นิธิ เอียวศรีวงศ์: ตลกประยุทธ์

ประชาไททำหน้าที่เป็นเวที เนื้อหาและท่าที ความคิดเห็นของผู้เขียน อาจไม่จำเป็นต้องเหมือนกองบรรณาธิการ

“คุณประยุทธ์เป็นคนตลก” หลายคนพูดอย่างนั้น ดูเหมือนคุณประยุทธ์เองในบางครั้งก็อยากเสนอตัวเองให้มีภาพอย่างนั้นด้วย เพราะตลกสร้างความเป็นกันเองได้ง่ายที่สุดในวัฒนธรรมไทย (ถ้าสามารถทำให้คู่สนทนาขำได้ ซึ่งยากที่สุด) แต่ความสามารถในการเป็นคนตลกของคุณประยุทธ์นั้นมีหลายความหมายมาก ขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นคนพูด เพราะคำว่า “ตลก” ในภาษาไทยก็มีหลายความหมายมากเหมือนกัน

ทำไมตลกของคุณประยุทธ์จึงมีหลายความหมายเช่นนั้น พอมีทางอธิบายให้เป็นเรื่องเดียวกันหรือความหมายเดียวกันได้หรือไม่ ผมคิดว่าพอทำได้นะครับ และผมจะลองพยายามทำดูในที่นี้

นักปราชญ์กรีกคนหนึ่งพูดเป็นทำนองว่า ตลกคือช่องว่างของระเบียบ กว่าผมจะเข้าใจความหมายของมันก็เล่นเอาแก่ไปเลย

ตัวอย่างหนึ่งที่มักจะยกขึ้นอธิบายคำกล่าวนี้ก็คือ คนเดินเหยียบเปลือกกล้วยล้มก้นจ้ำเบ้า (ผมไม่พบคำนี้ในพจนานุกรมฉบับมติชน แต่ความหมายตามความเข้าใจของผมคือล้มหงายหลังก้นกระแทกพื้น) ก่อให้เกิดความขบขันแก่ผู้พบเห็น

อะไรคือ “ช่องว่าง” ของระเบียบที่เกิดขึ้น คิดง่ายสุดก็คือคนเดินด้วยขา จะหยุดพักก็หยุดอยู่บนขาหรือนั่งลง นี่คือ “ระเบียบ” ที่เราเคยชิน การลื่นไถลลงก้นกระแทกพื้น ไม่อยู่ใน “ระเบียบ” ดังกล่าว เป็นช่องว่างของระเบียบที่ไม่มีใครคาดคิด จึงน่าขบขัน แต่ถ้าเข้าใจ “ระเบียบ” เพียงเท่านี้ ตลกคือสิ่งที่ไม่คาดคิดเท่านั้น ที่จริงแล้ว “ระเบียบ” มีความซับซ้อนกว่านั้นมาก

ลองคิดอย่างนี้นะครับ หากเด็กวิ่งเล่นแล้วเหยียบเปลือกกล้วยล้มก้นกระแทก ก็ตลกเหมือนกันแต่ไม่มากเท่าผู้ใหญ่ ถ้าผู้ใหญ่ที่เป็นชาวบ้านทั่วไป ถึงจะขำมากขึ้นก็จริง แต่ก็ไม่ขำเท่ากับที่เกิดกับคนมีตำแหน่งสูงๆ ในสังคม อาจอยู่ในชุดสูตรครบชุด หรืออยู่ในชุดปรกติขาวของราชการ นั่นกลับจะขำกันทั่วไปทั้งสังคม คงมีคลิปให้ดูในสื่อโซเชียลไปหลายวัน

แต่ตรงกันข้าม หากเป็นคนแก่งกเงิ่น ผู้หญิงท้อง ผู้หญิงอุ้มลูกเล็ก ล้มก้นจ้ำเบ้าต่อหน้า ไม่มีใครขำอีกแล้ว กลับกุลีกุจอไปช่วยพยุงด้วยความห่วงใยว่าเจ็บตรงไหน จะไปโรงพยาบาลหรือไม่

ถ้าตลกคือช่องว่างของ “ระเบียบ” ระเบียบดังกล่าวไม่ได้เป็นไปตามกฎธรรมชาติ (เช่น คนเคลื่อนที่บนขา) แต่เป็นระเบียบทางสังคมซึ่งถูกกำหนดขึ้นด้วยวัฒนธรรม ทำให้แต่ละสังคมมองเรื่องอะไรว่าตลกหรือไม่ต่างกัน หรือแม้ในสังคมเดียวกัน แต่ละยุคสมัยก็มองตลกไม่เหมือนกัน เพราะวัฒนธรรมเปลี่ยนไปแล้ว

ตลกเล่นคำเล่นสำนวน ซึ่งคนไทยถนัด ก็เป็นช่องว่างของระเบียบอย่างเห็นได้ชัด เพราะภาษาเป็นระเบียบอันใหญ่ซึ่งทุกคนต้องถูกบังคับให้อยู่ในอำนาจของมัน ไม่อย่างนั้นก็สื่อสารกับใครไม่ได้ ระเบียบที่ใครๆ ก็ต้องใช้เช่นนั้น ย่อมเป็นธรรมดาที่มีช่องว่างแยะ และสามารถเอามาทำตลกได้ต่างๆ นานา

