สถานการณ์แรงงานประจำสัปดาห์ 3-9 พ.ย. 2562

ลอยแพพนักงานกว่า 200 ชีวิต บ.ผลิตเสื้อดังระดับโลกเลิกกิจการ

เศรษฐกิจพ่นพิษคนงาน 200 ชีวิต รวมตัวพบหน่วยงานรัฐช่วยเหลือ หลังบริษัทผลิตเสื้อส่งออกแบรนด์ระดับโลก ตั้งฐานจังหวัดนครปฐมปิดกิจการลอยแพคนงานทั้งหมด โดยยังติดค้างค่าแรง 2 เดือน ยอดกว่า 4.4 ล้านบาท พร้อมมีประกาศยุติให้คนงานมาทำงานตั้งแต่ 9 พ.ย.นี้ ระบุประสบปัญหาเศรษฐกิจ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ศาลากลางจังหวัดนครปฐม เย็นวานนี้ (8 พ.ย.) ได้มีคนงาน พนักงานบริษัท Knittpoint จำกัด ตั้งอยู่ในพื้นที่ตำบลถนนขาด อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม กว่า 200 คน ได้รวมตัวมาร้องขอความเป็นธรรมจากหน่วยงานราชการที่ทำงานไม่ได้รับค่าจ้าง 4 วีก จำนวน 2 เดือน รวมยอดกว่า 4.4 ล้านบาท ซึ่งพนักงานที่มารวมตัวกันได้แสดงความวิตกว่าไม่มีรายได้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน

โดยหลายคนเป็นหัวหน้าครอบครัว หวั่นคนในบ้านจะไม่มีข้าวกิน ไม่มีค่าเช่าห้อง และส่งบุตรหลานไปเรียน โดยได้มีการจัดเจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานมารับฟังข้อเรียกร้องและการให้ความช่วยเหลือผ่านตัวแทนบริษัท เช่น สำนักงานจัดหางาน สำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน สำนักงานประกันสังคมจังหวัดนครปฐม เพื่อให้ความรู้ในการขึ้นทะเบียนว่างงานจากสำนักงานประกันสังคม และสิทธิประโยชน์ที่พึงจะได้รับของพนักงานในกรณีที่กิจการได้มีการปิดตัวลง

โดย น.ส.หนิง นุ่มชินวงศ์ อายุ 44 ปี ที่อยู่ 168 ม.3 ต.บางระกำ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ประธานสหภาพบริษัท Knittpoint จำกัด องค์กรลูกจ้างแห่งประเทศไทย บอกว่า วันนี้ที่มีการรวมตัวกันมาที่ศาลากลางจังหวัดนครปฐม เพื่อเรียกร้องให้นายจ้างมาจ่ายค่าแรงงานที่ยังไม่ได้รับติดต่อกันมาถึง 2 เดือน แบ่งการจ่ายเป็น 4 วีก ซึ่งจะมีการจ่ายจากนายจ้างมาบ้างแต่ไม่ครบทุกคน

โดยบางคนได้มาก ได้น้อยขึ้นอยู่กับฐานเงินเดือนของแต่ละคน ซึ่งวันนี้ได้มายื่นข้อเสนอเพื่อให้นายจ้างแบ่งจ่ายมาให้พนักงานใช้จ่าบ้าง เพราะลูกจ้างไม่มีอะไรจะกินกันแล้ว บางคนไม่มีจ่ายค่าเช่าห้องต้องจ่ายเป็นรายวันวันละ 50 บาท ก็ไม่รู้จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเพราะค่าแรงยังไม่ได้เดือดร้อนกันมากในขณะนี้

น.ส.หนิง บอกต่อว่า การพยายามติดตามเรื่องเงินค่าจ้างนั้นได้พยายามเรียกร้องจากนายจ้าง ก่อนหน้านี้ ได้มาร้องขอให้หน่วยงานกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานเข้ามาประสานการช่วยเหลือให้นายจ้างมาจ่ายเงินให้พนักงาน แต่ไม่มีอะไรคืบหน้า โดยคนงานทุกคนอยากจะทราบว่านายจ้างจะจ่ายเงินให้พนักงานเมื่อไร เพราะทุกคนมีภาระมีครอบครัว มีพ่อ มีแม่ มีลูก และคนที่ต้องดูแลอีกหลายชีวิตเพื่อหวังรอเงินเดือนจากนายจ้าง ซึ่งบริษัท Knittpoint จำกัด ผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ยี่ห้อแบรนด์ดังส่งออกต่างประเทศ ผลิตเสื้อผ้าตามออเดอร์ ส่งออกอเมริกา และฮ่องกง เช่นของ Disney และอีกหลายแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

ต่อมา น.ส.หนิง ประธานสหภาพองค์กรลูกจ้างแห่งประเทศไทย ในฐานะแกนนำได้นำพนักงานและคนงานกว่า 200 คน เคลื่อนตัวกลับมารวมตัวกันที่บริษัท Knittpoint จำกัด เลขที่ 96 ม.3 ต.ถนนขาด อ.เมือง จ.นครปฐม เพื่อมาหารือกันในข้อสรุปก่อนจะมีการรวมตัวกันอีกครั้ง โดยจะมีการนัดหมายกันตามประกาศของสหภาพฯ ต่อไป

โดยในพื้นที่ดังกล่าวได้มีการติดป้ายประกาศ โดยมีข้อความว่า บริษัทได้ประกาศปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน บริษัทมีความจำเป็นที่จะต้องปิดกิจการและเลิกจ้างพนักงาน สืบเนื่องมาจากปัญหาเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทประสบภาวะขาดทุนสะสมมาเป็นเวลานาน ในส่วนค่าแรงที่ค้างจ่ายพนักงาน ทางบริษัทจะทำการขายเครื่องจักรที่ไม่ติดจำนองธนาคาร และจ่ายค่าแรงให้แก่พนักงานทุกท่านจำนวนเท่าๆ กัน ประกาศมีผลตั้งแต่วันที่ 9 พฤศจิกายน 2562 เป็นต้นไป ไม่ให้พนักงานมาทำงาน ลงนามโดยนายพงศกร จวงไพศาลสกุล กรรมการฯ

ที่มา: ผู้จัดการออนไลน์, 9/11/2562

'การบินไทย' เริ่มสั่งตัดเบี้ยบางรายการ 'ผู้บริหาร-พนักงาน' แก้ขาดทุน

รายงานข่าวจากบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่  24 ต.ค.2562 นางสุวิมล บัวเลิศ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายทรัพยากรบุคคล บริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) ได้ลงนามออกประกาศสายทรัพยากรบุคคล เรื่อง มาตรการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่

เพื่อให้บริษัทฯ สามารถบริหารจัดการและควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อลดภาระหนี้สินและรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้เป็นไปตามแผนฟื้นฟู จนสามารถพลิกฟื้นผลการดำเนินการให้กลับมาตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยจะขอให้ทุกสายฝ่ายปฏิบัติตามมาตรการลดรายจ่ายในการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่โดยเคร่งครัด ดังนี้ 1. งดหรือเลื่อนการส่งพนักงานไปอบรม สัมมนา เข้าร่วมประชุมและปฏิบัติงานใน ต่างประเทศหรือต่างจังหวัด ยกเว้น กรณีมีความจำเป็นหากไม่ได้เดินทาง จะทำให้เกิดความเสียหาต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ 2. วางแผนเตรียมการในการส่งพนักงานไปอบรม สัมมนา เข้าร่วมประชุมและปฏิบัติงานในต่างประเทศเป็นการล่วงหน้า เพื่อหลีกถี่ยงการจัดทำวีซ่ากรณีเร่งด่วน ซึ่งทำให้บริษัท เสียค่าธรรมเนียมในการดำเนินการมากกว่ากรณีปกติ 3. จำกัดจำนวนวันและจำนวนพนักงานที่ต้องดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ ทั้งในประเทศและต่างประทศให้เหลือเท่าที่จำเป็นและให้งดหรือลดเบี้ยเลี้ยงเดินทางเหลือ 50% โดยขอให้กรรมการผู้จัดการ หรือ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ควบคุมค่าใช้จ่ายในการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และ 4. สำหรับพนักงานระดับผู้อำนวยการใหญ่หรือกรรมการผู้จัดการขึ้นไป ขอให้งดรับ ค่าใช้จ่ายเพิ่ม ในการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตามที่ได้มีการระบุไว้ในระเบียบบริษัทฯ ว่าด้วยการบริหารงานบุคคลตอนที่ 17 เ รื่องการเดินทางเพื่อปฏิบัติหน้าที่ พศ 39 ข้อ 10.11

รายงานข่าวแจ้งว่า หลังจากบริษัทฯ ออกมาตรการควบคุมค่าใช้จ่ายพนักงาน เมื่อวันที่ 24 ต.ค.ที่ผ่านมา สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจการบินไทยได้ออกแถลงการณ์มาตรการลดค่าใช้จ่าย ฉบับที่ 1 เช่นกัน ดังต่อไปนี้ 1.ขอให้มีการระงับการจ่ายเบี้ยประชุมให้คณะกรรมการบริษัทๆทุกคณะ 2.ขอให้ระงับการจ่ายค่าพาหนะ ให้แก่ผู้บริหารระดับ 10 ขึ้นไป 3.ขอให้พิจารณาจัดซื้ออะไหล่อุปกรณ์เพื่อใช้ในการบริการภาคพื้นโดยจัดซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศ และมีมาตรฐาน ทดแทนอะไหล่ต่างประเทศ และ 4.ขอให้เข้มงวดกวดขันบริษัทจัดหาแรงงานภายนอกทุกบริษัท จะต้องจัดหาแรงงานให้ครบตามสัญญาจ้าง เพื่อไม่ให้บริษัทฯ ต้องรับภาระคำใช้จ่ายซ้ำซ้อนที่เกิดจากการจัดส่งแรงงานไม่ครบตามสัญญา เพื่อไม่ให้วางแผนในการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อไม่ให้เกิดการจัดซื้อจัดจ้าง แบบวิธีพิเศษในทุกหน่วยงาน

