มองอนาคตใหม่ภายใต้สถานการณ์ปริแยกในมุมของข้าพเจ้า ดร.ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ (23 ตุลาคม 2562)
1) เป็นการคาดการณ์แล้วว่าจะเกิดการปริแยกขึ้น เพราะสมาชิกและผู้สมัครมาจากความหลากหลาย แม้จะมีธงต่ออนาคตร่วมกัน แต่มีความต่างในรายละเอียดและวิธีคิด เพราะภูมิหลังประชากรที่หลากหลาย เพศ อายุ ภูมิหลังพ่อแม่ภริยา การศึกษา โรงเรียน การบ่มเพาะ อาชีพ รายได้ ทัศนะต่อชีวิตและต่อโลก ฯลฯ หรือ ส.ส.หลายคนยังไม่รู้ประวัติศาสตร์การเมืองไทยหรือรู้ในแบบที่คนไทยส่วนใหญ่รับรู้เท่านั้น
2) ความเป็นคนรุ่นใหม่ เมื่อเสร็จเลือกตั้ง ทั้ง ส.ส. ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อ แทบไม่รู้จักชื่อกันเลย ยิ่งความคิดความเชื่อและการปฏิบัติยิ่งคนละทาง แม้ว่าจะมีลักษณะใกล้เคียงกันคือ ห่างไกลจากชีวิตการเมืองแบบที่เคยเป็นมา จึงเรียกได้ว่า เป็น ส.ส. รุ่นใหม่ จากอายุต่ำกว่า 70 ลงมาถึง 27-28 ปี
3) ส.ส. บางคนเคยมีประสบการณ์ในทีมการเมืองท้องถิ่นและการเมืองชาติ ประสบการณ์ตรงนี้จะส่งผลให้มีการคาดหวังหรือประสบการณ์การต่อรองทางการเมืองที่ลึกล้ำ แต่โดยส่วนใหญ่ ส.ส. อนาคตใหม่ ทั้งเขตและบัญชีรายชื่อใหม่ถอดด้ามจากเวทีการเมืองทีเดียว ส.ส.ใหม่กลุ่มนี้คือกลุ่มพลังที่แท้จริงของอนาคตใหม่ เพราะพวกเขาปรารถนาที่จะสร้างความใหม่ให้ชีวิตและสังคม
4) การปริแยกของสมาชิก ส.ส. รวมทั้ง สมาชิกอื่นๆ ทั้งอดีตผู้สมัครเขตและบัญชีรายชื่อและสมาชิกทีมจังหวัด หลังสนามเลือกตั้ง ย่อมเป็นสิ่งปกติ เพราะแต่ละคนแต่ละท่านย่อมมีความฝันมีแนวทางเลือกที่คิดว่าดีที่สุดสำหรับตนในบริบทของแต่ละคน
เมื่อมองจากมุมผู้สอนวิชาการเมืองแล้ว เรื่องเหล่านี้จึงเป็นเรื่องปกติ แต่การสามารถแก้ไขประเด็นต่างๆ เพื่อดำรงรักษาความเป็นพรรคการเมืองให้ดำเนินต่อไปได้ ย่อมเป็นงานที่ท้าทาย หากแก้ไขได้ ก็เท่ากับอนาคตใหม่ได้ยกระดับการรวมตัวเป็นพรรคการเมืองที่แท้จริงขึ้นอีกระดับหนึ่ง
สังคมไทยภายใต้รัฐทหารรัฐประหาร เราถูกปลูกให้กังวลกลัวไม่ชอบในความขัดแย้ง แต่เราถูกปลูกให้เชื่อความสงบภายใต้การกำกับของกฎอัยการศึก ม.44 รัฐประหาร
ความขัดแย้งเป็นเรื่องปกติในชีวิต เรากับพ่อแม่ เรากับคนแวดล้อม เรากับเพื่อน ขัดแย้งกันตลอดเวลา ตั้งแต่จะกินอะไร จะไปไหน แต่เราดำรงอยู่ร่วมกันได้เพราะเราต่างมีทักษะในการจัดการกับความขัดแย้ง อยู่ร่วมกันในความหลากหลาย
สังคมประชาธิปไตยนั้นถือว่าความขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมดาธรรมชาติ แต่สังคมรัฐทหารจะซุกความขัดแย้งไว้ใต้รถถัง เหมือนๆ กับสมัชชาคนจนไม่สามารถเดินขบวนได้ในสมัยรัฐประหาร คสช. แต่เมื่อมีประชาธิปไตยเปิดจึงสามารถออกจากการกดทับของรถถังและระบบเผด็จการได้
อนาคตของอนาคตใหม่ ยังต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายใน 2 ระดับ
ระดับที่ 1) ความมุ่งหวังของกลุ่มพลังอื่นในรัฐทหารรัฐประหารที่ปรารถนาละล้มทำลายพรรคอนาคตใหม่ หรือทำให้แตกสลายไร้พลังทางการเมือง
ระดับที่ 2) การจัดการและสร้างความเป็นพรรคการเมืองด้านอุดมการณ์ร่วม ซึ่งยังคงมีประเด็นที่ต้องคิดใคร่ครวญและบริหารจัดการให้มากขึ้นและละเอียดละออขึ้น
ข้อเสนอต่ออนาคตใหม่คือคัดสรรผู้สมัครท้องถิ่นให้ทุกจังหวัด แทนความคิดที่เลือกเฉพาะจังหวัด
(เพียงข้อเสนอนี้ ก็เป็นความขัดแย้งเชิงนโยบายของพรรคอนาคตใหม่แล้วละครับ... ความขัดแย้งจึงเป็นเรื่องปกติ)
พรรคการเมืองจะกระฉับกระเฉงดึงบุคคลต่างๆ ให้มาร่วมพลังสร้างความฝันร่วมได้อย่างคึกคักเมื่อมีสนามเลือกตั้ง
ดังนั้น หากอนาคตใหม่ระดมพลังทุกจังหวัดเข้าสู่สนามเลือกตั้ง อบจ. ให้ครบทุกจังหวัด ทั้งเทศบาลนครและเทศบาลเมือง (อาจไม่ต้องขยายไปยังเทศบาลตำบลและ อบต.)
ซึ่งการเลือกตั้งท้องถิ่นที่คาดว่าจะมีปี 2563 ก็เท่ากับอนาคตใหม่จะสามารถระดมพลังคนรุ่นใหม่ในท้องถิ่นในจังหวัดต่างๆ ได้อีกจำนวนมาก และทำให้ทุกพื้นที่คึกคัก เพราะมีสนามเลือกตั้ง
การเปิดพื้นที่รณรงค์เลือกตั้งทุกจังหวัด จะทำให้คนรุ่นใหม่ในทุกจังหวัดสามารถสืบทอดความฝันร่วมกับอนาคตใหม่ได้ต่อไป หลังจากได้ถูกปลุกปลูกให้มีความฝันร่วมกับอนาคตใหม่ในคราวเลือกตั้ง ส.ส. เมื่อหลายเดือนมาแล้ว
หลักการที่ทีมผู้สมัครท้องถิ่นต้องไม่ซื้อเสียง กลายเป็นหลักการที่ทำให้คนรุ่นใหม่จำนวนมากอยากเดินร่วมกับอนาคตใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงพัฒนาบ้านเมืองจังหวัดของพวกเขาเอง
อนาคตใหม่จะหาโอกาสเช่นนี้ได้อย่างไรในกรณีการเมืองท้องถิ่น เพราะทำให้ท่านได้เจาะเข้าไปในใจของประชาชนถึงก้นครัว
หากมองข้ามเลือกตั้งท้องถิ่นครั้งที่จะมาถึง ท่านต้องรอคอยเวลาจากวันนี้ไปอีก 5-6 ปี รอคอยอย่างเดียว. อย่างเงียบๆ ทำกิจกรรมของแต่ละคน
ด้วยความปรารถนาดี The Nation WE Build Together.
ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์
เผยแพร่ครั้งแรกใน: Facebook ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์