนมาพาไปชี้จุดต่างๆ เพื่อให้มาให้การกับตำรวจ

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท