Skip to main content
sharethis

นักเศรษฐศาสตร์ชี้ผลกระทบสงครามการค้าจีนสหรัฐฯ ปรับตัวในทิศทางดีขึ้น แต่จะยังไม่ยุติในเร็ววัน หวั่นการสร้างวาทกรรมเกลียดชังและแบ่งแยกคนไทยกระทบต่อบรรยากาศการเจรจาหารือ สร้างปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองไทยภายในเพิ่มขึ้น กระทบความเชื่อมั่นของภาคการลงทุนและภาคการบริโภค


ที่มาภาพประกอบ: Wutthichai Charoenburi (CC BY 2.0)

13 ต.ค. 2562 ผศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป สถาบันเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ได้ประเมินว่าปัจจัยเสี่ยงจากผลกระทบสงครามการค้าจีนสหรัฐฯ ล่าสุดปรับตัวในทิศทางดีขึ้นบ้าง การเจรจามีความคืบหน้าเลื่อนการขึ้นกำแพงภาษีออกไปก่อน แต่การยุติลงของการกีดกันทางการค้าจะไม่เกิดขึ้นในเร็ววันและยังมีความไม่แน่นอนสูง ส่งผลลบต่อระบบการค้าโลกและการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกต่อไป สหรัฐฯ มีกำหนดเพิ่มการเรียกเก็บภาษีต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 2.5 แสนล้านดอลลาร์ สู่ระดับ 30% ในวันที่ 15 ต.ค. จากเดิมที่ระดับ 25% และมีกำหนดเก็บภาษี 15% ต่อสินค้านำเข้าจากจีนวงเงิน 1.6 แสนล้านดอลลาร์ในวันที่ 15 ธ.ค. โดยมีการเลื่อนการปรับขึ้นภาษีนำเข้าออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม สงครามทางการค้าและประเด็นทรัพย์สินทางปัญญาในสินค้าไฮเทค รวมทั้งการขัดแย้งกรณีฮ่องกงจะยังคงยืดเยื้อและสร้างความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกต่อไป 

ทั้งนี้สหรัฐฯ ยังอยู่ในสถานะที่ได้เปรียบจีนในการเจรจาทางการค้า เพราะจีนต้องพึ่งพิงสหรัฐฯ มากกว่าสหรัฐฯ พึ่งพิงจีนในทางการค้ามีผลวิจัยบ่งชี้ว่าหากสงครามทางการค้ายืดเยื้อต่อไป สหรัฐฯจะเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 5-10% ของจีดีพี แต่จีนจะเสียหายมากถึง 25-30% ของจีดีพี และเงินสำรองระหว่างประเทศของประเทศต่างๆ ยังถือในรูปสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯมากกว่า 65-70% และยังคาดการณ์ว่าดอลลาร์สหรัฐฯจะยังคงเป็นเงินสกุลหลักของระบบการเงินโลกไปอีกนาน ขณะที่เงินหยวนเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศเพียงแค่ 1-3% เท่านั้น ส่วนจีนมีข้อได้เปรียบ คือ มีฐานะทางการคลังที่ดีกว่าสหรัฐฯ มากและสามารถนำมาตรการทางการคลังมากระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่หากได้รับผลกระทบจากความยืดเยื้อของสงครามทางการค้า และจีนมียุทธศาสตร์ชัดเจนในการขยายบทบาทในเวทีการเมืองและเศรษฐกิจระหว่าประเทศโดยเฉพาะผ่านนโยบาย one belt one road และมีความมุ่งมั่นอย่างชัดเจนในการเป็นผู้นำในเทคโนโลยีแห่งอนาคต มีแผนยุทธศาสตร์อุตสาหกรรม 2025 และแผน AI2030 การที่สหรัฐฯ ขึ้นบัญชีดำบริษัทไฮเทคของจีนโดยกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนกลุ่มน้อยหรือ NBA ถูกบอยคอยจากจีนเป็นผลจากการให้สัมภาษณ์สนับสนุนผู้ชุมนุมประท้วงในฮ่องกง ล้วนเห็นแนวโน้มอย่างชัดเจนว่าได้มีการนำเอาประเด็นสิทธิมนุษยชนและประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวพันกับการตอบโต้กันทางเศรษฐกิจมากขึ้น 

นอกจากนี้นโยบายกำกับการใช้ Big Data กลุ่มชาติตะวันตกจะมีฐานคิดเรื่องการคุ้มครองเจ้าของ Data คือประชาชนมากกว่าจีน กลุ่มประเทศในยุโรปได้ออกกฎหมาย General Data Protection Regulation ขณะที่หลายคนวิตกกังวลว่าในประเทศที่มีระบอบการปกครองแบบอำนาจนิยม รัฐบาลอาจร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีเพื่อใช้ในการกำกับควบคุมเสรีภาพของประชาชน การที่รัฐบาลร่วมมือกับบริษัทเทคโนโลยีดิจิทัลก็อาจจะมีประโยชน์มากในการนำไปสู่การพัฒนาประสิทธิภาพและประสิทธิผลของนโยบายต่างๆ โดยต้องอยู่บนหลักการเคารพในเรื่องสิทธิมนุษยชนและสิทธิเสรีภาพ อย่างเทคโนโลยีจดจำใบหน้า (Facial Recognition) สามารถตรวจจับคนร้ายได้อย่างรวดเร็ว 

ส่วนในเรื่องทิศทางดอกเบี้ยโลกนั้น คาดธนาคารกลางสหรัฐอาจปรับลดดอกเบี้ยลงอีก 0.25% ปลายเดือนตุลาคม กดดันให้เงินบาทแข็งค่าแตะระดับ 29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ได้ ส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกได้ ธุรกิจส่งออกจึงต้องทำประกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน ขณะเดียวกันการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มขึ้นอีกเป็นโอกาสของการนำเข้าวัตถุดิบ เครื่องจักรอุปกรณ์เพื่อการลงทุน   

ผศ.ดร.อนุสรณ์ ย้ำว่าปัจจัยเสี่ยงภายนอกจากเศรษฐกิจโลกเป็นสิ่งที่เราควบคุมไม่ได้ ส่วนปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองในประเทศเราสามารถควบคุมได้หากทุกภาคส่วนปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดหลักนิติรัฐนิติธรรม เคารพหลักการประชาธิปไตย ยึดความปรองดองสมานฉันท์ ไม่มองคนเห็นต่างเป็นศัตรู มองความหลากหลายทางความคิดเป็นเรื่องปรกติ เสรีภาพทางวิชาการและสื่อมวลชนที่มีการใช้อย่างรับผิดชอบจะทำให้เกิดภูมิปัญญาในการหาทางออกให้ประเทศ ควรเปิดกว้างให้สังคมสามารถถกเถียงกันได้ด้วยเหตุผลในทุกเรื่อง

“หวั่นปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองภายในเพิ่มขึ้น หวั่นการสร้างสถานการณ์ สร้างวิกฤตเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจนอกวิถีทางรัฐธรรมนูญ สภาวะดังกล่าวจะกระทบความเชื่อมั่นของภาคการลงทุนและภาคการบริโภค และอาจนำประเทศไปสู่วิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองได้ การสร้างวาทกรรมเกลียดชังและแบ่งแยกคนไทยกระทบต่อบรรยากาศการเจรจาหารือถกแถลงเพื่อสร้างประชาธิปไตยผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทุกภาคส่วนควรร่วมกันสร้างความปรองดองสมานฉันท์เพื่อปฏิรูปประเทศให้คุณภาพชีวิตของประชาชนดีขึ้น และ จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระยะยาว”  ผศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวทิ้งท้าย
 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net