ฉะนั้น เมื่อพูดถึงตลกเมื่อไร ก็มักส่อนัยยะถึง “ระเบียบ” อันใดอันหนึ่งเสมอ

และด้วยเหตุดังนั้น เท่าที่ผมเข้าใจ ตลกจึงจัดการกับ “ระเบียบ” ได้สองวิธี หนึ่งคือตกจาก “ระเบียบ” อันเป็นที่ยอมรับไป เช่นลื่นหกล้มก้นกระแทก หรือจำอวดตีหัวหน้าม่าน ซึ่งอาจตั้งใจ “ตก” จากระเบียบตั้งแต่เครื่องแต่งกาย ไปจนถึงภาษาพูด อีกวิธีหนึ่งคือ การเอาระเบียบซึ่งเป็นที่ยอมรับกันนั่นแหละมาพลิกกลับให้เห็นช่องว่างอันใหญ่ ซึ่งตรงตามความเป็นจริงของชีวิตกว่า หรือตรงตามบางส่วนของความปรารถนาในใจคน (เราปรารถนาและใฝ่ฝันสิ่งที่ตรงข้ามกันเสมอ แต่หลายครั้งมักไม่แสดงความใฝ่ฝันที่ไม่ตรงกับ “ระเบียบ” ตามความคาดหวังของคนอื่น)

ในทางปฏิบัติ ตลกในการแสดงต่างๆ ในปัจจุบัน มักผสมปนเปการจัดการกับ “ระเบียบ” ทั้งสองวิธี เช่น ชาร์ลี แชปลิน แต่งกายและมีบุคลิกภาพที่ “ตก” ระเบียบอย่างชัดเจน แต่ในขณะเดียวกัน เขามักเสี่ยงภัยช่วยเหลือผู้อ่อนแอ, ผดุงความยุติธรรม และเป็นตัวแทนของคนเล็กๆ ที่น่าเยาะหยัน ซึ่งต่อสู้กับ “ระเบียบ” ที่ไม่ให้ความเป็นธรรมแก่คนเหล่านี้

ตลกไทยเช่น “ก่อนบ่ายคลายเครียด” ก็เล่นกับช่องว่างของ “ระเบียบ” ไปพร้อมกันกับการ “ตก” ระเบียบ แต่ระเบียบในเมืองไทยได้รับการคุ้มกันจากรัฐอย่างหนาแน่นเสียจนตลกไทยไม่ค่อยกล้าล้อเล่นกับ “ระเบียบ” ไปได้ไกลนัก

ทั้งหมดนี้นำผมมาสู่เรื่องของตัวตลกในหนังชวาตัวหนึ่ง ซึ่งรู้จักกันดีและเป็นเรื่องที่นักวิชาการศึกษากันมามาก (จึงทำให้ผมสามารถพูดถึงได้ เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญหนังชวา) ผมขอเล่าเรื่องของตลกตัวนี้เพื่อทำให้ประเด็นที่ผมพูดข้างต้นนั้นกระจ่างขึ้น

ตัวตลกดังกล่าวนั้นชื่อเสอะมาร์ (Semar) เป็นที่รู้จักคุ้นเคยของชาวชวาเหมือนกับ “อ้ายเท่ง” ในหนังตะลุงไทย และก็เป็นตัวตลกตามพระตามนางเหมือนกัน แต่เสอะมาร์ถูกเสนอในหนังเหมือนเป็นคน “โง่” คือไม่เข้าใจ “ระเบียบ” อันเป็นที่รู้จักคุ้นเคยและยอมรับของคนทั่วไปสักที ดังเช่นพระอรชุนในมหาภารตยุทธซึ่งพร้อมจะผดุงความเป็นธรรมอย่างไม่มีข้อแม้ในทุกกรณี แม้ต้องเสี่ยงชีวิตหรือสูญเสียอย่างไรก็ตาม แต่เสอะมาร์ซึ่งเป็นตัวตลกตามพระกลับท้วง, ถาม, หรือแทรก ให้ผู้ชมคิดถึงประโยชน์ส่วนตนมากกว่าการผดุงความเป็นธรรม เช่น ระหว่างการทำสงครามกับการนอนกกเมียอยู่บ้าน นอนกกเมียไม่มีใครต้องตายสักคน

ดังที่กล่าวแล้วว่า “ระเบียบ” คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น โดยพระเจ้าหรือมนุษย์ก็ตาม เพื่อประโยชน์โดยรวมของมนุษยชาติ “ระเบียบ” จึงไม่ใช่ธรรมชาติของมนุษย์ “ระเบียบ” เป็นสิ่งที่ตลกเมื่อมองจากความเป็นคน หรือกลับกัน ความเป็นคนก็เป็นเรื่องตลก เมื่อมองจาก “ระเบียบ”

ตลกของเสอะมาร์เตือนผู้ชมให้คิดถึงอีกด้านหนึ่งของอุดมคติเสมอ

 

เผยแพร่ครั้งแรกใน: มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 11 - 17 ตุลาคม 2562

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท