สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) แจ้งข่าวว่าในวันที่ วันที่ 16 ก.ย. 2562 เวลา 09.00 น. ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดระนองนัดฟังคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำที่ 7/2559 จำเลยคือ นายโมซินอ่าว และนายจอโซวิน จึงขอเชิญสื่อมวลชนและผู้ที่สนใจเข้าร่วมฟังคำพิพากษาในวันและเวลาดังกล่าว

คดีนี้สืบเนื่องจากกรณีแรงงานชาวเมียนมา 4 คนคือ นายโมซินอ่าว นายไซกะเดา นายจอโซวิน และนายซอเล ตกเป็นจำเลย ถูกอ้างว่าฆ่านางสาวอรวี สำเภาทอง หรือ น้องแอปเปิ้ล โดยกรณีดังกล่าวนี้ตกเป็นข่าวครึกโครมเนื่องจากบริเวณศพของน้องแอปเปิ้ลมีรอยแผลโดนแทงด้วยอาวุธมีดกว่า 17 แผล ซึ่งเป็นเหตุให้น้องแอปเปิ้ลถึงแก่ความตาย

กรณีนี้ถูกแยกฟ้องคดีอาญาเป็น 2 ศาล เนื่องจากมีจำเลย 2 คนมีฐานะเป็นเยาวชนอยู่ โดยแบ่งเป็นคดีศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดระนอง คดีหมายเลขดำที่ 7/2559 จำเลยคือ นายโมซินอ่าว และนายจอโซวิน และคดีศาลจังหวัดระนอง คดีหมายเลขดำที่ 115/2559 จำเลยคือนายเมาเซ้น หรือเซกะดอ และนายซอเลและเมื่อวันที่ 19 เม.ย. 2561 ศาลจังหวัดระนอง และศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดระนอง มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่มีความผิด
              
แต่เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2562 ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับคำพิพากษาของศาลชั้นต้นโดยให้ยกฟ้องนายเมาเซ้น และนายซอเล และยกคำขอในส่วนแพ่งของโจทก์เรื่องค่าฤชาธรรมเนียมส่วนแพ่งด้วย เนื่องจากโจทก์และโจทก์ร่วมไม่มีประจักษ์พยานมานำสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ความตาย และแม้จะมีพยานแวดล้อมเป็นบันทึกภาพจากกล้องวงจรปิด ก็ไม่ปรากฎว่ามีภาพของจำเลยทั้งสองเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้ตาย

อีกทั้งจำเลยทั้งสองเบิกความทำนองเดียวกันว่า ถูกเจ้าพนักงานตำรวจซ้อมทำให้จำเลยทั้งสองต้องให้การรับสารภาพ โดยมีภาพถ่ายหลังเกิดเหตุประกอบคำเบิกความ ภาพถ่ายดังกล่าวสอดคล้องกับรายงานการตรวจร่างกายของจำเลยทั้งสอง โดยมีนายแพทย์เบิกความยืนยัน ย่อมถือว่าการรับสารภาพในชั้นสืบสวน สอบสวนเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226 ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน