Skip to main content
sharethis

องค์กรด้านสิทธิหลายกลุ่มในสหรัฐฯ ที่มีสมาชิกรวมแล้วมากกว่า 15 ล้านคน เปิดตัวแคมเปญรณรงค์กดดันในระดับรากหญ้า เพื่อต่อต้านไม่ให้ผู้บังคับกฎหมายใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้า โดยเรียกร้องให้มีการออกกฎห้ามการใช้เทคโนโลยีนี้ทั้งในระดับท้องถิ่นถึงระดับประเทศ พวกเขาเตือนว่าถ้าหากมีการใช้เทคโนโลยีนี้แพร่หลายออกไปจะกลายเป็นภัยต่อสิทธิความเป็นส่วนตัวของผู้คนได้


ที่มาภาพประกอบ: U.S. Customs and Border Protection 

อีแวน เกรียร์ รองผู้อำนวยการขององค์กรไฟต์ฟอร์เดอะฟิวเจอร์ (FFTF) ที่เป็นผู้นำแคมเปญนี้กล่าวว่าเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่มีความเป็นอำนาจนิยมและมีการสอดแนมในลักษณะรุกล้ำมากที่สุดเท่าที่เคยสร้างขึ้น เกรียร์บอกว่าการออกกฎหมายกำกับดูแลในเรื่องนี้ "มากเท่าไหร่ก็ไม่พอ" รวมถึงยังเทียบเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าว่าเป็นเสมือนเครื่องมืออัตโนมัติสำหรับเผด็จการสอดแนมอย่างบิกบราเธอร์ในเรื่อง 1984 เกรียร์เสนอว่าควรจะแบนเทคโนโลยีการจดจำใบหน้านี้และ "ปฏิบัติกับมันเหมือนที่ปฏิบัติกับอาวุธชีวภาพหรืออาวุธนิวเคลียร์ และยังยั้งไม่ให้มีการแพร่หลายก่อนที่จะสายเกินไป"

มีองค์กรใหญ่ๆ มากกว่า 30 องค์กรที่หนุนหลัง FFTF ในการต่อต้านเทคโนโลยีนี้อาทิเช่น กรีนพีซ สหรัฐฯ, รูทส์แอกชัน, ยูไนเต็ดวีดรีม และ คัลเลอร์อออฟเชนจ์ องค์กรเหล่านี้มีแผนการส่งจดหมายจำนวนมากให้กับสมาชิกสภานิติบัญญัติเรียกร้องให้มีการสั่งห้ามไม่ให้ผู้บังคับกฎหมายใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่หน่วยงานรัฐนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ ตามสนามบินใหญ่ๆ ของสหรัฐฯ และในสถานที่อื่นๆ ของประเทศ

มาอัยชา เฮเยส กล่าวว่าการใช้เทคโนโลยีจำจดใบหน้าถือเป็นการละเมิดสิทธิของชนกลุ่มน้อยอย่างเกินเลย เฮเยสเป็นผู้ดำเนินงานระดับชาติในด้านความยุติธรรมทางอาญาและเทคโนโลยีขององค์กรมีเดียจัสติส ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรที่สนับสนุนการณรงค์นี้ เธอบอกอีกว่าเมือ่พิจารณาจากประวัติการบังคับใช้คดีในทำนองที่มีการเหยียดสีผิวและกีดกันทางเชื้อชาติรวมถึงการปิดกั้นส่งตัวคนออกนอกประเทศในช่วงสมัยรัฐบาลทโดนัลด์ ทรัมป์ แล้ว การใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าก็อาจจะถูกนำมาขยายผลเรื่องการสอดแนมซึ่งจะเป้นอันตรายต่อกลุ่มผู้คนที่มีความเสียเปรียบอยู่แแล้ว

เอเดรียน เรย์นา ผู้อำนวยการยุทธศาสตร์ของยูไนเต็ดวีดรีมกล่าวเสริมว่าเทคโนโลยีจดจำใบหน้าอาจจะถูกนำมาใช้ทำอันตรายต่อผู้อพยพ และเกรงว่าจะถูกนำมาใช้ช่วยเหลือในการลักพาตัวผู้คนจากในบ้านหรือในที่ทำงาน บวกกับเรื่องอื้อฉาวเกี่ยวกับการคุมขังผู้อพยพและการส่งตัวออกนอกประเทศของรัฐบาลทรัมป์แล้วเทคโนโลยีนี้ยิ่งชวนให้ถูกนำมาใช้ข่มเหงปราบปรามกลุ่มคนที่ไม่ใช่คนขาว "การใช้เครื่องมือนี้เป็นสิ่งที่ไร้จริยธรรมและทำให้เกิดการทำลายล้าง ... มันควรจะถูกแบนทั่วประเทศ" เรย์นากล่าว

การรณรงค์ครั้งล่าสุดนี้มีขึ้นหลังจากที่ชาวสหรัฐฯ เริ่มให้ความสนใจเรื่องเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเพราะมีการอภิปรายและพิจารณาในสภาคองเกรสในเรื่องที่จะจำกัดการใช้เทคโนโลยีนี้

เมื่อเดือนที่แล้ว ส.ว. พรรคเดโมแครต เบอร์นี แซนเดอร์ส หนึ่งในผู้แทนที่จะเข้าชิงตำแหน่งในการเลือกตั้งปี 2563 เคยเรียกร้องให้มีการสั่งแบนไม่ให้ผู้บังคับใช้กฎหมายอาศัยเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนการปฏิรูปยกเครื่องกระบวนการยุติธรรมของสหรัฐฯ เกรียร์บอกว่าเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าเป็นภัยต่อเสรีภาพและสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในระดับที่ต้องกระหนักอย่างเร่งด่วน ดังนั้นแล้วผู้แทนเข้าชิงตำแหน่งการเลือกตั้งปี 2563 ทุกคนควรจะเรียกร้องให้มีการสั่งแบน "เทคโนโลยีที่รุกล้ำ มีอคติ และอันตราย" ตัวนี้


เรียบเรียงจาก
30+ Rights Groups Launch Campaign Demanding Law Enforcement Ban on 'Authoritarian and Invasive' Facial Recognition Technology, Common Dreams, 05-09-2019
https://www.commondreams.org/news/2019/09/05/30-rights-groups-launch-campaign-demanding-law-enforcement-ban-authoritarian-and

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net