Skip to main content
ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ
sharethis

จากรณีการจัดแสดงผลงานศิลปะภาพวาด “พระพุทธรูปอุลตร้าแมน” อันก่อให้เกิดกระแสถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมผ่านสื่อมวลชนหลายช่องทาง มีผู้รู้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้ไว้หลากหลายมุมมอง ทั้งเชิงบวกและลบ ในบรรดากลุ่มที่ไม่เห็นด้วยนั้นมีชาวพุทธกลุ่มหนึ่งที่ปรากฏตัวต่อสื่อมวลชนในนาม “กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน” นำโดย ดร.จรูญ วรรณกสิณานนท์ ตัวแทนกลุ่มยื่นหนังสือต่อผู้บังคับการกองปราบ เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับนักศึกษาเจ้าของผลงาน และศิลปินที่แสดงความคิดเห็นสนับสนุนนักศึกษา เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามว่า การที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยึดติดกับวัตถุนั้นทางกลุ่มมีมุมมองอย่างไร ดร.จรูญให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่าในมุมมองของเขา

 “พระพุทธศาสนาสอนให้ยึดติด ให้สิ่งสักการะเหล่านี้เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ เพื่อที่จะนำไปสู่สวรรค์ เปิดประตูไปสู่นิพพาน พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าไม่ให้ยึดติด พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนว่าไม่ให้ยึดติด หรือให้ปล่อยวาง เป็นคำสอนที่ผิด”

(ดูเพิ่มเติมใน https://prachatai.com/journal/2019/09/84273)

ความน่าสนใจ คือ เหตุใดจึงเกิดมุมมองที่ขัดแย้งกันระหว่างข้อสงสัยของผู้สื่อข่าวกับคำตอบของ ดร.จรูญ ทั้งๆที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างคำสอนศาสนาพุทธเช่นกัน ผู้เขียนบทความนี้ไม่ได้มีเจตนาจะชี้ถูกชี้ผิดว่าใครถูกต้องกว่า  หรือแท้จริงแล้วศาสนาพุทธสอนให้ยึดติดหรือไม่? บทบาทดังกล่าวคงต้องยกให้ผู้เชี่ยวชาญด้านพระพุทธศาสนา เป้าหมายหลักของบทความนี้เป็นเพียงแค่ความพยายามจะทำความเข้าใจว่า เหตุใดทางกลุ่มชาวพุทธดังกล่าวจึงมีมุมมองเช่นนั้น โดยอาศัยข้อมูลในงานศึกษาประวัติศาสตร์พุทธศาสนาไทย และบริบททางสังคมการเมืองเป็นเครื่องประกอบการพิจารณา

เมื่อสำรวจข้อมูลจากงานศึกษาวิจัยด้านประวัติศาสตร์และการพระศาสนาในบ้านเราโดยสังเขปแล้วพบว่า ความย้อนแย้งระหว่างคำสอนศาสนาดังเช่นในกรณีนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก แต่มีมาก่อนหน้านี้แล้วในประวัติศาสตร์ไทย โดยเกิดขึ้นจากการตีความคำสอนศาสนาพุทธให้สอดรับกับอุดมการณ์ของบ้านเมืองในแต่ละสมัย ดังที่ทราบกันโดยทั่วไปในหมู่ชาวพุทธไทยว่าข้อปฏิบัติเบื้องต้นของชาวพุทธไทยฝ่ายฆราวาส คือ ศีล 5 ข้อแรก ได้แก่ การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต แม้กระทั่งใน “ภิกขุปาฏิโมกข์” หรือวินัยสงฆ์ฝ่ายเถรวาทเองก็ระบุว่า การฆ่าสัตว์จัดว่าเป็นการล่วงละเมิดศีล หรือ “อาบัติ” หากฆ่าสัตว์เดรัจฉานทั่วไปก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ผิดศีลในขั้นต้นลงโทษด้วยการสารภาพความผิดที่เรียกว่า “ปลงอาบัติ” หากฆ่ามนุษย์ก็ต้องอาบัติปาราชิก ผิดศีลขั้นร้ายแรงซึ่งมีบทลงโทษชนิดที่ว่าถึงกับให้ขาดจากสภาพความเป็นพระภิกษุสงฆ์  เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้าผู้เขียนขออ้างเหตุผลดังกล่าวว่า กิจการที่เกี่ยวข้องกับการพรากชีวิตจึงดูเป็นเรื่องที่ขัดกับคำสอนศาสนาพุทธโดยสามัญสำนึกในนัยนี้ แต่อย่างไรก็ดี ในบางกรณีมีผู้รู้พระศาสนาตีความว่ากิจกรรมที่เกี่ยวข้องการฆ่าหรือพรากชีวิตสัตว์ (โดยเฉพาะสัตว์ประเสริฐในมโนทัศน์ของชาวพุทธอย่าง “มนุษย์”) สามารถทำได้เพื่อความจำเป็นบางประการก็มีมาแล้ว อาทิ การทำสงครามเพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง แม้กระทั่งการฆ่าศัตรูทางการเมืองเพื่อผลประโยชน์ของชาติและปกปักรักษาสถาบันสำคัญ

 ในพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เรื่อง “เทศนาเสือป่า” แม้ว่าจะไม่ได้มีเนื้อหาให้เหตุผลสนับสนุนการละเมิดศีลปาณาติบาตโดยตรง ทว่า ธ ผู้ทรงพระราชนิพนธ์ได้ตีความเรื่องการทำสงครามเพื่อชาติบ้านเมืองไว้ว่าไม่ใช่เรื่องผิดไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ดังข้อความตอนหนึ่งว่า

“การรบเพื่อป้องกันชาติบ้านเมือง ไม่เป็นข้อที่พระพุทธเจ้าห้ามปรามเลย ถ้าทรงห้ามปรามหรือแม้ไม่ทรงเห็นชอบด้วยแล้ว ที่ไหนเลยจะทรงบังคับให้ทหารซึ่งหนีจากกองทัพพระเจ้าพิมพิสารเข้าไปอุปสมบทนั้น สึกออกไปเข้ารับราชการตามเดิม”

(พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2504: 119)

และมีข้อความหนึ่งที่ตีความจุดมุ่งหมายของการสงครามว่าไม่ได้ขัดแย้งกับคำสอนพระพุทธเจ้าเรื่องปาณาติบาตดังที่ว่า

“แท้จริงความประสงค์ที่พระพุทธองค์ทรงห้ามการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตนั้น คือ ทรงหวังตัดความเบียดเบียนซึ่งกันและกัน โดยใช้กำลังหรือเครื่องประหารข่มเหงซึ่งผู้ขัดใจ, แต่จะได้ทรงมุ่งให้กินความไปถึงการต่อสู้ป้องกันตัวหรือป้องกันชาติบ้านเมืองก็หามิได้”

(พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, 2504: 120)

สำหรับกรณีที่ตีให้เหตุผลสนับสนุนการฆ่าโดยชอบธรรมเพื่อชาติบ้านเมืองโดยตรงนั้นปรากฏในคำสัมภาษณ์ของพระเทพกิตติปัญญาจารณ์ (กิติศักดิ์ กิตฺติวุฒฺโฑ) หรือที่รู้จักกันในนาม กิตติวุฒโฑภิกขุ พระนักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงในสมัยหนึ่ง คำสัมภาษณ์นั้นปรากฏในนิตยสารจตุรัส ฉบับวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2519 ผู้สื่อข่าวของนิตยสารถามคำถามชี้นำท่านกิตติวุฒโฑว่า “การฆ่าฝ่ายซ้าย หรือคอมมิวนิสต์บาปไหม?” พระท่านให้คำตอบว่า

“อันนั้นอาตมาก็เห็นว่าควรจะทำ คนไทยแม้จะนับถือพุทธก็ควรจะทำ แต่ก็ไม่ชื่อว่าถือเป็นการฆ่าคน เพราะว่าใครก็ตามที่ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นั้นไม่ใช่คนสมบูรณ์ คือต้องตั้งใจ (ว่า) เราไม่ได้ฆ่าคนแต่ฆ่ามารซึ่งเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน”

เมื่อสื่อถามว่าผิดศีลข้อปาณาติบาตหรือไม่ ท่านตอบทันใดว่า

“ผิดน่ะมันผิดแน่ แต่ว่ามันผิดน้อย ถูกมากกว่า ไอ้การฆ่าคนคนหนึ่งเพื่อรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ ไอ้สิ่งที่เรารักษาปกป้องไว้มันถูกต้องมากกว่า แล้วจิตใจของทหารที่ทำหน้าที่อย่างนี้ไม่ได้มุ่งฆ่าคนหรอก เจตนาที่มุ่งไว้เดิมคือมุ่งรักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ไว้ การที่เขาอุทิศชีวิตไปรักษาสิ่งดังกล่าวนี้ก็ถือว่าเป็นบุญกุศล ถึงแม้จะฆ่าคนก็บาปเล็กน้อย แต่บุญกุศลได้มากกว่าเหมือนเราฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ ไอ้บาปมันก็มีหรอกที่ฆ่าปลา แต่เราใส่บาตรพระได้บุญมากกว่า”

(ดูเพิ่มเติมใน https://prachatai.com/journal/2013/10/49085)

ข้อคิดเห็นทั้งหมดที่สาธกยกมาสะท้อนให้เห็นว่า การตีความคำสอนศาสนาพุทธเหล่านี้ล้วนเป็นไปเพื่อสนับสนุนอุดมการณ์รัฐและปกป้องสถาบัน  ไม่ว่าการตีความนั้นจะมีน้ำหนักหรือเหตุผลสนับสนุนความชอบธรรมเพียงใดก็ตาม ในหนังสือ “พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต” ผู้แต่ง คือ พระไพศาล วิสาโล (2562) ได้วิเคราะห์เหตุที่ทำให้เกิดสภาพการณ์เช่นนี้ว่า มีที่มาจากการที่ศาสนาพุทธถูกตีความให้สนับสนุนเกื้อกูลรัฐและอุดมการณ์ชาตินิยม ในงานศึกษาชิ้นเดียวกันนี้ ผู้เขียนยังมองว่า การที่ศาสนาถูกตีความให้เข้ากับอุดมการณ์รัฐนั้นส่งผลให้คำสอนศาสนาพุทธในบางมิติต้องถูกละเลย หรือลดบทบาทลง เนื่องด้วยได้รับอิทธิพลจากโลกทัศน์แบบเหตุผลนิยมและลัทธิชาตินิยมจากตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ 4-6 อาทิ คำสอนเรื่องโลกหน้า นรก สวรรค์ในชีวิตหลังความตาย แม้กระทั่งคำสอนฝ่ายโลกุตระธรรมอย่างเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา คือ พระนิพพาน  ที่ไม่อาจวัดผลได้ในเชิงประจักษ์

ดังนั้นในการรักษาพุทธศาสนาในรูปแบบ “สถาบัน” ที่เป็นองค์กระกอบหนึ่งของรัฐ ผู้แสดงคำสอนศาสนาในลักษณะดังกล่าว จำต้องตีความคำสอนให้สอดคล้องหรือไม่ขัดกับแนวคิดอุดมการณ์หลักและนโยบายของรัฐ และละเลยคำสอนบางชุดที่ไม่เข้าข่ายดังกล่าวไป ในบางสมัยผู้นำประเทศขอร้องให้คณะสงฆ์ไทยงดสอนเรื่องความสันโดษเพื่อไม่ให้ขัดขวางการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศในยุคปฏิวัติการปกครองก็เคยเป็นมาแล้ว ดังที่ปรากฏในสุนทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ที่กล่าวว่า

“...เป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระผมร้องขอ เพราะเหตุว่าพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่หลายทาง ที่สามารถจะเลือกเอามาสอนหรือจูงใจให้คนประพฤติปฏิบัติ มีคำสอนให้คนมักน้อยสันโดษ ไม่อยากทำอะไรอย่างที่เคยสอนกันว่า ไม่จำเป็นต้องขวนขวาย ตายแล้วก็เอาไปไม่ได้ คำสอนเช่นนี้อาจเหมาะสำหรับสมัยหนึ่ง แต่ไม่เหมาะสำหรับการปฏิวัติ ซึ่งต้องการขวนขวายหาทางก้าวหน้า จำต้องเลือกสรรเอาธรรมะที่สอนให้คนมีวิริยะ อุตสาหะ ขยันหมั่นเพียร ประกอบสัมมาอาชีพ… จึงใคร่ขอร้องคณะสงฆ์ให้พยายามสอนไปทางนี้ จะเป็นการช่วยแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และงานทุกอย่างที่รัฐบาลกำลังทำอยู่ โดยมุ่งความวัฒนาถาวรของประเทศชาติซึ่งเป็นความวัฒนาถาวรของศาสนาเอง”

(ประมวลสุทรพจน์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ พ.ศ. 2502-2504, อ้างใน พิพัฒน์ พสุธารชาติ, 2549: 307)

แม้ว่าจะไม่เห็นด้วยกับความเห็นทั้งหมดของจอมพลสฤษดิ์ในข้างต้น  แต่ข้าพเจ้าผู้เขียนก็ยอมรับคำท่านจอมพลที่ว่า “คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีอยู่หลายทาง ที่สามารถจะเลือกเอามาสอนหรือจูงใจให้คนประพฤติปฏิบัติ” เป็นไปได้ว่าในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทความยาวกว่า 84,000 พระธรรมขันธ์อายุมากกว่า 2 พันกว่าปี ผู้ศึกษาคัมภีร์ศาสนาพุทธอาจพบคำสอนที่ไม่สอดคล้องลงรอยกัน หรือพูดขัดแย้งกันเอง ผู้ศึกษาจำต้องพิจารณาบริบทแวดล้อมประกอบเพื่อทำความเข้าใจปูมที่มาของความขัดแย้งเหล่านั้น ส่วนผู้เผยแพร่หากเลือกหยิบข้อความใด หลักธรรมใด มานำเสนอแก่สังคมแล้ว เขาจำต้องแสดงเหตุผลสนับสนุนให้ความชอบธรรมแก่มุมมองของตนอย่างมีหลักการ อ้างอิงคัมภีร์แหล่งที่มา และมีเหตุมีผลรองรับ ปราศจากการใช้ตรรกะวิบัติ แต่อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าผู้เขียนมองว่าการตีความของผูัเผยแพร่เช่นนี้แม้จะมีหลักการเพียงใด แต่ก็ไม่ได้เป็นไปโดยอิสระแต่ถ่ายเดียว ทว่ายังตกอยู่ใต้อำนาจของโครงสร้างบางประการที่ถูกกำกับภายใต้บริบททางสังคม การเมือง และวัฒนธรรม ดังเช่น จุดยืนและจิตสำนึกอุดมการณ์ที่มาจากชนชั้นทางสังคมการเมือง และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของผู้เผยแพร่แต่ละคน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทั้งหมดที่ยกมาชี้เห็นว่าการตีความ หรือการเลือกสอนหลักธรรมในศาสนาพุทธก็ดีไม่ได้เป็นไปโดยอิสระ สนับสนุนความคิดของปัจเจกชน แต่กลับเป็นไปเพื่อสนับสนุนสถาบันรัฐ มิพักต้องเอ่ยถึงกลไกการกำกับควบคุมของรัฐที่ใช้อำนาจกระทำการลงโทษต่อผู้ตีความศาสนาแตกต่างไปจากรัฐ หรือประพฤติปฏิบัติไม่ตรงกับแบบแผนของทางการ ตัวอย่างเช่น กรณีอธิกรณ์ของครูบาศรีวิชัยพระภิกษุชาวล้านนา ผู้ไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์จากส่วนกลาง กรณีการออกคำสั่งกักบริเวณพระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจนฺโท) เมื่อครั้งดำรงสมณศักดิ์ที่พระเทพโมลี เนื่องด้วยท่านเป็นผู้แสดงพระธรรมเทศนาว่าวิชาทหารเป็น “วิชาชั่ว เปนสพานแห่งความเสื่อม ความฉิบหายโดยแท้” วิพากษ์การที่ราชอาณาจักรสยามเข้าร่วมสงครามโลกครั้งแรก (อ้างใน พระไพศาล, 2552: 43) หรืออย่างกรณีอธิกรณ์พระโพธิรักษ์ พระภิกษุผู้ปฏิเสธการขึ้นตรงกับคณะสงฆ์ของรัฐ และตั้งสังฆะของตนในชื่อกลุ่มสันติอโศกในยุคร่วมสมัย เป็นต้น

เมื่อกลับมาพิจารณากรณีการตีความของกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินนี้ก็เช่นเดียวกัน การที่ตัวแทนกลุ่มตีความว่า “พุทธศาสนาสอนให้ยึดติด” มีนัยสำคัญสะท้อนถึงการมองศาสนาในรูปแบบสถาบันที่มีมาตรฐาน หรือแบบแผนที่ต้องปกป้องรักษาอย่างชัดเจน คำสอนเรื่องการไม่ “ยึดติด” ซึ่งไม่แน่ว่าอาจจะมีอยู่ในพระไตรปิฎก จำต้องถูกละเลยกล่าวถึงในบริบทดังกล่าว การฟ้องร้องดำเนินคดีนักศึกษาผู้วาดภาพและศิลปินผู้สนับสนุนผลงานนี้ถือเป็นการอาศัยช่องทางกฎหมายหรือกลไกรัฐเข้าควบคุมสิ่งที่ไม่สอดรับกับแบบแผนทางศาสนาในมุมมองของพวกเขา แม้กระทั่งชื่อกลุ่มชาวพุทธ “พลังแผ่นดิน” ก็มีความหมายนัยประหวัดชวนให้ระลึกถึงสถาบันสำคัญของชาติ และสะท้อนอัตลักษณ์ของพุทธศาสนิกชนที่เป็นกำลังของประเทศชาติ

ในบริบทของรัฐโลกียวิสัย หรือรัฐฆราวาส (secular state) ที่แยกศาสนาออกจากกลไกการปกครองของรัฐ ไม่เปิดโอกาสให้ศาสนาในรูปแบบสถาบันที่เข้ามาผูกขาดอำนาจการตีความคำสอน หรือชี้ถูกชี้ผิดหลักการทางศาสนาให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน จนกระทั่งปล่อยให้ตัวแทนศาสนาแสดงอำนาจรัฐผ่านการบังคับใช้กฎหมายกระทำการลงโทษผู้มีความเห็นต่างไปจากความเชื่อในศาสนาที่เป็นสถาบันหลักของรัฐ ข้าพเจ้าผู้เขียนไม่มีความรู้พอจะระบุว่าปัจจุบันแล้วรัฐไทยจัดเป็นรัฐฆราวาสหรือไม่? (มีผู้รู้แสดงความคิดเห็นในกรณีนี้ไว้หลายมติ) อย่างไรก็ดีข้าพเจ้าผู้เขียนเห็นด้วยกับแนวคิดการปกครองแบบรัฐฆราวาสที่ให้เสรีภาพการตีความทางศาสนา ไม่ใช้กลไกทางกฎหมายเข้าควบคุม เนื่องด้วย มองว่าการตีความคำสอนศาสนาเป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ตราบใดที่ไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนซึ่งเป็นหลักการสากล และไม่เห็นด้วยกับการใช้กลไกกฎหมายดำเนินการฟ้องร้องน้องนักศึกษาศิลปินผู้เขียนภาพในกรณีนี้  ข้าพเจ้าผู้เขียนใคร่ขอให้ท่าน ดร.จรูญ ลองจินตนาการว่าเมื่อมีชาวพุทธกลุ่มอื่นที่ไม่ได้เชื่อว่า “ศาสนาพุทธสอนให้ยึดติด” เช่นเดียวกับท่าน แล้วเขาออกมาดำเนินการฟ้องร้องท่านว่ากระทำให้พระสัทธัมปฏิรูป บิดเบือนคำสอนพระพุทธเจ้า ทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา จนกระทั่งต้องเป็นความขึ้นโรงขึ้นศาลมีประวัติติดตัวเหมือนดังที่ท่านฟ้องร้องน้องนักศึกษาผู้วาดรูป (ด้วยข้อหาหมิ่นศาสนาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 206) แล้วท่านจะคิดเห็นและรู้สึกอย่างไรต่อสภาพเช่นนั้น? ในฐานะที่ท่านแสดงตนเป็นตัวแทนชาวพุทธขอให้ท่านได้ลองใครครวญ “เอาใจเขามาใส่ใจเรา” ดังพระบาลีที่ว่า

