Skip to main content
sharethis

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ออกความเห็นทางกฎหมายจากกรณีที่แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกากล่าวหา สฤณี และ บ.ก.กรุงเทพธุรกิจ กรณีวิจารณ์คำตัดสินศาลปมหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส. ไม่เข้าข่ายความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล ย้ำการใช้และตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด รวมทั้งได้รับการคุ้มครอง ตาม กม.ไทยและสากล

ภาพจากเฟสบุ๊คแฟนเพจ Sarinee Achavanuntakul - สฤณี อาชวานันทกุล

9 ก.ย.2562 สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ออกความเห็นทางกฎหมายจากกรณีที่แผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกากล่าวหาสฤณี อาชวานันทกุล และบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในความผิดข้อหาละเมิดอำนาจศาล และศาลนัดหมายให้เดินทางไปให้การต่อศาลฎีกาวันนี้ จากกรณีการเผยแพร่บทความ เรื่อง “อันตรายของภาวะ “นิติศาสตร์นิยมล้นเกิน” (อีกที) กรณีหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.” นั้น

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ให้ความเห็นว่าการกระทำของ สฤณี และ บ.ก.กรุงเทพธุรกิจ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเนื่องจากเป็นบทความที่กล่าวถึงคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง เพราะการกล่าวหรือแสดงข้อความหรือความคิดเห็นนั้น เป็นการกระทำหลังจากศาลได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ไม่ใช่การกล่าวหรือแสดงข้อความหรือความคิดเห็นระหว่างการพิจารณา

พร้อมย้ำว่าการใช้และการตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด รวมทั้ง การเขียนและการเผยแพร่บทความของผู้ถูกกล่าวหาได้รับการคุ้มครองภายใต้หลักการเสรีภาพ ในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพสื่อมวลชน ตามที่ระบุไว้ในกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญด้วย

โดยมีรายละเอียดคำแถลงดังนี้ :

ความเห็นทางกฎหมาย กรณีการดำเนินคดีกับสฤณี อาชวานันทกุล และบรรณาธิการหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาล


สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๖๒ ศาลฎีกาโดยนายฉันทวัธน์ วรทัต ผู้พิพากษา ได้มีหมายเรียกนางสาวสฤณี อาชวานันทกุล และบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ไปให้การต่อศาลฎีกาในวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๖๒ เวลา ๑๐.๓๐ น. ณ ห้องพิจารณาคดี ๒ ห้อง ๒๐๘ ศาลฎีกา ในคดีหมายเลขดำที่ ลอ. ๑/๒๕๖๒ ลงวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๒  เกี่ยวกับกรณีการเผยแพร่บทความในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ หน้า ๙ คอลัมน์ประชาชน ๒.๐  เรื่อง “อันตรายของภาวะ “นิติศาสตร์นิยมล้นเกิน” (อีกที) กรณีหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.” โดยในหมายเรียกระบุชื่อนายสุประดิษฐ์ จีนเสวก เลขานุการแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกาเป็นผู้กล่าวหา

ในบันทึกข้อความ ลงวันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ ที่ผู้กล่าวหาได้เสนอประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกา สรุปใจความสำคัญได้ว่า บทความดังกล่าว ซึ่งมีนางสาวสฤณี อาชวานันทกุล เป็นผู้เขียนหรือประพันธ์บทความ มีข้อความที่ไม่เป็นจริงกล่าวหาว่า ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งตีความกฎหมาย “มักง่าย” และใช้กฎหมายแบบ “ตะพึดตะพือ” ตีความตัวบทอย่างเกินเลยและไม่คำนึงถึงเจตนารมณ์ของกฎหมาย ถือเป็นการรายงานกระบวนพิจารณาแห่งคดีอย่างไม่เป็นกลางและไม่ถูกต้อง และเป็นการวิภาคโดยไม่เป็นธรรมซึ่งการดำเนินคดี ทำให้เสื่อมเสียต่อศาลฎีกา เนื่องจากศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาและวินิจฉัยคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (คดีคุณสมบัติ) ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. ๒๕๖๑

บทความดังกล่าวจึงมีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาล หรือเหนือคู่ความ  หรือเหนือพยานในระหว่างการพิจารณาคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเรื่องอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งอาจมีประเด็นอย่างเดียวกันกับคดีที่ผู้ประพันธ์ได้กล่าว หรือแสดงในบทความ และผู้กล่าวหายังเห็นว่าบทความดังกล่าวไม่ใช่การวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงวิชาการต่อคำสั่งวินิจฉัยชี้ขาดคดีของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งเพราะคำว่า “มักง่าย” และ “ตะพึดตะพือ” ไม่ใช่วิชาการ แต่เป็นเรื่องที่ต้องการตำหนิเพียงอย่างเดียว จึงเข้าข่ายเป็นการละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒ (๒)

พร้อมกันนี้ ผู้กล่าวหายังได้เสนอให้ประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกามีคำสั่งตั้งองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาไต่สวนเพื่อพิจารณาและพิพากษาคดีความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลดังกล่าว โดยเสนอให้นายฉันทวัธน์ วรทัต ผู้พิพากษาอาวุโสในศาลฎีกาเป็นเจ้าของสำนวน นายพันธุ์เลิศ บุญเลี้ยง ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา และนายชัยชนะ ตัญจพัฒน์กุล ผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นองค์คณะพิจารณาและพิพากษาคดี ซึ่งประธานแผนกคดีเลือกตั้งในศาลฎีกาก็ได้เห็นชอบตามข้อเสนอ

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน มีความห่วงกังวลต่อการบังคับใช้กฎหมายในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลดังกล่าว จึงมีความเห็นทางกฎหมายในประเด็นที่สำคัญดังต่อไปนี้

๑. การเผยแพร่บทความ “อันตรายของภาวะ “นิติศาสตร์นิยมล้นเกิน” (อีกที) กรณีหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.” ทางหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ไม่เข้าข่ายความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๒ (๒)

เห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าบทความเรื่อง “อันตรายของภาวะ “นิติศาสตร์นิยมล้นเกิน” (อีกที) กรณีหุ้นสื่อของผู้สมัคร ส.ส.” ซึ่งถูกเผยแพร่ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันอังคารที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ เป็นบทความที่กล่าวถึงคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งในกรณีที่ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งที่มีคำสั่งถอนชื่อผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสกลนคร จากพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งศาลได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดเมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๖๒  ดังนั้น การเผยแพร่บทความทางหนังสือพิมพ์ดังกล่าว จึงไม่เข้าข่ายเป็นการกระทำตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒ (๒) เนื่องจากการกล่าวหรือแสดงข้อความหรือความคิดเห็นนั้น เป็นการกระทำหลังจากศาลได้มีคำพิพากษาเป็นที่สุดแล้ว ไม่ใช่การกล่าวหรือแสดงข้อความหรือความคิดเห็นระหว่างการพิจารณาอันจะเข้าองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒ (๒) ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องพิจารณาว่าการกล่าวหรือแสดงข้อความหรือความเห็นนั้นประสงค์จะให้มีอิทธิพลเหนือความรู้สึกของประชาชน หรือเหนือศาลหรือเหนือคู่ความหรือเหนือพยานแห่งคดี ซึ่งพอเห็นได้ว่าจะทำให้การพิจารณาคดีเสียความยุติธรรมไป

๒. การใช้และการตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญาต้องตีความอย่างเคร่งครัด 

เห็นว่าแม้คณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นไว้ในเรื่องเสร็จที่ ๔๔๔/๒๕๒๘ เรื่อง ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดอาญาหรือไม่ (ตีความมาตรา ๓๑ มาตรา ๓๒ และมาตรา ๓๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง) ว่าการกระทำความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลไม่ใช่ความผิดทางอาญา แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลเป็นความผิดที่ได้มีการกำหนดโทษทางอาญาไว้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๓ (ข) การบังคับใช้และตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญา ซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิเสรีภาพของบุคคลจะต้องตีความโดยเคร่งครัดตามหลักการตีความกฎหมายอาญา โดยหลีกเลี่ยงการตีความขยายความออกไปจำกัดสิทธิเสรีภาพประชาชน ดังนั้น เมื่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒ (๒) บัญญัติเพียงว่า “ถ้าหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ได้กล่าวหรือแสดงไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ ในระหว่างการพิจารณาแห่งคดีไปจนมีคำพิพากษาเป็นที่สุด…”

การปรับใช้และตีความกฎหมายดังกล่าวก็ควรจำกัดอยู่เฉพาะคดีที่อยู่ในระหว่างการพิจารณาและเป็นคดีที่ถูกกล่าวถึงโดยตรงเท่านั้น ไม่ควรรวมไปถึงคดีอื่นที่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงการที่ผู้กล่าวหาอ้างว่าบทความดังกล่าวจะกระทบต่อการพิจารณาคดีเกี่ยวกับสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.เรื่องอื่นๆ ในอนาคต ซึ่งอาจมีประเด็นอย่างเดียวกันกับคดีที่ผู้ประพันธ์ได้กล่าว หรือแสดงในบทความนั้น จึงถือเป็นการปรับใช้และตีความกฎหมายขยายความจากตัวบทกฎหมายและเจตนารมณ์ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๓๒ (๒) ย่อมเป็นการใช้และการตีความกฎหมายที่ขัดต่อหลักการตีความกฎหมายที่มีโทษทางอาญา

๓. การเขียนและการเผยแพร่บทความของผู้ถูกกล่าวหาได้รับการคุ้มครองภายใต้หลักการเสรีภาพ  ในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็นและเสรีภาพสื่อมวลชน ตามที่ระบุไว้ในกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐

เห็นว่า เมื่ออ่านบทความทั้งหมดแล้วจะพบว่าบทความดังกล่าวมีวัตถุประสงค์หลักในการวิพากษ์วิจารณ์การตีความกฎหมายของศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง กรณีที่มีคำสั่งถอนชื่อผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จังหวัดสกลนคร จากพรรคอนาคตใหม่ (คำสั่งศาลฎีกาที่ ๑๗๐๖/๒๕๖๒) โดยใจความสำคัญของบทความเป็นการแสดงความเห็นว่า การตีความกฎหมายของศาลในคดีดังกล่าวไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงและเจตนารมณ์ของกฎหมาย ย่อมเห็นเจตนาของผู้เขียนว่ามีความประสงค์ที่จะวิพากษ์และนำเสนอความคิดเห็นทางวิชาการต่อคำพิพากษาในคดีดังกล่าว แม้บทความจะมีถ้อยคำที่ไม่ใช่ถ้อยคำทางวิชาการดังเช่นที่ผู้กล่าวหายกมาอ้าง ดังเช่นคำว่า “มักง่าย” และ “ตะพึดตะพือ” ก็ตาม แต่ยังถือได้ว่าเป็นการวิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินและการตีความกฎหมายของศาลในเชิงวิชาการเป็นสำคัญ และยิ่งเป็นการกระทำต่อคดีที่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว ย่อมสามารถการวิพากษ์วิจารณ์หรือติชมใด ๆ ได้ ไม่ถือเป็นการละเมิดต่อกฎหมายและไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นในการจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน ที่รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญมาตรา ๓๔

๔. ความเห็นเพิ่มเติมกรณีการดำเนินคดีกรณีการละเมิดอำนาจศาลที่กระทำลงภายนอกศาล 

การดำเนินกระบวนการดำเนินคดีในความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลที่กระทำลงภายนอกศาล ต้องใช้กระบวนการเช่นเดียวกับคดีอาญาปกติ เนื่องจากไม่ได้มีความจำเป็นที่ต้องรีบเร่งในการจัดการเพื่อให้การดำเนินกระบวนการพิจารณาเป็นไปโดยเรียบร้อยดังเช่นกรณีการกระทำความผิดที่ได้เกิดขึ้นต่อหน้าศาล ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลที่ไม่ได้กระทำต่อหน้าศาล จึงควรต้องไปใช้กระบวนการดำเนินคดีผ่านกลไกการร้องทุกข์กล่าวโทษ การสอบสวนและฟ้องคดีโดยพนักงานอัยการ และจะต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาในการต่อสู้คดีในมาตรฐานเดียวกับจำเลยในคดีอาญาทั่วไป รวมทั้งต้องห้ามผู้พิพากษาในคดีที่เกี่ยวข้องกับการวิพากษ์วิจารณ์นั้น เป็นองค์คณะในการพิจารณาคดีด้วยภายใต้หลักความเป็นกลาง

นอกจากนี้ ในการพิสูจน์ความผิด จะต้องมีการพิสูจน์ความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง มิใช่เพียงแต่ใช้พฤติการณ์ประกอบการกระทำว่าจะเป็นการกระทำโดยประการที่น่าจะก่อความเสียหายต่อศาลหรือกระบวนการยุติธรรม  การที่เล็งเห็นว่าเพียงแต่มีแนวโน้มจะเข้าไปแทรกแซงการบริหารความยุติธรรมยังไม่เพียงพอที่จะเป็นเหตุในการลงโทษจำเลย เพราะต้องคำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นด้วย โดยการโฆษณาที่จะมีลักษณะเป็นการละเมิดอำนาจศาลได้จะต้องแสดงให้เห็นภยันตรายที่ชัดแจ้งและใกล้จะถึงต่อการบริหารความยุติธรรมของศาล ยิ่งไปกว่านั้น การยอมรับว่าถ้อยคำดังกล่าวมีอิทธิพลอย่างร้ายแรงเหนือการพิจารณาของศาล เท่ากับเป็นการกล่าวว่าผู้พิพากษานั้นขาดความหนักแน่น

ทั้งนี้ สมาคมฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า การใช้ความผิดฐานละเมิดอำนาจต่อประชาชนจะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง ภายใต้ขอบเขตและเจตนารมณ์ของกฎหมาย  และคำนึงถึงการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและการแสดงความคิดเห็น และขอให้มีการกำหนดแนวปฏิบัติเกี่ยวกับขอบเขตการใช้ความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลโดยเคร่งครัดและเท่าที่จำเป็นเฉพาะเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมเป็นไปโดยเรียบร้อยและไม่ถูกขัดขวางเท่านั้น เพื่อไม่ให้ความผิดฐานนี้ถูกนำมาใช้อย่างกว้างขวางจนกระทบต่อสาระสำคัญแห่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นและการแสดงออกตามที่ถูกรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๑๙ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา ๓๔ และเพื่อไม่ให้ประชาชนทั่วไป เข้าใจไปได้ว่าความผิดฐานละเมิดอำนาจศาลถูกใช้เพื่อจำกัดการแสดงออกและการแสดงความคิดเห็นของประชาชน (การใช้กฎหมายปิดปาก : Strategic Lawsuit Against Public Participation -SLAPP) และก่อให้เกิดบรรยากาศแห่งความหวาดกลัวแก่สื่อมวลชนและสังคมไทยจนไม่กล้าตรวจสอบและ/หรือวิพากษ์วิจารณ์การทำหน้าที่ขององค์กรศาล รวมถึงองค์กรผู้ใช้อำนาจรัฐอื่น ๆ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันตุลาการอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

ด้วยความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและสิทธิเสรีภาพของประชาชน

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net