ที่มา: ข่าวสด, 6/11/2562 

กลุ่มครูดูแลเด็กทั่วประเทศ ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อคณะกรรมาธิการการศึกษาฯ หลังได้รับความเดือดร้อนจากคำสั่งยกเลิกประกาศบรรจุข้าราชการท้องถิ่นเป็นกรณีพิเศษ

นายสุรวาท ทองบุ ที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการการศึกษา สภาผู้แทนราษฎร รับมอบหนังสือจากนายสมคิด หอมเนตร ประธานเครือข่ายภาคประชาชนต่อต้านคอร์รัปชั่น และนางเกษมณี พันธ์ครู ประธานสหพันธ์ผู้ดูแลเด็กแห่งประเทศไทย ร้องขอความเป็นธรรมและให้ทบทวนคำสั่งยกเลิกประกาศอนุกรรมการกลางข้าราชการ หรือหน่วยงานส่วนท้องถิ่น ข้าราชการหรือหน่วยงานส่วนท้องถิ่นเรื่องมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการคัดเลือกกรณีเหตุพิเศษไม่ต้องสอบแข่งขันสำหรับหน่วยงานจ้างที่ปรับหน้าที่ในสถานศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการ หรือพนักงานครู องค์การบริหารส่วนจังหวัดเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบล

โดย นายสุรวาท กล่าวว่า ได้รับข้อร้องเรียนจากกลุ่มผู้ดูแลเด็กจากเครือข่ายศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก สังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,852 แห่ง โดยมีการจ้างครูผู้ดูแลเด็กใน 3 รูปแบบ ประกอบด้วย จ้างเหมา เรื่องงบประมาณตามภารกิจในตำแหน่งครูผู้ดูแลเด็ก จ้างเป็นพนักงานจ้างทั่วไปตำแหน่งครูผู้ดูแลเด็ก และจ้างเหมาบริการตามกรอบงบประมาณสัญญาปีต่อปีในตำแหน่งครูผู้ดูแลเด็ก โดยมีกลุ่มอัตราจ้างตามภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนมาจากกรมพัฒนาชุมชนและกรมการศาสนา ซึ่งมีอายุการทำงาน 3-28 ปียังไม่ได้บรรจุรับราชการ โดยต่อมามีการยกเลิกประกาศคณะกรรมการกลางเป็นข้าราชการ หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นเรื่องมาตรฐานทั่วไปเกี่ยวกับการคัดเลือกกรณีมีเหตุพิเศษที่ไม่ต้องสอบแข่งขันสำหรับพนักงานจ้างที่ปฎิบัติหน้าที่ในสถานศึกษาเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการหรือพนักงานครู องค์การบริหารส่วนจังหวัดเทศบาลและองค์การบริหารส่วนตำบลโดยคณะกรรมการ 3 ก. กระทรวงมหาดไทย ส่งผลให้ครูผู้ดูแลเด็กเล็กทั่วประเทศได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากมีความหวังว่าจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการ เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ให้ความสำคัญต่อเด็กเล็ก หรือประถมวัย กำหนดให้เป็นนโยบายที่สำคัญเพื่อพัฒนาเด็กเล็กและบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยจะนำปัญหาข้อร้องเรียนเข้าสู่ที่ประชุมคณะกรรมาธิการการศึกษาฯ เพื่อพิจารณาต่อไป

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 6/11/2562

สหรัฐฯ ยืนยันพร้อมเจรจากับไทยเรื่องคืนสิทธิพิเศษทางภาษีจนถึง เม.ย. 2563

วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ของสหรัฐอเมริกา ย้ำพร้อมเปิดเจรจากับรัฐบาลไทยตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงเมษายนปีหน้าเรื่องการคืนสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรหรือ จีเอสพี พร้อมอ้างว่า การยกเลิกจีเอสพีจะไม่มีผลกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมของไทย

นายรอสส์ ให้สัมภาษณ์กับสื่อผ่านการประชุมทางโทรศัพท์ เมื่อ 5 พ.ย. ตอบข้อสงสัยในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการค้าระหว่าสหรัฐอเมริกาและประเทศคู่เจรจาต่างๆ เขาย้ำว่ารัฐบาลสหรัฐฯให้ความสำคัญ มุ่งมั่นและต้องการมีส่วนร่วมในระดับสูงสุด ต่อภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก และยืนยันการเจรจาการค้ากับทุกประเทศในภูมิภาคต่อไป “สหรัฐอเมริกาเป็นผู้ลุงทุนในภูมิภาคนี้รายใหญ่ที่สุด เราจะลงทุนในภูมิภาคนี้ต่อไปเป็นการถาวร เราจะเพิ่มการลงทุนในภูมิภาค และเพิ่มการลงทุนแบบทวิภาคี”

หลังจากนั้นนายรอสส์ได้ตอบคำถามเรื่องการระงับจีเอสพีแก่ไทย ว่าได้พูดคุยกับ พล.อ. ประยุทธ จันท์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายอุตตม สาวนายน รมว. คลัง เมื่อวานนี้เป็นเวลานานกว่า 40 นาที และพร้อมเจรจากับไทย

“ประเทศไทยมีรายได้มาจากการส่งออกถึง 70% หรือตีมูลค่าได้ 3.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และถ้ามาดูรายละเอียดของสินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐฯ ภายใต้จีเอสพีนั้น มูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 4.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี และรายการสินค้าส่งออกจากไทยที่จะได้รับผลกระทบจากการยกเลิกจีเอสพีนั้นมีเพียงแค่ 1.3 พันล้านดอลลาร์เท่านั้น” นายรอสส์อธิบาย

“การยกเลิกจีเอสพีในประเทศไทยนั้นไม่ได้หมายความว่าการส่งออกจากไทยไปสหรัฐอเมริกาจะยุติลง โดยการยกเลิกจีเอสพีนั้นมีผลกระทบแค่ 1% ของจีดีพีของประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งการยกเลิกนี้แทบจะไม่มีผลกระทบอะไรมากมายต่อภาพรวมของเศรษฐกิจไทยเลย”

โดยนายรอสส์อธิบายว่าเหตุผลหลัก ที่สหรัฐยกเลิกการให้จีเอสพีแก่ประเทศไทย เพราะรัฐบาลไทยไม่ทำตามข้อตกลงเรื่องสิทธิแรงงานตามที่ได้กำหนดไว้ในหลักการของจีเอสพี ซึ่งจะมีผลช่วงเดือนเมษายน 2020 โดยช่วงเวลานี้ทางรัฐบาลไทยมีเวลามากพอที่จะปรับปรุงข้อตกลงให้เป็นไปตามที่เรากำหนดไว้ได้ ซึ่งทางสหรัฐฯพร้อมเปิดโอกาสให้ทางการไทยได้เข้ามาทำการต่อรองถ้าอยากจะกลับเข้ามาอยู่ภายใต้จีเอสพีอีกครั้งหนึ่ง

“เราพร้อมที่จะให้มีการเจรจาเรื่องจีเอสพีกับรัฐบาลไทยแล้วเริ่มจากวันนี้เป็นต้นไป ทางการไทยสามารถเริ่มเจรจาต่อรองได้จนถึงเดือนเมษายนปีหน้าก่อนที่การยกเลิกจีเอสพีของไทยจะเริ่มต้นขึ้น ซึ่งรัฐบาลไทยมีเวลาประมาณ 6 เดือน ซึ่งตอนนี้คำถามสำคัญคือประเทศไทยพร้อมที่จะเจรจรเรื่องสิทธิแรงงานหรือไม่” นายรอสส์ทิ้งท้ายการประชุมผ่านโทรศัพท์ว่าการยกเลิกจีเอสพีในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องการการห้ามใช้สารเคมีสามชนิดที่ทางรัฐบาลไทยประกาศไปก่อนหน้านี้

ที่มา: ข่าวสด, 6/11/2562 

ผลสำรวจชี้อัตราการขึ้นเงินเดือนของไทยยังคงตัว ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงในตลาดแรงงาน

เมอร์เซอร์ เผยผลการศึกษาจาก 'โครงการสำรวจค่าตอบแทนและสวัสดิการของประเทศไทย ประจำปี 2562' พร้อมแนวโน้มค่าตอบแทน รวมถึงคาดการณ์ถึงการเติบโตของอัตราการจ้างงานและเงินเดือนสำหรับปี 2563 โดยตัวเลขและการคาดการณ์มาจากผลการสำรวจอัตราค่าตอบแทนและสวัสดิการ ซึ่งเป็นการศึกษาถึงค่าตอบแทนและสิทธิประโยชน์ประจำปีของ เมอร์เซอร์ โดยในปีนี้มีบริษัทที่เข้าร่วมโครงการศึกษาเพิ่มขึ้นเป็น 607 บริษัท จากหลากหลายอุตสาหกรรมในประเทศไทย นอกจากนี้ เมอร์เซอร์ยังได้จัดทำการสำรวจแบบ Pulse อย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีเพื่อติดตามผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในธุรกิจต่าง ๆ และศึกษาแนวโน้มของอัตราค่าตอบแทนและตลาดแรงงาน แนวโน้มของการจ้างงาน การเปลี่ยนแปลงไปสู่ผลตอบแทนที่มากกว่าเงินเดือน เกี่ยวกับเมอร์เซอร์