 

สพฺเพ ตสนฺติ ทณฺฑสฺส   สพฺเพสํ ชีวิตํ ปิยํ

อตฺตานํ อุปมํ กตฺวา         น หเนยฺย น ฆาตเย.

 

สรรพสัตว์ย่อมหวาดหวั่นต่อการถูกทำร้าย

ชีวิตย่อมเป็นที่รักของสรรพสัตว์

บุคคลเปรียบเทียบตนกับคนอื่นแล้ว

ไม่ควรทำร้ายหรือฆ่าใคร ทั้งไม่ควรให้ใครทำด้วย

 

(อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐ ที่มา http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=20&p=2)

สุดท้ายแล้วบทความนี้อาจไม่มีคำตอบสำเร็จรูปโดยตรงตามหลักการพระศาสนาให้กับคำถามในหัวเรื่องที่ว่า เหตุใดพุทธศาสนาจึงสอนให้ “ยึดติด” ? (ข้าพเจ้าผู้เขียนมองว่า ผู้ที่จะตอบคำถามนี้ต่อสังคมควรเป็น ดร.จรูญ ตัวแทนกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ผู้แสดงความเห็นในกรณีนี้) ดังนั้นแล้วคำถามนำในชื่อของบทความนี้ อาจต้องตั้งใหม่ว่า ทำไม “คนบางกลุ่มในสังคม” ถึงมองว่า “ศาสนาพุทธ” สอนให้ “ยึดติด”? เสียมากกว่า

 

 

อ้างอิง

“'ชาวพุทธพลังแผ่นดิน' แจ้งความ นศ. เฉลิมชัยโดนด้วย ชี้พระพุทธเจ้าบอกให้ยึดติด”, ประชาไท. (2562, 11 กันยายน). ประชาไท. [เว็บไซต์]. สืบค้นจาก https://prachatai.com/journal/2019/09/84273

พิพัฒน์ พสุธารชาติ. (2549). รัฐกับศาสนา บทความว่าด้วยอาณาจักร ศาสนจักร และเสรีภาพ, พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: ศยาม

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. (2504). เทศนาเสือป่า ๑๗ กัณฐ์. (ไม่ระบุสถานที่พิมพ์). [ไฟล์อิเล็กทรอนิกส์]. สืบค้นจาก https://archive.org/details/170000unse_h3p5/page/120

พระไพศาล วิสาโล. (2552). พุทธศาสนาไทยในอนาคต แนวโน้มและทางออกจากวิกฤต,พิมพ์ครั้งที่ 2 . กรุงเทพ: มูลนิธิโกมลคีมทอง

สุรพศ ทวีศักดิ์. (2556). 6 ตุลา “ฆ่าคอมมิวนิสต์ไม่บาป”, ประชาไท. (2556, 4 ตุลาคม). ประชาไท. [เว็บไซต์]. สืบค้นจาก https://prachatai.com/journal/2013/10/49085

“อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท ทัณฑวรรคที่ ๑๐”. พระไตรปิฎก. [เว็บไซต์]. สืบค้นจาก http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=20&p=2

 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net