ก่อนหน้าวันครบรอบ 70 ปีสาธารณรัฐประชาชนจีน สำนักงานคณะกรรมการข้อมูลข่าวสารของรัฐได้เผยแพร่รายงานเกี่ยวกับความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนในจีน ไม่พูดถึงเหตุการณ์เทียนอันเหมิน และการปฏิวัติวัฒนธรรมแต่อย่างใด องค์กรสื่อระดับนานาชาติตอบโต้ว่าเป็นแค่ "ควันพรางตา" เพื่อปกปิดความเลวร้ายด้านสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพสื่อในประเทศตัวเอง
ธงชาติจีน (ที่มา:publicdomaipictures.net)
รายงานของจีนที่ชื่อว่า "แสวงหาความสุขสำหรับประชาชน 70 ปีแห่งความก้าวหน้าด้านสิทธิมนุษยชนในจีน" ออกมาเมื่อช่วงปลายเดือน ก.ย. 2562 ก่อนหน้าการเฉลิมฉลองครบรอบ 70 ปี การสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน รายงานฉบับดังกล่าวนี้ระบุนิยามสิทธิมนุษยชนว่าหมายถึงการที่คนจะมีความสุขและการพัฒนา ขณะที่นิยามจากปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนซึ่งออกมาในปี 2491 ไม่ได้มีพื้นฐานเน้นในสองเรื่องนี้ แต่เป็นไปเพื่อยืนยันสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานในฐานะมนุษย์
อย่างไรก็ดี เหตุการณ์สลายการชุมนุมที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 และความรุนแรงในเหตุการณ์ที่คนจีนเข่นฆ่ากันเองในเหตุการณ์การปฏิวัติวัฒนธรรมภายใต้รัฐบาลเหมาเจ๋อตุงในช่วงปี 2509-2519 ไว้เลย
มีการวิพากษ์วิจารณ์โต้ตอบรายงานฉบับนี้จากองค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน ซึ่งเป็นองค์กรด้านเสรีภาพสื่อนานาชาติ พวกเขาระบุว่ารายงานของจีนเป็นแค่ "ควันพรางตา (Smokescreen)" เพื่อปกปิดประวัติเลวร้ายของด้านเสรีภาพสื่อและด้านสิทธิมนุษยชนของจีนเอง
รัฐบาลจีนเสนอในรายงานว่าพวกเขาได้ "พัฒนาด้านสิทธิมนุษยชน" โดยอ้างอิงถึงตัวเลขทางเศรษฐกิจ การพัฒนาสังคม และการลดความยากจน สื่อซินหัวของรัฐบาลจีนระบุถึงเรื่องนี้ว่า "ในช่วง 7 ทศวรรษที่ผ่านมา ชาติจีนได้ยืนหยัดและเติบโตอย่างมั่งคั่ง และกลายเป็นประเทศเข้มแข็ง สิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนได้รับการเคารพและคุ้มครอง นอกจากนี้จีนยังได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนประเด็นเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชนของนานาชาติด้วย"
ในรายงานของจีนยังอ้างอีกว่าในยุคใหม่ที่จะมาถึงจีนจะ "ยังคงรักษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม สื่อสารและเรียนรู้จากอารยธรรมอื่นๆ และทำงานร่วมกับประชาคมโลกเพื่อการพัฒนาและความเฟื่องฟู"
แต่ทว่าเรื่องที่ทางการจีนกล่าวอ้างในรายงานสิทธิมนุษยชนนี้ก็ขัดกับสิ่งที่พวกเขาถูกวิพากษ์วิจารณ์จากนานาชาติมาโดยตลอด เช่น ในเรื่องชนกลุ่มน้อยทางการจีนระบุว่าพวกเขาให้การคุ้มครองชนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติเป็นอย่างดีโดยอ้างจากตัวเลขจีดีพีในพื้นที่มองโกเลียตอนใน กวางสี ทิเบต หนิงเซีย และซินเจียง เสรีภาพในการใช้ภาษาถิ่น ไปจนถึงอัตราการเข้าถึงการศึกษา และไม่ได้พูดถึงประเด็นที่ถูกวิจารณ์ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนในทิเบตและซินเจียง
เซดริค อัลวิอานี หัวหน้าสำนักงานเอเชียตะวันออกขององค์กรผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนเรียกร้องให้ประชาคมโลกอย่าได้หลงเชื่อรายงานของจีน โดยบอกว่ารายงานของจีนนั้นเป็น "ข้อเขียนที่จงใจทำให้คนไขว้เขวเกี่ยวกับพัฒนาการของสิทธิมนุษยชนตามแบบที่นิยามไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ซึ่งจีนที่เป็นหนึ่งในประเทศลงนามให้สัตยาบันทำการละเมิดอยู่ทุกวัน"
ผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนระบุในแถลงข่าวเกี่ยวกับเรื่องการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของจีนว่า "จีนเป็นคุกขนาดใหญ่ที่สุดในโลกสำหรับนักข่าว มีผู้ต้องขัง (ที่เป็นนักข่าว) อย่างน้อย 115 ราย ที่มีโอกาสจะประสบชะตากรรมเดียวกันกับผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพหลิวเสี่ยวโปและบล็อกเกอร์หยางถงเยี่ยน ทั้งคู่เสียชีวิตในปี 2560 จากโรคมะเร็งที่ไม่ได้รับการรักษาขณะอยู่ในเรือนจำ นอกจากนี้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 850 ล้านรายที่ถูกกีดกันออกจากชุมชนนานาชาติจากระบบเซนเซอร์และการสอดแนมทางเทคโนโลยีซึ่งจะจำกัดความสามารถของพวกเขาในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้อย่างอิสระ"
นอกจากผู้สื่อข่าวไร้พรมแดนแล้ว ผู้ใช้ทวิตเตอร์ยังตั้งข้อสังเกตว่ารายงานของจีนละเลยเรื่องความทุกข์ร้อนของประชาชนในประเทศตัวเองรวมถึงหายนะอย่างเหตุการณ์สังหารหมู่ที่จัตุรัสเทียนอันเหมินในปี 2532 มีหลายคนล้อเลียนเสียดสีการโฆษณาชวนเชื่อของทางการจีนด้วยการโพสต์มีมตัวละครวินนี่เดอะพูห์ ซึ่งเป็นตัวละครที่ถูกเซนเซอร์หลังจากที่มีชาวเน็ตแสดงความคิดเห็นว่าสีจิ้นผิงดูคล้ายหมีพูห์ในรูปที่เขาถ่ายร่วมกับอดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา
ในเว่ยป๋อ (Weibo) เว็บโซเชียลมีเดียของจีน ที่มีการกำกับเซนเซอร์อย่างหนักจากทางการจีน มีผู้ใช้งานพากันโพสต์แสดงการสนับสนุนรายงานสิทธิมนุษยชนของจีน เช่น อ้างว่า "อารยธรรมจีนและค่านิยมตะวันตกเป็นแนวคิด 2 แนวคิดที่แยกจากกัน และนิยามสิทธิมนุษยชนก็แตกต่างกันด้วย" บ้างก็อ้างว่า "ประชาชนจีนเท่านั้นที่มีสิทธิพูดถึงสิทธิมนุษยชนในจีน"
สื่อโกลบอลวอยซ์ก็รายงานว่าโซเชียลมีเดียของจีนที่มีลักษณะการกำกับควบคุมอย่างเข้มงวดนั้นเป็นเสมือน "ฟ้องเสียงสะท้อน" ที่เต็มไปด้วยความเห็นแบบเดียวกันไม่มีการอภิปราย มีแต่การยกย่องว่าระบบการเมืองและเศรษฐกิจของจีนเท่านั้นที่ดีเลิศล้ำหน้ากว่าที่อื่นๆ ของโลก รวมถึงพยายามกระจายโฆษณาชวนเชื่อว่าจีนเป็น "ประเทศเข้มแข็ง" สู่สายตาชาวโลก
มีนักเขียนการ์ตูนการเมืองที่รู้สึกไม่พอใจการสร้างภาพลักษณ์เหมือน "โรยด้วยกลีบกุหลาบ" จากพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่เขามองว่าขัดกับสภาพความเป็นจริง เขาเขียนการ์ตูนเสียดสีเปรียบเทียบโฆษณาชวนเชื่อของทางการจีนเปรียบเสมือนยาเสพติดที่บีบบังคับให้ประชาชนของตัวเองต้องเสพย์เข้าไป
เรียบเรียงจาก
Press freedom watchdog dismisses China’s '70 Years of Progress on Human Rights’ as ‘smokescreen’, Global Voices, Sep. 29, 2019
For its 70th anniversary, the Chinese regime masquerades as a champion of human rights, Reporters Without Borders, Sep. 26, 2019
Full Text: Seeking Happiness for People: 70 Years of Progress on Human Rights in China, Xinhua, Sep. 22, 2019
China issues white paper on human rights progress over 70 years, Xinhua, Sep. 22, 2019