- ตัวเลขคาดการณ์การขึ้นเงินเดือนของอุตสาหกรรมต่างๆ ในประเทศไทยยังคงตัวที่ 5%
- อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีอัตราการขึ้นเงินเดือนสูงสุด คือ 5.5%
- อุตสาหกรรมไฮเทคมีอัตราการออกจากงานโดยไม่สมัครใจสูงสุดที่ 7%

ในปี 2563 ตัวเลขคาดการณ์ของการขึ้นเงินเดือนของอุตสาหกรรมหลักในประเทศไทยยังคงตัวอยู่ที่ 5% สอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำที่ 1.1% (1.0% ในปี 2562) โดยอุตสาหกรรมที่ได้รับการคาดการณ์ว่าจะมีการขึ้นเงินเดือนสูงสุดคืออุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งอยู่ที่ 5.5% ในขณะที่อุตสาหกรรมเคมีมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับเงินเดือนอยู่ที่ 5.2%

แนวโน้มการจ่ายโบนัสผันแปรสำหรับปี 2562 นี้ ยังคาดว่าจะอยู่ที่ 2.3 เท่าของเงินเดือนในภาพรวมของทุกอุตสาหกรรม โดยในอุตสาหกรรมยานยนต์จะมีการจ่ายโบนัสสูงสุดที่ 3.6 เท่าของเงินเดือนเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นๆ ตามมาด้วยอุตสาหกรรมประกันชีวิตและอุตสาหกรรมไฮเทค ซึ่งคาดว่าจะจ่ายโบนัสอยู่ที่ 2.5 เท่าของเงินเดือน

ด้านแนวโน้มอัตราการออกจากงานโดยสมัครใจ ผลการสำรวจยังชี้ให้เห็นว่า จากภาพรวมของภาคอุตสาหกรรม อัตราการออกจากงานโดยสมัครใจเพิ่มขึ้นเป็น 12.8% ในปี 2561 (เมื่อเทียบกับ 12.5% ในปี 2560) ในขณะที่ข้อมูลล่าสุดจากผลสำรวจ Mercer Asia Market Pulse Survey ในไตรมาสที่หนึ่ง ประจำปี 2562 นั้นพบว่า อัตราการออกจากงานโดยสมัครใจคงที่ในระดับเดียวกับไตรมาสที่หนึ่งของปี 2561 (4%)

ในทวีปเอเชีย สาเหตุหลักที่พนักงานลาออกจากงานนั้นมีความแตกต่างไปตามกลุ่มอายุและเพศ โดยภาพรวมแล้วพบว่ามีสาเหตุหลักอยู่ 3 ประการ ได้แก่ การแข่งขันด้านค่าตอบแทน การสื่อสารกับหัวหน้างาน และความก้าวหน้าในสายอาชีพที่ชัดเจน ซึ่งรวมถึงความมั่นคงของงานด้วย ในขณะที่อุตสาหกรรมไฮเทคในประเทศไทยยังคงมีอัตราการออกจากงานโดยไม่สมัครใจสูงสุดที่ 7% ซึ่งเป็นผลมาจากบทบาทของเทคโนโลยีที่เพิ่มขึ้นและความจำเป็นของภาคอุตสาหกรรมในการปรับตัวเข้าสู่ยุคดิจิทัลและการใช้ระบบออโตเมชั่น

สำหรับประเทศไทย คาดว่าองค์กรต่างๆ มีแผนที่จะว่าจ้างงานในปี 2563 ลดลงเล็กน้อยที่ 29% เทียบกับสัดส่วน 31% ในปี 2562 จากอัตราที่คงที่ของการออกจากงานโดยสมัครใจ องค์กรส่วนมากจึงมุ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะและความสามารถของพนักงาน

นายพิรทัต ศรีสัจจะเลิศวาจา Market Segment Leader & Career Products Leader บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "ตำแหน่งงานที่เรามีความคุ้นเคยกันทุกวันนี้เริ่มที่จะหายไปจากตลาด และการเข้าถึงทักษะที่สามารถนำบริษัทไปสู่เป้าหมายในด้านทรัพยากรบุคคล จะมีความสำคัญและผลกระทบต่อการสร้างคุณค่าขององค์กรและตัวชี้วัดของงานต่างๆ ในอนาคต"

"เพื่อรับมือกับความต้องการทักษะด้านดิจิทัล องค์กรต่างๆ จึงยอมจ่ายค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นเพื่อทักษะด้านดิจิทัลที่โดดเด่น หรือกำหนดบทบาทตำแหน่งงานอย่างไม่เฉพาะเจาะจง เพื่อให้มีพนักงานที่มีทักษะดังกล่าวเพิ่มขึ้น เราคาดว่าทักษะดิจิทัลนี้จะได้รับการผสานเข้าใน 'กลุ่มทักษะ' ที่จะสร้างมาตรฐานให้แก่ฐานเงินเดือนในอนาคต ซึ่งไม่ได้จำกัดเพียงแค่ทักษะเชิงเทคนิคหรือเชิงปฎิบัติ แต่กลุ่มทักษะจะครอบคลุมทักษะในวงกว้าง รวมถึงทักษะที่เกี่ยวกับกระบวนการคิดและพฤติกรรมอีกด้วย"

นายจักรชัย บุญยะวัตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมอร์เซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า "การเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลถือเป็นวาระแห่งชาติของประเทศไทยในแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาตร์ชาติ ไทยแลนด์ 4.0 และแผนพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล

(ปี 2561 - 2580) และเพื่อที่จะดึงดูด สร้างแรงจูงใจ และพัฒนาศักยภาพให้แก่บุคลากร องค์กรต่างๆ จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเป็นจริงของโลกดิจิทัลและกลุ่มแรงงานที่กำลังเปลี่ยนแปลง"

"ในยุคปัจจุบันที่เรากำลังเผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงมากมาย ทั้งการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล การก้าวสู่ยุคประชากรสูงอายุ และการหันมาใช้พนักงานชั่วคราวเพิ่มขึ้น องค์กรมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพิจารณาทบทวนการให้ค่าตอบแทนและสวัสดิการที่องค์กรมีให้กับพนักงาน เพื่อให้เหมาะกับความต้องการของแต่ละบุคคล ตลอดจนสร้างแรงกระตุ้นให้แก่พนักงาน โดยมีหลายบริษัทที่หันมาใช้ระบบสิทธิประโยชน์แบบยืดหยุ่นและรูปแบบการจ่ายค่าตอบแทนตามความสามารถเพื่อรับมือกับความท้าทายต่างๆ เหล่านี้" นายจักรชัย กล่าวเสริม

การเกิดขึ้นตำแหน่งงานใหม่ๆ รวมถึงการที่ตำแหน่งงานเดิมต้องปรับเปลี่ยนไปกระแสของเทคโนโลยีออโตเมชั่นและเอไอ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรที่ต้องตามให้ทันกับความคาดหวังของพนักงานเกี่ยวกับผลตอบแทนและ market values จากผลการสำรวจระดับโลกเกี่ยวกับเทรนด์ของพนักงานที่มีความสามารถซึ่งเมอร์เซอร์จัดทำขึ้นในปี 2562 พบว่า รูปแบบของการผลตอบแทนที่สำคัญสูงสุดอันดับหนึ่งคือ การให้ผลตอบแทนด้วยรูปแบบที่หลากหลายกว่าเดิม ข่าวดีก็คือ สิ่งที่ฝ่ายทรัพยากรบุคคลให้ความสำคัญอันดับต้นๆ ล้วนสะท้อนถึงสิ่งที่พนักงานต้องการ โดยทั้งฝ่ายทรัพยากรบุคคลและพนักงานต่างเห็นตรงกันว่า การมอบผลตอบแทนหรือสิ่งจูงใจแก่พนักงานที่มีความสามารถได้หลากหลายมากขึ้น สามารถสร้างความแตกต่างให้เกิดขึ้นได้ เพื่อให้สอดคล้องกับทิศทางของธุรกิจได้อย่างแท้จริง การลงทุนในเรื่องของค่าตอบแทนควรสะท้อนถึงกลยุทธ์ที่องค์กรให้ความสำคัญ โดยในหลายกรณี สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนจากวิธีการแบบเดิม มาสู่รูปแบบของผลตอบแทนที่ต่างออกไป เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับพนักงานที่มีความต้องการและการพัฒนาทักษะด้านต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม บริษัทชั้นนำเริ่มมีการให้ความสำคัญในเรื่องของการให้ผลตอบแทนแก่พนักงานในภาพรวม โดยมีการให้ค่าตอบแทนที่มากกว่าเงินเดือน เช่น โอกาสเติบโตในอาชีพ การให้เงินพิเศษเพื่อเป็นแรงจูงใจ และการให้ผลตอบแทนพิเศษ

นายภูนีต สวานี หุ้นส่วนอาวุโสและผู้อำนวยการธุรกิจ Career ในระดับภูมิภาคระหว่างประเทศ ของเมอร์เซอร์ กล่าวว่า "ผลของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว และการเข้าสู่โลกยุคใหม่ของการทำงาน ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องหันมาทบทวนแนวทางเพื่อให้สามารถรับมือกับอนาคตได้ ด้วยการออกแบบรูปแบบของการจ่ายผลตอบแทนที่คำนึงถึงความความต้องการของพนักงานเป็นหัวใจสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการนำดิจิทัลมาใช้ในองค์กร การสร้างทักษะที่สำคัญและจำเป็นให้กับพนักงานเพื่อให้สามารถแข่งขันได้ในอนาคต หรือแม้แต่การสร้างสภาพแวดล้อมและวัฒนธรรมการทำงานได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนการปรับเปลี่ยนแปลงวิธีการลงทุนขององค์กรในตัวพนักงาน เหล่านี้จะช่วยสร้างผลตอบแทนกลับคืนสู่ธุรกิจในอนาคตได้ดีและมีประสิทธิภาพยิ่งกว่าเดิม"

ที่มา: ThaiPR.net, 6/11/2562 

กสร.เปิดอบรม กม.แรงงานที่นายจ้าง-ลูกจ้างต้องรู้

นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยว่าการพัฒนาทรัพยากรแรงงาน โดยการส่งเสริมสนับสนุนสร้างความรู้ ความเข้าใจ ให้เกิดทักษะในการปฏิบัติงานร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ถือเป็นภารกิจที่กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานดำเนินการมาเป็นประจำทุกปี คือการให้บริการวิชาการ จัดอบรมให้ความรู้ในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับแรงงาน

สำหรับปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 นี้ กสร. ประเดิมเปิดหลักสูตรแรกของปีคือ หลักสูตร "กฎหมายแรงงานที่นายจ้าง-ลูกจ้างต้องรู้" ซึ่งจะจัดอบรมในระหว่างวันที่ 27-29 พ.ย. 2562 ทั้งนี้ หลักสูตรดังกล่าวถือเป็นหลักสูตรยอดนิยมซึ่งในปีที่ผ่านๆ มา มีผู้ให้ความสนใจสมัครเข้าอบรมเป็นจำนวนมาก เนื่องจากหลักสูตรดังกล่าวทำให้ทราบถึงสิทธิ หน้าที่ตามกฎหมายแรงงานของนายจ้างและลูกจ้างที่พึงปฏิบัติต่อกันและสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีความสุข

หลักสูตร 'กฎหมายแรงงานที่นายจ้าง-ลูกจ้างต้องรู้' ใช้เวลาในการอบรม 18 ชั่วโมง หรือ 3 วันทำการ และจะเปิดรับสมัครจำนวน 70 คน ตั้งแต่วันที่ 11-15 พ.ย. 2562 หรือจนกว่าจะมีผู้สมัครเต็มอัตรา โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น สมัครออนไลน์ ได้ที่ http://tls.labour.go.th เมนูหลัก: ฝึกอบรมทรัพยากรแรงงาน

นายอภิญญา กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ กสร. ได้เตรียมเปิดหลักสูตรฝึกอบรมอื่นๆ ให้แก่นายจ้าง ลูกจ้างอีกมากมาย โดยสามารถติดตามรายละเอียดและความเคลื่อนไหวของหลักสูตรอื่นๆ ที่จะเปิดรับสมัครในปีงบประมาณ 2563 หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้ที่ กลุ่มงานพัฒนาทรัพยากรแรงงาน สำนักพัฒนามาตรฐานแรงงาน โทรศัพท์ 0-2245-1371-2 หรือเว็บไซต์ http://tls.labour.go.th เมนูหลัก: ฝึกอบรมทรัพยากรแรงงาน

ที่มา: คมชัดลึก, 6/11/2562 

'ปลัดแรงงาน' เข้าหารือเอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ย้ำท่าทีรัฐบาลไทยพร้อมร่วมหารือกับเจ้าหน้าที่กระทรวงการจ้างงานสหภาพยุโรป

นายสุทธิ สุโกศล ปลัดกระทรวงแรงงาน ปฎิบัติราชการ ณ นครเจนีวา สมาพันธรัฐสวิส เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 4 พ.ย. 2562 ได้หารือข้อราชการกับนายเสข วรรณเมธี เอกอัครราชทูตผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ เกี่ยวกับท่าทีของรัฐบาลไทยและภาคีอาเซียนต่อการประชุมคณะประศาสน์การ สมัยที่ 337 ณ ทำเนียบเอกอัครราชทูตฯ

รวมทั้งได้ให้นางเอเวอลีน พริทชอทท์ เจ้าหน้าที่จากกระทรวงการจ้างงาน กิจการสังคม และการหลอมรวมทางสังคม สหภาพยุโรป พบเพื่อแนะนำตัวและร่วมหารือเกี่ยวกับการวางแผนจัดการประชุมระดับสูง Thailand-EU Labour Dialogue ณ อาคารสำนักงานใหญ่องค์การแรงงานระหว่างประเทศ ซึ่งการประชุมครั้งนี้กระทรวงแรงงานไทยจะเป็นเจ้าภาพ คาดว่าจะจัดขึ้นในช่วงเดือน ก.พ. 2563

ที่มา: ไทยรัฐออนไลน์, 5/11/2562 

'คนขับ GrabBike ขอนแก่น' รวมตัวเรียกร้องบริษัทแม่ขอเพิ่มค่าแรงให้เป็นธรรมกว่าที่เป็นอยู่

เมื่อวันที่ 5 พ.ย. 2562 ที่ลานกีฬาต้านยาเสพติด ริมบึงแก่นนคร เขตเทศบาลนครขอนแก่น ได้มีกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ที่ให้บริการแกร็บ (Grab) ในเขต จ.ขอนแก่นกว่า 60 คันมารวมตัวกันเพื่อเรียกร้องให้ บริษัทฯ พิจารณาทบทวนค่าตอบแทนการให้บริการของผู้ขับขี่ในเขต จ.ขอนแก่นใหม่ หลังมีการปรับค่าตอบแทนลงจากเดิม 35 บาท เป็น 30 บาท ในระยะเริ่มต้น ยังไม่รวมการหักค่างานรายการละ 2 บาทและค่าเปอร์เซนต์อีก 20%

นายกิตติชาญ จันทร์อร่าม อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 289/52 ต.บ้านเป็ด อ.เมือง จ.ขอนแก่น กล่าวว่าการรวมตัวกันของผู้ให้บริการแกร็บขอนแก่น ในส่วนของแกร็บไบค์และแกร็บวินครั้งนี้ไม่ได้กระทำเพื่อก่อให้เกิดผลกระทบของลูกค้า แต่เป็นการรวมตัวกันเพื่อต้องการให้บริษัทฯแม่ ได้ทบทวนค่าตอบแทนด้วย เนื่องจาก ในเดือน มี.ค. ที่ผ่านมายังคงคิดราคาค่าบริการเริ่มต้นที่รายการละ 35 บาท แต่มาเดือน พ.ย. ลดค่าบริการลงที่คนขับรถจะได้รับอยู่ที่ 30 บาท ยังไม่รวมรายการหักอีกรายการละ 2 บาท และยังคงตัดอีก 20% ซึ่งหากค่าบริการในอัตราที่ได้รับต่อรอบคือ 30 บาทต่อครั้ง คนขับจะได้รับจริงคือ 22 บาท

"22 บาทที่ได้รับต่อรอบต่อรายการในรัศมีระยะทางที่กำหนด หากมาหักลบค่าสึกหรอ ค่าน้ำมัน ค่าทำเวลาในการส่งสินค้าแต่ละรายการ ก็จะเหลือจริงแล้ว 10 กว่าบาทเท่านั้นยังไม่พอต้องรองรับอารมณ์ลูกค้าต่างๆ นานา ขณะที่ร้านค้าก็เริ่มจะไม่ผลิตอาหารไว้รอ บางร้านต้องรอให้แกรปไปถึงร้านและแสดงตัว จึงจะทำอาหารให้ ทำให้เวลาในการส่งอาหารมากกว่า 30 นาที ทำให้ลูกค้าไม่พอใจจนให้คะแนนต่ำ พอได้รับคะแนนต่ำก็จะถูกบล็อกการให้บริการทันที" นายกิตติชาญกล่าว

ทั้งนี้ ปัจจุบันคนขับแกร็บที่ขอนแก่นในรายการต่างๆ ประมาณ 2,500 คันทุกคันประสบปัญหาในลักษณะเดียวกัน บางคันทำงานตั้งแต่เวลา 10.00-21.00 น. ทั้งหมด 24 งาน ยอดรวมรายรับ 911 บาท แต่รายรับจริงไม่อยากที่จะเปิดเผย บางคันขับแกรปวินรับลูกค้าจากข้าง มข.ไปส่ง สนามบินขอนแก่น ยอดรับ 31 บาทก็ต้องถูกหักตามที่แกร็บกำหนด บางคันรับรายการลูกค้าจากหน้าโรงเรียนแก่นนครไปส่งที่ หมู่บ้านพิมานชล 2 รายรับ 51 บาท ก็ต้องถูกหักตามกำหนด

นอกจากนั้น บางคันตีรถเปล่าเพื่อไปรับสินค้าแต้ก็ถูกยกเลิกกลางทางก็มี จึงอยากให้ผู้บริหารแกร็บ ได้มองถึงอัตราการให้บริการในระดับพื้นที่ด้วยว่าค่าบริการเริ่มต้นเท่าใดที่จะคุ้มทุนกับความเป็นจริง รวมไปถึงการทำประกันกลุ่มให้กับคนขับในต่างจังหวัดเพราะบางรายประสบอุบัติเหตุจากการทำงานได้รับเพียงช่อดอกไม้ เพียงดอกเดียวเท่านั่น

ที่มา: โพสต์ทูเดย์, 5/11/2562 

รมว.แรงงาน ยืนยันกองทุนประกันสังคมยังมั่นคง ส.ค. 2562 มีเงินลงทุนกว่า 2 ล้านล้าน กำไร 6 พันล้าน

ตามที่ได้มีการเสนอข่าวว่ากองทุนประกันสังคมจะหมดลงภายใน 15 ปีนั้น ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน กล่าวชี้แจงในโอกาสเข้าตรวจเยี่ยมและรับฟังปัญหาในเรื่องสถานะกองทุนประกันสังคมว่า จากรายงานคณิตศาสตร์ประกันภัยของสำนักงานประกันสังคม ที่ร่วมกับองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) รายงานเมื่อปี 2015 สถานะของกองทุนประกันสังคมในปัจจุบันยังมีความมั่นคง แต่ด้วยปัจจัยในอนาคตที่ต้องพบกับปัญหาผู้สูงอายุมากขึ้น แรงงานเข้าระบบประกันสังคมลดลง ขณะเดียวกันมีการพัฒนาสิทธิประโยชน์สูงขึ้น ปัจจัยเช่นนี้ส่งผลถึงสถานะของกองทุนประกันสังคมในระยะยาวจริง

แต่อย่างไรก็ตามสำนักงานประกันสังคม ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เฝ้าติดตามตัวเลขปัจจัยที่มีผลกระทบกับสถานะของกองทุน ซึ่งการดำเนินการแก้ปัญหานั้น ต้องคำนึงถึงระยะเวลา ความเหมาะสมกับสถานการณ์ ภาวะเศรษฐกิจ และต้องหาวิธีการดำเนินการที่เหมาะสมให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อให้กองทุนมีความมั่นคง ยั่งยืน

ปัจจุบันสำนักงานประกันสังคมได้มีการเปิดเผยข้อมูลการลงทุนผ่านทางเว็บไซต์สำนักงานประกันสังคม www.sso.go.th เพื่อให้เกิดการรับทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และเพื่อความโปร่งใสในการดำเนินงานของสำนักงานประกันสังคม ดังนั้นขอให้ผู้ประกันตนมีความเชื่อมั่นในการบริหารกองทุนและการสร้างผลตอบแทนสะสมอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความมั่นคงให้แก่กองทุนประกันสังคม ในการที่จะสามารถรองรับค่าใช้จ่ายในการดูแล และพัฒนาสิทธิประโยชน์กลับคืนสู่ผู้ประกันตนทั้งในปัจจุบันและอนาคตต่อไป

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า จากผลการดำเนินงานการบริหารการลงทุนประกันสังคม กองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนในเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ระบุว่า สถานะเงินลงทุนของกองทุนประกันสังคม ณ 31 สิงหาคม 2562 มีเงินลงทุนรวมจำนวน 2,044,921 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหลักทรัพย์มั่นคงสูงร้อยละ 79.42 หลักทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 20.58 จำแนกตามแหล่งลงทุนในประเทศร้อยละ 89.86 ต่างประเทศร้อยละ 10.14 จำแนกตามประเภทหลักทรัพย์ แบ่งเป็นเงินฝากร้อยละ 4.62 ตราสารหนี้ร้อยละ 76.41 ตราสารทุนร้อยละ 14.15 หน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 2.90 หน่วยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานร้อยละ 1.07 หน่วยลงทุนทองคำร้อยละ 0.53 และโครงการลงทุนทางสังคมร้อยละ 0.32 สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนกองทุนประกันสังคมได้จำนวน 5,976 ล้านบาท

ส่วนสถานะเงินลงทุนของกองทุนเงินทดแทน มีเงินลงทุนรวมจำนวน 64,972 ล้านบาท แบ่งออกเป็นหลักทรัพย์มั่นคงสูงร้อยละ 74.84 หลักทรัพย์เสี่ยงร้อยละ 25.16 จำแนกตามประเภทหลักทรัพย์แบ่งเป็นเงินฝากร้อยละ 1.96 ตราสารหนี้ร้อยละ 77.48 ตราสารทุน ร้อยละ 12.82 หน่วยลงทุนอสังหาริมทรัพย์ร้อยละ 5.65 หน่วยลงทุนโครงสร้างพื้นฐานร้อยละ 1.29 หน่วยลงทุนทองคำร้อยละ 0.81 สามารถสร้างผลตอบแทนการลงทุนกองทุนเงินทดแทนได้จำนวน 243 ล้านบาท และหากรวมสถานะเงินลงทุนกองทุนประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนในเดือนสิงหาคม 2562 สำนักงานประกันสังคมสามารถสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้สูงถึง 6,219 ล้านบาท

ขณะที่ข้อมูลสำนักสิทธิประโยชน์ สำนักงานประกันสังคม ระบุว่าตัวเลขผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมเดือนกันยายน 2562 ทุกมาตราคือ 33, 39, 40 มีทั้งหมด 16,457,941 คน ซึ่งเพิ่มจากเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมาถึง 49,188 คน แบ่งเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 (ลูกจ้างที่ทำงานในสถานประกอบการที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป) จำนวน 11,687,597 คน เพิ่มขึ้น 8,377 คน ผู้ประกันตนภาคสมัครใจมาตรา 39 (ผู้ประกันตนที่เคยเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 มาก่อน นำส่งเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน และออกจากงานไม่เกิน 6 เดือนนับแต่วันที่ลาออกจากงาน) มีจำนวน 1,634,521 เพิ่มขึ้น 5,147 คน และแรงงานภาคอิสระหรือบุคคลทั่วไปสมัครเป็นผู้ประกันตนมาตรา 40 จำนวน 3,135,823 คน เพิ่มขึ้น 35,664 คน

ที่มา: ประชาชาติธุรกิจ, 4/11/2562 

คนไทยในญี่ปุ่นโพสต์เตือนคนไทยที่คิดจะลักลอบขายแรงงานในญี่ปุ่น

เจ้าของเฟสบุ๊คชื่อ Thanakorn Jaisuksakuldee ซึ่งเป็นคนไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ในประเทศญี่ปุ่น โพสต์เตือนคนไทยที่คิดจะเดินทางไปขายแรงงานที่ญี่ปุ่น ให้ระวังถูกหลอกกลายเป็นแรงงานเถื่อน จนเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ เพราะอาจต้องเจอกับนายหน้าคนไทยที่หลอกลวงเพื่อนร่วมชาติได้ลงคอ รวมทั้งยังต้องเจอกับสภาพการจ้างงานที่หนักหนาสาหัสเกินรับไหว ล่าสุดมีทั้งคนงานก่อสร้างและพ่อครัวชาวไทยที่เสียชีวิตในเวลาไล่เลี่ยกัน

ไม่ได้มีแต่ญี่ปุ่นประเทศเดียว ที่แรงงานไทยสนใจจะไปขุดทองหาเงินกลับบ้าน ญีปุ่นก็เป็นอีกประเทศหนึ่งที่แรงงงานชาวไทยสนใจเดินทางไปทำงาน เพราะนอกจากจะมีความเจริญแล้ว ยังมีค่าแรงต่อเดือนสูง แต่คนไทยที่คลุกคลีและใช้ชีวิตอยู่ในญี่ปุ่นมานาน โพสต์เฟซบุ๊กเตือนญี่ปุ่นหาใช่แดนสวรรค์สำหรับแรงงานชาวไทยเสมอไป โดยเฉพาะผู้ที่คิดจะขายแรงงานอย่างผิดกฏหมาย

เจ้าของเฟสบุ๊คชื่อ Thanakorn Jaisuksakuldee เผยว่า เมื่อเร็วๆนี้มีชายวัยเกือบ 60 ปีจากสันกำแพง จังหวัดเชียงใหม่ ล้มป่วยและเสียชีวิตในห้องพักคนเดียวที่เมืองซุซุกะจังหวัดมิเอะ ที่น่าเศร้าคือชายคนนี้ถูกหญิงชาวไทยหลอกลวงชวนมาทำงาน แต่สุดท้ายกลายเป็นได้แค่แรงงานเถื่อน ไม่มีสวัสดิการใดๆทั้งสิ้น ไม่มีเงินหาหมอ เพราะไม่ได้รับเงินค่าจ้างตามสัญญา ต้องยอมเป็นคนงานก่อสร้างทำงานหนักไม่มีหยุด

ล่าสุดยังมีพ่อครัวร้านอาหารไทยในกรุงโตเกียวเสียชีวิตอีกหนึ่งราย เป็นชายไทยวัย 49 ปีจากจังหวัดบุรีรัมย์ ทำงานเป็นกุ๊กในร้านอาหารไทยแห่งหนึ่ง พนักงานร้านอาหารที่เป็นคนไทยหลายคนให้การตรงกันว่า ผู้ตายมีอาการปวดท้องไม่สบายอย่างหนัก แต่เจ้าของร้านไม่ยอมให้หยุดงานเพื่อไปโรงพยาบาลตั้งแต่แรก จนอาการทรุดหนักลงในวันศุกร์ที่แล้ว จนเพื่อนๆพนักงานเสริ์ฟต้องพาไปโรงพยาบาลในวันจันทร์ นอนโรงพยาบาลสามสี่วันแต่ก็เสียชีวิตเมื่อวานนี้เอง

ร้านอาหารที่ญี่ปุ่นส่วนใหญ่ใช้งานพ่อครัวปานขี้ข้าแทบทุกร้าน สวัสดิการห่วยแตก ตนเคยทำงานพาร์ทไทม์ที่ร้านอาหารไทยแห่งหนึ่งในกรุงโตเกียว เชื่อไหมว่า ผมทำแค่สองอาทิตย์แรก ต้องพาพ่อครัวและแม่ครัวทั้งผู้หญิงผู้ชายไปหาหมอถึง 6 คน มีแต่คนร้องโอดโอย ปวดขา ปวดหลังกันระงม เพราะถูกใช้งานเต็มเหยียด อาชีพหมาล่าเนื้อจริงๆ ยืนผัดกันทั้งวัน พอหมดสภาพทำงานให้เขาไม่ได้ เขาก็เลิกจ้างหาคนใหม่มาทำ เขาจ่ายค่าจ้างแพง เขาก็ใช้งานจนคุ้ม

การลักลอบมาทำงานอย่างผิดกฎหมายในญี่ปุ่น คุณจะไม่ได้รับการคุ้มครองทางกฎหมายแต่อย่างใด เจ็บป่วยขึ้นมาลำบากมาก ปีนี้ได้ข่าวว่าคนไทยเสียชีวิตไปไม่ต่ำกว่า 5-6 รายแล้ว ก่อนจะเป็นผีน้อย(แรงงานเถื่อน)กรุณาไตร่ตรองใคร่ครวญให้จงหนัก สุดท้ายก็ต้องมาเดือดร้อนสถานทูตไทย คนไทยในญี่ปุ่นนี่แหละครับที่ต้องเรี่ยไรเงินทองคนละเล็กละน้อยช่วยกันทำพิธีศพและส่งกระดูกกลับบ้าน ขออย่าให้มีอีกเลย อยู่บ้านเราอาจจะได้เงินน้อย แต่ยังมีญาติพี่น้องช่วยเหลือกันอยู่บ้าง ถ้าขยันขันแข็งคงไม่น่าจะถึงกับไม่มีจะกิน

ที่มา: ch7.com, 4/11/2562

ชายวัย 26 ปี ร้องสื่อ พาเด็กขายน้ำมะพร้าวแต่โดน พมจ.ภูเก็ตจับ

4 พ.ย. 2562 ที่ศูนย์ข่าวนคร 24 ชม.สมาคมสื่อมวลชนจังหวัดนครศรีธรรมราช ได้มีนายวัชชิระ พูลช่วย อายุ 26 ปี อยู่บ้านเลขที 40/136 ถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ท่าวัง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช พร้อมญาติ ๆ เดินทางเข้าร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากกรณีที่นายวัชชิระ นำเด็ก ๆ ซึ่งเป็นญาติ ๆ และลูกหลานของคนในชุมชนอายุระหว่าง 12-17 ปีเดินทางไปขายน้ำมะพร้าวเพื่อหารายได้เสริมช่วยเหลือจุนเจือครอบครัวในช่วงปิดเทอมตามแหล่งชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวใน จ.ภูเก็ต แต่ถูกเจ้าหน้าที่ พม.จังหวัดภูเก็ตจับกุม โดยระบุว่าเป็นการค้ามนุษย์และใช้แรงงานเด็กโดยผิดกฎหมาย อย่างไรก็ตามหลังจากคุมตัวตนพร้อมเด็ก จำนวน 5 คนส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมือง จ.ภูเก็ต ทางพนักงานสอบสวนยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาดำเนินคดีกับตนและปล่อยตัวตนมาชั่วคราวแต่ทางเจ้าหน้าที่ พม.ได้กัดตัวเด็ก ๆ ทั้ง 5 คนเอาไว้ตั้งแต่วันที่ 28 พ.ย.2562 ที่ผ่านมา

นายวัชชิระ พูลช่วย กล่าวว่าตนอยู่กินกับภรรยามีบุตรด้วยกัน 2 คน ๆ โต อายุ 3 ขวบเศษและคนสุดท้องอายุ 1 ขวบเศษ ครอบครัวของตนมีฐานะยากจนโดยตนยึดอาชีพขายน้ำมะพร้าวตามแหล่งชุมชนและตามร้านอาหาร สถานบันเทิงรวมทั้งตามตลาดนัดในจังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาได้มีเด็กทั้ง 5 คนซึ่งเป็นญาติตนและลูกหลานของเพื่อนบ้านในชุมชนซึ่งทุกคนมีปัญหาทางครอบครัวโดยเฉพาะพ่อแม่แยกทางกัน อาศัยอยู่กับปู่ ย่า ป้า ลุง น้า อา ที่สำคัญทุกคนมีฐานะยากจน ได้มาช่วยเหลือตนขายน้ำมะพร้าวและตนได้ให้ค่าตอบแทนครั้งละ 100-200 บาทนำไปช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว จนกระทั้งเมื่อช่วงปิดเทอมที่ผ่านมาการขายน้ำมะพร้าวในจังหวัดนครศรีธรรมราชขายไม่ดี รายได้ลดลง ตนจึงคิดที่จะไปขายในจังหวัดภูเก็ตซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยว ในขณะที่พ่อแม่และญาติ ๆ ของเด็กทั้ง 5 คนได้มามาขอร้องให้ตนนำเด็ก ๆ ที่อยู่ในช่วงปิดเทอมไปช่วยขายน้ำมะพร้าวด้วยจะได้มีรายได้มาจุนเจือครอบครัวและนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในช่วงเปิดเทอม

“ตนจึงยกครอบครัวพร้อมเด็ก ๆ ทั้ง 5 คนเดินทางไปขายน้ำมะพร้าวใน จ.ภูเก็ต โดยได้ไปเช่าบ้านร้างริมทะเลในราคาเดือนละ 800 บาทอยู่อาศัย กินนอนรวมกันจำนวน 8-9 คน ซึ่งตนจะรับผิดชอบเรื่องอาหารการกินทั้งหมด ในแต่ละวันตนจะนำน้ำมะพร้าวมาใส่ถุงทำเป็นชุด ๆ ละ 2 ถุงราคา ชุดละ 40 บาท และกำหนดว่าทุกคนจะต้องพยายามขายให้หมดคนละ 20-25 ถุง/วัน โดยตนจะให้ค่าจ้างคนละ 400 บาท/วัน จากนั้นได้ขับรถ จยย.พ่วงข้างนำเด็ก ๆ ทั้ง 5 คนตระเวนขายน้ำมะพร้าวตามแห่งท่องเที่ยวหรือตามชุมชนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ทุกคนจะขายหมดตามเป้าหมาย ครอบครัวตนและเด็กทั้งหมดจะอยู่ใน จ.ภูเก็ตครั้งละ 10 วัน และเดินทางกลับมาอยู่นครศรีธรรมราช 7 วัน ซึ่งตนจะโอนเงินค่าจ้างของแต่ละคนให้กับพ่อแม่ ผู้ปกครองที่อยู่ใน จ.นครศรีธรรมราช 2-3 วัน/ครั้ง ในช่วง 10 วันเด็กจะได้รับค่าจ้างส่งให้กับทางบ้านประมาณ 3,000-4,000 บาท

นายวัชชิระ พูลช่วย กล่าวอีกว่าครั้งล่าสุดตนและครอบครัวพร้อมด้วยเด็กทั้ง 5 คนเดินมาจังหวัดภูเก็ตเพื่อขายน้ำมะพร้าวตามปกติ และในวันที่ 15 ต.ค. 2562 ได้มีเจ้าหน้าที่ พม.ภูเก็ตเดินทางมาที่บ้านเช่าของตนและสอบถามรายละเอียดเรื่องราวของการนำเด็กทั้งหมดมาขายน้ำมะพร้าว ตนจึงเล่ารายละเอียดเรื่องราวของตนและเด็กแต่ละคนให้เจ้าหน้าที่ พม.ทราบอย่างละเอียดพร้อมสอบถามว่าตนสามารถนำเด็ก ๆ ออกขายน้ำมะพร้าวได้หรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ พม.จึงแจ้งว่าสามารถทำได้แต่ได้แนะนำว่าไม่ควรให้เด็ก ๆ ขายเกินเวลา 22.00 น.ของทุกวัน ซึ่งตนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด จนเมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2562 ตนนำเด็ก ๆ มาขายน้ำมะพร้าวบริเวณที่ว่าการอำเภอเมืองภูเก็ต แต่ถูกเจ้าหน้าที่ พม.จับกุมตัวเด็กทั้ง 5 คนเอาไว้และเดินทางไปตรวจค้นที่บ้านเช่าของตนก่อนจะแจ้งว่าตนมีความผิดฐานค้ามนุษย์และใช้แรงงานเด็กโดยผิดกฎหมาย จากนั้นได้ควบคุมตัวตนและเด็กทั้ง 5 คนส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองภูเก็ต เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างไรก็ตามทางพนักงานสอบสวนได้สอบสวนปากคำตนและเด็ก ๆ ในเบื้องต้นและแจ้งว่ายังไม่สามารถแจ้งข้อกล่าวหาใด ๆ ดำเนินคดีกับตนได้เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ จะต้องรวบรวมพยานเพิ่มเติม ก่อนปล่อยตัวตนเป็นอิสระ แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ พม.ไม่ยอมปล่อยตัวเด็กทั้ง 5 คน และได้นำเด็กทั้ง 5 คนไปดูแลกักตัวไว้ที่สถานสงเคราะห์บ้านพักเด็กและครอบครัว จ.ภูเก็ต และแจ้งให้ตนกลับนำพ่อแม่หรือผู้ปกครองเด็กมาเซ็นชื่อรับตัวเด็ก แต่เมื่อผู้ปกครองเด็กเดินทางไปแสดงตัวและเซ็นชื่อขอรับเด็กกลับทางเจ้าหน้าที่ พม.ไม่ยอมปล่อยตัวเด็กทั้ง 5 คนกลับและยังกักตัวเด็กทั้ง 5 คนเอาไว้จนถึงปัจจุบันนี้

“ตนสอบถามเจ้าหน้าที่ พม.ว่าจะต้องทำอย่างไร ทางเจ้าหน้าที่ พม.ระบุว่าตนจะต้องถูกดำเนินคดีฐานค้ามนุษย์และใช้แรงงานเด็กโดยผิดกฎหมายมีโทษจำคุกอย่างน้อย 10 ปีและปรับอีกนับแสนบาท ทำให้ตนทุกข์ใจเป็นอย่างมากเพราะหากตนถูกจำคุกนานถึง 10 ปี ปรับอีกนับแสนบาทครอบครัวตนทั้งเมียและลูกเล็ก ๆ 2 คนคงได้รับความลำบากเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสแน่นอน ตนยืนยันว่าไม่ได้ค้ามนุษย์ ไม่ได้บังคับ กักขัง หน่วงเหนี่ยวใช้แรงงานเด็กเลย พ่อแม่ ผู้ปกครองเด็กต่างรับรู้และขอร้องให้ตนรับเด็ก ๆ มาช่วยทำงานขายน้ำมะพร้าว ซึ่งผู้ปกรองเด็กแต่ละคนต่างขอบใจตนที่ช่วยเหลือเด็ก ๆให้มีงานทำหารายได้จุนเจือครอบครัว แต่กลายเป็นว่าตนมีความผิดฐานค้ามนุษย์และใช้แรงงานเด็ก ตนฐานะยากจนและไม่มีความรู้ไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใคร จึงมาร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากสื่อมวลชนดังกล่าว”

ทางด้านนางจำปา แก้วคง อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 1/8 ซอยอินทนิน ถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช กล่าวว่าเดิมครอบครัวมีด้วยกัน 3 คนพ่อแม่และลูก มีฐานะจนแร้นแค้น ไม่มีที่ทำมาหากินเป็นของตัวเอง ไม่มีที่อยู่อาศัย จึงได้มาสร้างเพิงพักอยู่ในที่คูเมืองเก่าซึ่งเป็นที่สาธารณะอาศัยอยู่มานานหลายปี จนลูกชายตนมีภรรยาและมีลูก 3 คนป่วยเป็นโรคหัวแตงโม 1 คน และเคราะห์ซ้ำกรรมซัดเมื่อตนล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์หลายปี ในขณะที่สามีทำงานรับจ้างทั่วไปและเก็บของเก่าขาย จนเมื่อปี 2552 นายภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งปัจจุบันท่านเป็น ส.ว. และคณะสื่อมวลชนได้ยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ครอบครัวของตนพอลืมตาอ้าปากได้ แต่หลานที่ป่วยโรคหัวแตงโมได้เสียชีวิตไปแล้ว ในขณะที่ตนได้รับการรักษาจนสามารถเดินได้ตามปกติ ต่อมาลูกชายตนติดคุก ลูกสะใภ้ไปมีสามีใหม่ทิ้งลูก 2 คนไว้ให้ตนและสามีเลี้ยงดูปัจจุบันคนโตชื่อน้องเดี่ยว (นามสมมุติ) อายุ 15 ปี 8 เดือน คนเล็กอายุ 8 ขวบ หลังจบ ป.6 น้องเดียวได้ออกจากโรงเรียนมาช่วยทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว โดยช่วยเก็บของเก่าขายและทำงานรับจ้างทุกอย่าง และได้ไปช่วยนายวัชชิระ ขายน้ำมะพร้าวตามสถานบันเทิง ตามตลาดนัด นายวัชชระ ให้เงินมาใช้จ่ายครั้งละ 100-200 บาท จนกระทั้งช่วงปิดเทอมที่ผ่านมานายวัชชิระ บอกว่าจะไปขายน้ำมะพร้าวที่ จ.ภูเก็ต ตนและเพื่อบ้านจึงมาขอให้นายวัชชระ พาน้องเดียวและเด็กในชุมชนซึ่งล้วนมีปัญหาครอบครัวไปช่วยขายน้ำมะพร้าวหาเงินมาช่วยเหลือจุนเจือครอบครัว จนถูกจับกุมดังกล่าว

“ตนอนุญาตให้น้องเดียว ไปขายน้ำมะพร้าวกับนายวัชชิระที่ภูเก็ต โดยนายวัชชิระ ได้ให้จ้างคนละ 400 บาท/วัน ทำให้ครอบครัวตนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะน้องเดี่ยวพยายามเก็บเงินเพื่อเป็นค่าเสื้อผ้า ชุดนักเรียนและค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ในการสมัครเรียน กศน.ในช่วงเปิดเทอมที่จะถึงนี้ หลังถูกจับกุม นายวัชชิระ ได้กลับมานครศรีธรรมราช ก่อนจะพาตนและญาติ ๆ ของเด็กทุกคนเดินทางไป จ.ภูเก็ตติดต่อกับเจ้าหน้าที่ พม.เพื่อขอรับตัวหลานกลับบ้านแต่หลังจากที่ตนและญาติของเด็ก ๆ ทั้ง 5 คนเซ็นชื่อเพื่อรับลูกหลานกลับบ้าน แต่เจ้าหน้าที่ชี้หน้าดุด่าตนอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ว่าตนมีอวัยวะครบถ้วน ทำไมไม่ดูแลเลี้ยงดูหลานให้ดี ทำไมปล่อยให้หลานมาขายน้ำมะพร้าวอย่างนี้ และไม่ยอมมอบเด็กทั้ง 5 คนให้เป็นอิสระ โดยน้องเดียวและเด็กทุกคนร้องห่มร้องให้วิงวอนขอกลับบ้านแต่เจ้าหน้าที่ พม.ยืนกรานไม่ยอมให้กลับ จนในที่สุดตนและญาติของเด็ก ๆ ต้องพากันเดินทางกลับมานครศรีธรรมราชด้วยความผิดหวัง”

นางจำปา แก้วคง กล่าวด้วยน้ำตานองใบหน้าอีกว่า ตนเสียใจมากที่เจ้าหน้าที่ พม.ด่าทอตนอย่างรุนแรง เจ้าหน้าที่ พม.น่าจะรู้ว่าในสังคมไทยยังเด็กและครอบครัวที่มีฐานะยากจน มีความเป็นอยู่อย่างแร้นแค้นต้องช่วยกันทำงานปากกัดตีนถีบและการที่เด็กอายุไม่ถึง 18 ปีออกมาช่วยเหลือพ่อแม่ ผู้ปกครอง ช่วยเหลือครอบครัวทำงานหารายได้จุนเรือครอบครัวเป็นเรื่องที่ดีและควรได้รับการดูแลสนับสนุนส่งเสริม เพราะในปัจจุบันเด็กที่ครอบครัวแตกแยก พ่อแม่แยกทางกันจึงมีปัญหา เที่ยวเตร่ ติดยาเสพติด ไร้อนาคตมีเป็นจำนวนมาก ก็ไม่เห็นว่าหน่วยงานของรัฐโดยเฉพาะ พม.ที่เป็นกระทรวงที่รับผิดชอบดูแลแก้ปัญหาเรื่องเหล่านี้โดยตรงจะช่วยเหลือหรือแก้สามารถแก้ปัญหาใด ๆ ได้ เมื่อเด็กที่สำนึกดีมาช่วยเหลือพ่อแม่ และผู้ปกครองทำงานหารายได้จุนเจือครอบครัว เจ้าหน้าที่ พม.กลับมองว่าเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย คนที่ยื่นมือเข้ามาดูแลช่วยเหลือเด็กให้มีงานทำ มีรายได้กลับถูกมองว่าทำผิดกฎหมาย หากเป็นเช่นนี้ต่อไปสังคมไทยจะอยู่กันอย่างไร โดยในขณะนี้เด็ก ๆ ทั้ง คนอยู่ในสภาพยิ่งกว่าคนติดคุกติดตะรางเสียอีก คนที่ติดคุกติดตะรางญาติยังสามารถไปเยี่ยมได้ติดต่อพูดคุยกับญาติได้ แต่เด็กบ้านพักเด็ก ฯหรือสถานสงเคราะห์กลับไม่ยอมให้เด็ก ๆ ติดต่อกับญาติ ไม่ยอมให้พบ พูดคุยกับญาติ ๆ จะโทรศัพท์หาพ่อแม่ ผู้ปกครองก็ไม่ได้ โรงเรียนก็จะเปิดเทอม จะให้ตนและญาติของเด็ก ๆทำอย่างไร จะต้องวิ่งรอกเสียค่าใช้จ่าย เสียเวลาในการไปขอรับหลานกลับบ้านอีกกี่ครั้งกี่หนและทุกครอบครัวเดือดร้อนลำบากอยู่แล้วยิ่งเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น การกระทำของเจ้าหน้าที่ในลักษณะนี้ถูกต้องแล้วหรือท่าน ส.ว.ภาณุ อุทัยรัตน์ อดีตผู้ว่า ฯเมืองคอนอยู่ไหนได้โปรดช่วยเหลือในเรื่องนี้ด้วยเถิด นางจำปา กล่าววิงวอนขอร้องด้วยน้ำตานองใบหน้าอย่างน่าสงสารและสุดสะเทือนใจเป็นอย่างมาก

ที่มา: คมชัดลึก, 4/11/2562 

'ป้าน้อย' ขอบคุณทั้งน้ำตาแรงงานตราดช่วยทวงค่าแรง

ความคืบหน้ากรณีนางน้อย พรมศร อายุ 57 ปี อยู่บ้านเลขที่ 844 ม.12 ต.วังกระแจะ อ.เมือง จ.ตราด ลูกจ้างบริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด เครียดจัด หวังกระโดดฆ่าตัวตายที่สะพานแม่น้ำตราด เพราะไม่ได้รับค่าแรงจำนวน 2 เดือน เมื่อวานนี้นั้น

ล่าสุดวันที่ 3 พ.ย. 2562 นางเกศรินทร์ สามัญ นักวิชาการแรงงานชำนาญการ สำนักงานสวัสดิ์การและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดตราด เดินทางไปพบนางน้อย พรมศร เพื่อสอบถามปัญหาและข้อเท็จเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดเหตุ ซึ่งทราบว่า นางน้อย พรมศร ไม่ได้รับค่าแรง จาก บริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด จำนวน 2 เดือน คือเดือนกุมภาพันธ์ 2562 จำนวนเงิน 7,680 บาท และ เดือนกันยายน 2562 เป็นเงิน 8,000 บาท รวมทั้งสิ้น 15,680 บาท

โดยบริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ตั้งอยู่เลขที่ 20/61 เสือใหญ่อุทิศ จันทรเกษม จตุจักร กรุงเทพมหานคร 10900 เป็นคู่สัญญากับสำนักงานเทศบาลเมืองตราด ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2561 – 30 กันยายน 2562 หลังชนะการประมูลงานผ่าน e – bidding รับงานทำความสะอาด หนึ่งในนั้นคือ พิพิธภัณฑสถานเมืองตราด ที่นางน้อย พรมศร เป็นผู้ทำความสะอาดอยู่ที่นั้น

ขณะที่นางเกศรินทร์ สามัญ และนางน้อย พรมศร กำลังพูดคุยกันอยู่ ปรากฏว่า นางสาวอำภา สุฉายา อายุ 32 ปี ลูกจ้างบริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด อีกคน ที่ได้รับค่าแรงจำนวน 1 เดือน เช่นนกัน ได้ติดต่อมายังนางน้อย พรมศร ว่า ค่าแรงเดือนกันยายน 2562 จำนวน 8,000 บาท ทางบริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะโอนเข้าบัญชีในวันจันทร์นี้ (4 พฤศจิกายน 2562) ส่วนเงินเดือนของกุมภาพันธ์ 2562 ยังไม่การโอนมาให้แต่อย่างใด

ซึ่งบริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงค้างจ่ายเงิน นางน้อย พรมศร อีก 1 เดือน นางเกศรินทร์ จึงได้แนะนำให้นางน้อย พรมศร เดินทางไปยังสำนักงานสวัสดิ์การและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดตราด เพื่อเขียนคำร้องขอความช่วยเหลือ พร้อมทั้งรับมอบเงินจำนวน 8,000 บาท (เดือน ก.ย.62) ต่อหน้าเจ้าหน้าที่

ด้านนางสาวอำภา สุฉายา เปิดเผยว่า หลังจาก บริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ชนะการประมูลแล้ว ได้รับลูกจ้างซึ่งเป็นคนจังหวัดตราด ทั้งหมดรวม 6 คน เพื่อทำความสะอาดตามรายละเอียดในสัญญา โดยให้ค่าแรงวันละ 320 บาท โดยจะโอนเงินเข้าบัญชีของแต่ละคนทุกเดือน แต่บริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด กับมีปัญหาแทบทุกเดือน ทั้งเงินออกช้าและเงินไม่ออก ตนเองทำได้เพียงแค่โทรศัพท์ไปทวงกับบริษัทเท่านั้น โดยที่ไม่รู้จักหน้าตาและไม่เคยพบคนของบริษัทเลย

สำหรับบริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด ยังคงค้างค่าแรงลูกจ้างทั้งหมด 6 คน คือ 1.นางน้อย พรมศร จำนวน 2 เดือน 2.นางสาวอำภา สุฉายา จำนวน 1 เดือน 3.นางสาวปราณี เอี่ยมอำ จำนวน 2 เดือน 4.นางยุพิน ขำวงศ์ จำนวน 2 เดือน 5.นางกอแก้ว อุ้มนางรอง จำนวน 1 เดือน 6.นางอำพร สุฉายา จำนวน 1 เดือน

โดยวันที่ 4 พ.ย. 2562 บริษัท เมเจอร์ เซอร์วิส คอร์ปอเรชั่น จำกัด จะโอนเงินค่าแรง เดือนกันยายน 2562 และจะทำให้บริษัท ยังคงค้างค่าแรงลูกจ้างอีก 1 เดือน จำนวน 3 คน คือ นางน้อย พรมศร นางยุพิน ขำวงศ์ และนางสาวปราณี เอี่ยมอำ

ขณะที่นางน้อย พรมศร กล่าวทั้งน้ำตา ต้องขอบคุณสำนักงานสวัสดิ์การและคุ้มครองแรงงาน จังหวัดตราด ที่เข้ามาช่วยเหลือติดตามในเรื่องนี้ ส่วนเรื่องที่คิดจะฆ่าตัวตายนั้น เพราะไม่มีทางออก เครียดมาก เพราะอยากได้เงินไปจ่ายหนี้และให้ลูกชายที่อยู่ในเรือนจำตราด อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ สำนักงานเทศบาลเมืองตราด จะเรียกผู้เสียหาย มาชี้แจงทำความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด เพื่อไม่ให้เป็นการเข้าใจผิดว่า เทศบาลเมืองตราด ไม่ใช่ผู้ที่ค้างค่าแรงและพร้อมช่วยเหลือผู้เสียหาย เพื่อความเป็นธรรมของทั้งสองฝ่าย

ที่มา: บ้านเมือง, 3/11/2562 

บริษัทนิปปอนสตีล สตีล โพรเซสซิ่ง (ประเทศไทย) ประกาศแจ้งพนักงานหยุดงานชั่วคราว จ่ายค่าจ้าง 75% เหตุยอดสั่งซื้อสินค้ามีน้อย

ThaiPBS รายงานว่า เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 2562 ที่ผ่านมา บริษัทนิปปอนสตีล สตีล โพรเซสซิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่ม NIPPON STEEL จากประเทศญี่ปุ่น ประกาศขอให้พนักงานหยุดงานชั่วคราว โดยระบุว่า ความต้องการใช้วัตถุดิบจากลูกค้าลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา จากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ จึงส่งผลกระทบต่อยอดการผลิตของบริษัท ทำให้ไม่สามารถเดินแผนงานปกติได้ ส่งผลให้บริษัทต้องปรับลดกำลังการผลิตลงถึงจุดที่ไม่มีความจำเป็นต้องดำเนินการผลิตเป็นระยะชั่วคราว

ประกอบกับจำนวนวันทำงานในเดือน พ.ย.นี้มีทั้งหมด 24 วัน ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับกำลังการผลิตที่มีในอัตราปกติและจากใบสั่งซื้อในเดือนพ.ย.นี้ ของลูกค้าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้กำลังการผลิตสูงกว่ายอดสั่งซื้ออยู่มากบริษัท จึงมีความจำเป็นต้องประกาศหยุดงานชั่วคราวตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 มาตรา 75 โดยการหยุดงานดังกล่าวให้มีผลทั้งในส่วนสำนักงานและส่วนโรงงานทั้งหมดในวันเสาร์ที่ 9 พ.ย.นี้ 2562

บริษัทฯ อาจมีความจำเป็นให้พนักงานบางส่วนงาน หรือบางคนต้องมาปฏิบัติงานในวันดังกล่าวตามความจำเป็นและเหมาะสม ซึ่งทางบริษัทฯจะแจ้งให้ทราบอีกครั้งเป็นรายบุคคล ซึ่งในช่วงที่พนักงานหยุดงานเป็นการชั่วคราว บริษัทฯ จะจ่ายดังนี้

-จ่ายเงินจำนวน 75% ของค่าจ้างในวันทำงานปกติที่พนักงานได้รับ
-สำหรับพนักงานบางคนที่ต้องมาทำงานในวันกล่าว บริษัทฯ จะจ่ายเงินให้ตามปกติ
-การให้หยุดงานนี้จะไม่มีผลใด ๆ กับการคำนวณเบี้ยขยัน หรือการประเมินผลการปฏิบัติงาน

ที่มา: ThaiPBS, 3/11/2562 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท