แม้ชะตากรรมทางการเมืองของอีโว โมราเลส อดีต ปธน. ยอดนิยมของโบลิเวียจะจบลงหลังถูกประท้วงในข้อหาโกงเลือกตั้ง ยื้ออำนาจการเมือง แต่ข้อถกเถียงถึงการโค่นล้มอำนาจครั้งนี้ว่าเป็น "รัฐประหาร" หรือไม่ยังคงดำเนินต่อไป ชวนดูสาเหตุของทั้งสองฝ่าย ต้นตอของความไม่พอใจ และคำถามทางโครงสร้างที่จำเป็นต้องได้รับการชี้แจงมากกว่าเหตุผลเฉพาะหน้าเรื่องใครถูก-ผิดในโลกสีเทาๆ
อีโว โมราเลส อดีตประธานาธิบดีโบลิเวีย (ที่มา:Kremlin.ru)
14 พ.ย. 2562 สถานการณ์ทางการเมืองในโบลิเวียดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ฉับพลัน หลังจากการประท้วงใหญ่อันมีผลจากความไม่พอใจในผลการเลือกตั้งทั่วไปและท่าทีการยื้ออำนาจของเขา นำมาซึ่งการประกาศลาออกของอีโว โมราเลส ประธานาธิบดีโบลิเวียเมื่อ 11 พ.ย. ที่ผ่านมา
เจนีน อันเยซ วุฒิสมาชิกฝ่ายค้านในโบลิเวียขึ้นเป็นรักษาการประธานาธิบดีหลังจากที่มีการลาออกของโมราเลส อันเยซกล่าวว่าเธอจะมีมาตรการทำให้ประเทศกลับสู่ความสงบ และการขึ้นดำรงตำแหน่งชั่วคราวของเธอจะเป็นการนำไปสู่การเลือกตั้งใหม่
พรรค MAS ซึ่งเป็นพรรคของโมราเลสประณามว่าการขึ้นดำรงตำแหน่งของอันเยซผิดกฎหมาย รวมถึงประกาศคว่ำบาตรสภาจากผู้นำชั่วคราวคนนี้ นอกจากนี้ยังมีการเดินขบวนประท้วงของผู้สนับสนุนโมราเลสจำนวนมากด้วย ผู้ประท้วงรายหนึ่งชื่อ ฮูลิโอ ชิปานา ชี้ว่าอันเยซประกาศตัวเองเป็นรักษาการประธานาธิบดีโดยไม่มีองค์ประชุมในรัฐสภา และ "เธอไม่ได้เป็นตัวแทนของพวกเรา"
เกิดอะไรขึ้นในโบลิเวีย
วิกฤตทางการเมืองรอบล่าสุดในเริ่มต้นมาจากการประท้วงหลังจากที่ฝ่ายค้านในโบลิเวียกล่าวหาว่ามีการโกงการเลือกตั้งครั้งล่าสุด ซึ่งในการเลือกตั้งเมื่อช่วงปลายเดือน ต.ค. ที่ผ่านมาก็มีพิรุธในช่วงการนับคะแนน โดยที่มีการหยุดการนับคะแนนอย่างกระทันหันทิ้งห่างไปหนึ่งวันก่อนที่จะกลับมาประกาศผลอีกครั้งโดยที่ไม่มีการชี้แจงว่าหยุดนับคะแนนด้วยเหตุใด ซึ่งผลคือพรรครัฐบาลชนะการเลือกตั้ง
หลังการประท้วงต่อเนื่องเป็นเวลาหลายสัปดาห์ โมราเลสประกาศสละตำแหน่งภายใต้การกดดันของตำรวจและกองทัพ และได้ลี้ภัยไปยังเม็กซิโกในเวลาต่อมาหลังรัฐบาลเม็กซิโกประกาศพร้อมรับตัวเขาไว้ อีกด้านหนึ่ง ในเวลาต่อมา สหรัฐฯ ให้การรับรองสถานภาพรัฐบาลชั่วคราวที่นำโดยอันเยซ
โมราเลสขอบคุณเม็กซิโกที่ "ช่วยชีวิตเขาไว้" และกล่าวหาคู่แข่งของเขาว่าทำการบีบให้เขาออกจากตำแหน่งด้วยวิธีการ "รัฐประหาร" โมราเลสกล่าวเมื่อวันที่ 10 พ.ย. ที่ผ่านมาก่อนลาออกว่ามีสมาชิกของกองทัพตั้งค่าหัวเขาไว้ 50,000 ดอลลาร์ เขาประณามว่าคนเหล่านี้ "ไม่เคารพในชีวิตหรือกระทั่งไม่เคารพในบ้านเกิดของตัวเอง"
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ทำให้นักการเมืองเอียงซ้ายหลายคนจากหลายชาติกล่าวกล่าวประณามว่าเป็น "การรัฐประหาร" ไม่ว่าจะเป็นเจเรมี คอร์บิน หัวหน้าพรรคแรงงานอังกฤษ ลุลา ดา ซิลวา อดีตประธานาธิบดีบราซิลที่เพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ และเบอร์นี แซนเดอร์ส หนึ่งในผู้แทนลงสมัครเลือกตั้งจากพรรคเดโมแครตในสหรัฐฯ
สื่อนิตยสาร GQ รายงานว่าโมราเลสเป็นประธานาธิบดีที่มีคุณูปการต่อประเทศโบลิเวียในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการลดปัญหาความยากจนได้ครึ่งหนึ่ง มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำสามเท่า และมีโครงการด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่หลายโครงการ รวมถึงประสบความสำเร็จในด้านการสกัดกั้นไม่ให้มีกลุ่มอำนาจจักรวรรดินิยมเข้าไปควบคุมทรัพยากรธรรมชาติของโบลิเวียในขณะที่นักการเมืองสหรัฐฯ พยายามสร้างภาพให้โมราเลสดูเป็นคนที่มีภาพเหมารวมเดิมๆ ของนักสังคมนิยมคือเป็นคนทำลายเศรษฐกิจ
กระนั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาผู้คนในโบลิเวียบางส่วนรวมถึงผู้สนับสนุนโมราเลสด้วยเริ่มไม่พอใจในตัวเขาจากความพยายามทำในสิ่งที่ไม่เป็นประชาธิปไตย พยายามยึดกุมอำนาจตัวเองไว้ เช่น ในปี 2559 เขาแพ้การเลือกตั้งด้วยคะแนนเฉียดฉิวแต่ก็ทำการการอุทธรณ์ต่อศาลซึ่งศาลก็ตัดสินในเชิงเข้าข้างเขาทำให้เขามีอำนาจได้ต่อไป นอกจากนั้น โมราเลสยังได้แก้ไขรัฐธรรมนูญในเรื่องการจำกัดวาระดำรงตำแหน่งของประธานาธิบดีเอาไว้มาแล้วถึงสองครั้ง
ในการเลือกตั้งครั้งหลังสุดก็มีสิ่งที่ทำให้เกิดข้อกังขาเรื่องอาจจะมีการโกงการเลือกตั้งทำให้องค์การรัฐอเมริกัน (OAS) ตรวจสอบในเรื่องนี้ รายงานของ OAS ทำให้เกิดการประท้วงทั่วโบลิเวียในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาและถูกนำมาขยายความต่อโดย ส.ว. สหรัฐฯ มาร์โค รูบิโอ โมราเลสพยายามเอาใจผู้ชุมนุมด้วยการจัดให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง แต่หน่วยงานตำรวจและทหารโดยเฉพาะนายพล วิลเลียม คาลิมาน ผู้บัญชาการเหล่าทัพของโบลิเวียก็ขัดขืน ทำให้เกิดสิ่งที่หลายคนเรียกว่าเป็นการรัฐประหารเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าคาลิมานจะให้สัญญาว่าทหารจะไม่โจมตีผู้ชุมนุม แต่ก็มีคลิปวิดีโอจากสื่อเตลาซูร์เผยให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ทำการปราบปรามผู้ชุมนุมสนับสนุนโมราเลสจนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 1 ราย
รัฐประหารหรือไม่ ดูเหตุผล 2 ฝั่งและปัญหาเชิงโครงสร้าง
องค์กรจับตามองสื่อสหรัฐฯ Fairness & Accuracy In Reporting (FAIR) ตั้งข้อสังเกตว่าสื่อสหรัฐฯ หลายแห่งไม่เน้นพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็น "การรัฐประหาร" แต่จะเน้นระบุว่าโมราเลส "ลาออก" เพราะข้อกล่าวหาเกี่ยวกับการทุจริตการเลือกตั้งมากกว่า ทั้งนี้ยังตั้งข้อกังขาว่าองค์กร OAS ที่ตรวจสอบเรื่องการเลือกตั้งของโบลิเวียเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นในสมัยสงครามเย็นที่มีเป้าหมายพยายามสกัดกั้นการแผ่ขยายอิทธิพลของรัฐฝ่ายซ้ายในทวีปอเมริกา
อย่างไรก็ตามมีรายงานที่น่าสนใจจากนิวยอร์กไทม์ ที่นำเสนอว่ากรณีของโบลิเวียอาจจะไม่สามารถตีความออกมาได้ชัดเจนว่าเป็นการรัฐประหารหรือปฏิวัติของประชาชน เพราะว่าเมื่อพิจารณาแล้วพบว่ามีเรื่องเล่าหลักๆ สองแบบเวลาพูดถึงเหตุการณ์โบลิเวีย หนึ่ง คือเรื่องเล่าที่ประชาชนปฏิวัติต่อต้านประธานาธิบดีซึ่งมีท่าทีเข้าใกล้อำนาจนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และอีกแบบหนึ่งคือการเน้นพูดเรื่องวิธีการใช้กำลังทหารในการแทรกแซงกระบวนการ ซึ่งเรื่องเล่าทั้งสองเรื่องต่างมีหลักฐานมานำเสนอทั้งคู่
แน่นอนว่าตามหลักจริยธรรมของโลกสากลในปัจจุบันแล้ว การรัฐประหารจะต้องถูกประณาม ขณะที่การปฏิวัติของประชาชนจะต้องได้รับการพิทักษ์เชิดชู แต่ในกรณีของโบลิเวีย มีนักวิชาการที่เสนอว่าอย่ามัวไปยึดติดกับการตั้งปมว่ามันเป็นการรัฐประหารหรือการปฏิวัติประชาชนกันแน่ เพราะสิ่งที่สำคัญกว่าคือผลลัพธ์ที่ตามมา
ผู้เสนอเรื่องดังกล่าวคือ เนานิฮาล ซิงห์ นักวิชาการชั้นนำที่เชี่ยวชาญประเด็นเกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจและการรัฐประหาร เขาบอกว่าปัญหาจริงๆ ก็คือคำถามที่ว่า จะเกิดขึ้นต่อไปในโบลิเวีย ซิงห์กล่าวว่าการเปลี่ยนผ่านในโบลิเวียมักจะเป็นไปอย่างลื่นไหลและคาดเดาไม่ได้ มุมมองเรื่องความชอบธรรมหรือการขาดความชอบธรรมอาจเป็นตัวปัจจัยที่ชี้ขาด
สำหรับในแง่ความชอบธรรมนั้น ภาพลักษณ์ของการปฏิวัติประชาชนตั้งแต่ยุคสมัยสงครามเย็นมักจะดูลักษณ์โรแมนติกกว่า แต่ซิงห์ก็ชี้ว่าการกล่าวหาว่าการประท้วงของชาวโบลิเวียขาดความชอบธรรมเพียงเพราะมีการใช้ความรุนแรงนั้นไม่ก็ไม่ได้มีความเชื่อมโยงกัน เพราะการปฏิวัติประชาชนจำนวนมากก็มีความรุนแรง
ซิงห์ยังโต้แย้งข้ออ้างของฝ่ายต่อต้านโมราเลสที่ใช้ข้อกล่าวหาว่าโมราเลสลุแก่อำนาจ หรือมีการใช้ความรุนแรงจากฝ่ายสนับสนุนของเขาเป็นข้ออ้างสร้างความชอบธรรมให้กองทัพแทรกแซง ว่าเป็นข้ออ้างที่เบาหวิวเช่นกัน ข้ออ้างของทั้งสองฝ่ายมีลักษณะตอบโต้กันไปมาเพื่อสร้างความชอบธรรมทางจริยธรรมก็เท่านั้น
นิวยอร์กไทม์ยังชวนให้มองเรื่องนี้ในแง่สีเทาๆ มากกว่าจะเป็นปัญหาของฝ่ายขวาหรือฝ่ายซ้าย เพราะในอดีตก็เคยมีการรัฐประหารที่กองทัพทำหน้าที่โค่นล้มฝ่ายขวาและสนับสนุนฝ่ายซ้ายมาก่อนเช่นในเอกวาดอร์ สำหรับนักรัฐศาสตร์แล้วเรื่องนี้เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่มาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การที่ประธานาธิบดีมีอำนาจมากเกินไป กองทัพมีอำนาจมากเกินไป สังคมที่แบ่งขั้วและสถาบันทางการเมืองที่อ่อนแอ ปัจจัยเหล่านี้จะทำให้เกิดปรากฏการณ์การตัดสินความขัดแย้งนอกกฎเกณฑ์กติกาได้อย่างที่เกิดขึ้นในโบลิเวีย
เรียบเรียงจาก
Bolivia: Jeanine Añez claims presidency after ousting of Evo Morales, The Guardian, Nov. 13, 2019
Is a Coup Happening in Bolivia?, GQ, Nov. 11, 2019
The Bolivian Coup Is Not a Coup—Because US Wanted It to Happen, FAIR, Nov. 11, 2019
Bolivia Crisis Shows the Blurry Line Between Coup and Uprising, New York Times, Nov. 13, 2019