ศาลฎีกาสหราชอาณาจักรมีคำตัดสินเอกฉันท์ ให้การตัดสินใจของนายกฯ บอริส จอห์นสัน ขอพระราชทานราชินีเสด็จฯ ปิดประชุมสภา 2 สัปดาห์นั้นผิดกฎหมายและเป็นโมฆะ เหตุ กระทบพื้นฐานประชาธิปไตยและการทำงานของสภาตามรัฐธรรมนูญ คาด ส.ส. มีเวลาไปทำเรื่อง 'เบร็กซิท' เพิ่มก่อนเส้นตาย 31 ต.ค. 62
บอริส จอห์นสัน นายกฯ สหราชอาณาจักรคนปัจจุบัน (ที่มา:วิกิพีเดีย)
24 ก.ย. 2562 บีบีซีรายงานว่า ศาลฎีกาของสหราชอาณาจักรมีคำตัดสินให้การระงับการประชุมรัฐสภาของนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน เป็นระยะเวลาราว 2 สัปดาห์เพื่อเปิดประชุมวาระสมัยใหม่ กระทบต่อหลักการประชาธิปไตยและถือว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย
ทางรัฐสภาอังกฤษระบุว่า กำลังประมวลผลคำพิพากษา โดยเลดี เฮล ประธานศาลฎีการะบุเกี่ยวกับผลคำตัดสินว่าพฤติกรรมของบอริสมี "ผลต่อพื้นฐานแห่งประชาธิปไตยของพวกเราอย่างรุนแรง"
"การตัดสินใจให้สมเด็จพระราชินีมาปิดสมัยประชุม (prorogue) ไม่ถูกต้องตามกฎหมายเพราะว่ามันไปมีผลถึงการก่อกวนหรือขัดขวางรัฐสภาในการทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญโดยอย่างไม่มีสาเหตุที่มีเหตุผล"
เลดี เฮลกล่าวว่าองค์คณะผู้พิพากษาจำนวน 11 คนลงมติอย่างเอกฉันท์ให้การปิดสมัยประชุมสภาเป็นโมฆะ คือไม่มีผลทางกฎหมาย ถือเสมือนว่าไม่เคยมีการปิดสมัยประชุมสภาโดยบอริสเกิดขึ้น และประธานสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป
จอห์น เบอร์คาว ประธานสภาผู้แทนราษฎรยินดีกับคำตัดสินของศาล และเขาจะปรึกษาหารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองอย่างเร่งด่วนต่อไป ในขณะที่เจเรมี คอร์บิน หัวหน้าพรรคแรงงานที่เป็นฝ่ายค้าน ระบุว่าบอริสควรพิจารณาเรื่องการยังดำรงอยู่ในตำแหน่งนายกฯ เอียน แบล็คฟอร์ด หัวหน้าพรรคแห่งชาติสกอตติชก็เรียกร้องให้บอริสลาออกเช่นกัน
คำตัดสินของศาลอาจนำไปสู่การกลับมาประชุมสภาอีกครั้ง เป็นโอกาสให้รัฐสภาสามารถจัดทำรายละเอียดการออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ได้อีกครั้งก่อนเส้นตายในวันที่ 31 ต.ค. 2562 จากเดิมที่สภาจะไม่มีการประชุมจนถึง 14 ต.ค.
การระงับการประชุมสภาที่บอริสกระทำไปนั้นเป็นอำนาจตามกฎหมายของฝ่ายบริหาร แต่ก็สร้างกระแสความไม่พอใจทั้งในสภาและสาธารณชนอย่างมาก เนื่องจากเส้นตายของการออกจากอียูใกล้เข้ามา แต่สภายังไม่สามารถผ่านข้อตกลงรายละเอียดต่างๆ ในการออกจากอียู หรือที่เรียกว่า "ข้อตกลงการถอนตัว (Withdrawal Agreement)" ได้
ไคลฟ์ โคลแมน นักข่าวสายกฎหมายของบีบีซีวิเคราะห์ว่าคำตัดสินของศาลฎีกาสะท้อนความเป็นอิสระของฝ่ายตุลาการในการวินิจฉัยพฤติกรรมของนายกฯ ในช่วงที่สหราชอาณาจักรกำลังประสบภาวะวิกฤตจากความพยายามจะออกจากสหภาพยุโรป
ขณะนี้การทำงานของรัฐสภามีความสำคัญต่อ ‘เบร็กซิท’ มาก เพราะสภาจะต้องพิจารณาและลงมติรับรองให้มีเอกสารข้อตกลงการถอนตัว (Withdrawal agreement) ที่เป็นข้อตกลงที่จะอธิบายรายละเอียดทางกฎหมายหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นสถานภาพของคนอียูในสหราชอาณาจักร หรือคนสหราชอาณาจักรที่อยู่ในประเทศกลุ่มอียู มาตรการช่วยเหลือภาคธุรกิจในการปรับตัวจากการออกจากระบบตลาดและภาษีเดียว (การนำเข้า-ส่งออกสินค้าเสรี เก็บภาษีเท่ากัน) ของอียู ไปจนถึงเงินที่สหราชอาณาจักรต้องจ่ายให้กับอียูในการถอนตัว นอกจากนั้นยังจะต้องมีการทำข้อตกลงที่ไม่มีผลผูกพันทางกฎหมายอย่างปฏิญญาความสัมพันธ์ระหว่างสหราชอาณาจักรและอียูอีกด้วย
ที่ผ่านมา ร่างข้อตกลงการถอนตัวถูกมติสภาตีตกไปแล้วถึง 3 ครั้งในสมัยรัฐบาลเธเรซา เมย์ หากถึง 31 ต.ค. สภาฯ ยังไม่มีมติรับรองร่างข้อตกลงฯ สหราชอาณาจักรจะต้องออกจากอียูไปแบบไม่มีข้อตกลงรองรับหรือที่เรียกกันว่า ‘โนดีลเบร็กซิท (No deal Brexit)’ ที่มีการคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจอย่างมาก เพราะการออกจากระบบตลาดเดียวชั่วข้ามคืนนั้นอาจตามมาด้วยภาวะคอขวดในการตรวจสอบสินค้าเข้า-ออกสหราชอาณาจักร และอาจกระทบกับปากท้องของประชาชนสหราชอาณาจักรที่ปัจจุบันพึ่งพาอาหารจากอียูถึงร้อยละ 30
รายละเอียดในร่างข้อตกลงฯ ที่เป็นที่ถกเถียงกันมาตลอดจนไม่สามารถมีมติรับรองในสภาได้ คือเรื่องของเขตแดนระหว่างพื้นที่รอยต่อระหว่างไอร์แลนด์เหนือของสหราชอาณาจักร และสาธารณรัฐไอร์แลนด์ที่เป็นสมาชิกอียูอันเป็นเขตแดนทางภาคพื้นดินแห่งเดียวที่มี หรือที่เรียกว่า Backstop ที่จะยังคงปล่อยให้พื้นที่รอยต่อนั้นไม่มีเขตกั้น ด่านตรวจ หรือการตรวจตราสินค้าระหว่างกันเหมือนเดิม นอกจากนั้น ไอร์แลนด์เหนือยังจะมีสถานภาพผูกพันทางกฎหมายบางส่วนในระบบตลาดเดียว หากสหราชอาณาจักรไม่สามารถมีข้อตกลงการค้าเสรีกับอียูได้หลังจากมีเบร็กซิท รายละเอียดเหล่านี้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจกระทบถึงการคงอยู่ของสหราชอาณาจักรอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หากไอร์แลนด์เหนือมีเอกสิทธิ์ทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าส่วนอื่นๆ ของประเทศ
แปลและเรียบเรียงจาก
Supreme Court: Suspending Parliament was unlawful, judges rule, BBC, Sep. 24, 2019
UK Supreme Court rules Boris Johnson's suspension of Parliament unlawful, Euronews via Reuters, Sep. 24, 2019