Skip to main content
sharethis

เปิดกระบวนการนอกกฎหมายจัดการกับผู้แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ เจ้าหน้าที่ไม่ทราบหน่วย คุมตัว-ขู่บังคับให้ข้อมูล-ทำ MOU ล่าสุด นศ.ธรรมศาสตร์ โดน กับคำถามที่ว่าเสรีภาพเพิ่มขึ้น? แม้คดี 112 จะลด ขณะที่ ‘ทวิตเตอร์’ รายงานในรอบปีไม่มีการร้องขอข้อมูลจาก จนท. พร้อม 5 ข้อสังเกตและคำแนะนำของศูนย์ทนายสิทธิฯ

จำนวนคดีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือ ความผิดเกี่ยวกับการหมิ่นประมาทกษัตริย์จากการแสดงความคิดเห็นแม้จะลดลง หรืออาจจะเรียกว่าไม่มีคดีใหม่เลย ทางหนึ่งอาจเป็นการใช้ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 หรือข้อหา “ยุยงปลุกปั่น” แต่อีกกระบวนการที่เจ้าหน้าที่ใช้จัดการกับผู้ที่แสดงความคิดเห็นที่แตกต่างหรือความเห็นที่ ‘ถูก’ เจ้าหน้าที่มองว่ากระทบต่อความมั่นคงหรือหมิ่นประมาทกษัตริย์ก็มีกระบวนการคุมตัว บังคับให้ข้อมูลและทำข้อตกลงหรือ MOU ที่ ภาวิณี ชุมศรี ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่ติดตามประเด็นการละเมิดสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพการแสดงออก มองว่า ไม่ถือว่าอยู่ในกระบวนการตามกฎหมาย เพราะหากตามกฎหมายนั้นไม่ต้องทำความยินยอม เมื่อมีหมายจับหรือหมายเรียกก็ต้องปฏิบัติตามกระบวนการทางกฎหมาย

ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน อธิบายถึงกระบวนการนี้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นคือให้เซ็นชื่อยินยอมให้ข้อมูลที่ไม่ได้แจ้งผู้ถูกซักถามตั้งแต่แรก ทำให้คนเหล่านั้นไม่ทราบว่าสามารถปฏิเสธได้ สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหมือนการมัดมือชกภายหลัง ซึ่งกระบวนการตามกฎหมายนั้นต้องมีหมายเรียก หมายจับ หมายค้น หรือต้องมีการแจ้งข้อกล่าวหา ที่ไม่สามารถเอาตัวหรือเรียกว่าเชิญตัวไปคุยก่อน

ภาวิณี ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า กระบวนการแบบนี้ เริ่มชัดเจนหลังจากแนวโน้มการใช้มาตรา 112 ยุติไปประมาณปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม กระบวนการแบบนี้นั้นมีมาโดยตลอด ซึ่งก่อนหน้านี้มีบางกรณีที่ไม่ได้ดำเนินคดีตามมาตรา 112 ก็จะใช้ข้อหาอื่น เช่น มาตรา 116 พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ แต่กระบวนการคู่ขนานกันที่พวกตนได้รับทราบมาเป็นระยะนั้นมีการใช้กระบวนการ การนำตัวไป ซักถาม ขอดูอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ ขอรหัส หรือสั่งให้ลบโพสต์ ซึ่งทั้งเฟสบุ๊กแฟนเพจหรือคนที่แสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊กที่ถูกกระบวนการแบบนี้ แต่ไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะเพราะเกรงว่าจะมีปัญหา หรือเกรงว่าจะถูกดำเนินคดี เมื่อเซ็นชื่อและข้อตกลงแล้วก็เลือกที่จะเงียบ แม้แต่กลุ่มคดีสหพันธรัฐไทก็มีหลายรายที่ถูกใช้กระบวนการแบบนี้

วิดีโอที่ ภาวิณีและศิริกาญจน์ ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน เล่าถึงกระบวนการนอกกฎหมายนี้

หากเปรียบเทียบระหว่างกระบวนการไปพูดคุยในลักษณะนี้อาจจะดีกว่าการถูกดำเนินคดีตาม ม.112 นั้น  ภาวิณี มองว่า แล้วแต่คน บางคนก็รู้สึกว่ามันดีกว่าจะได้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี แต่การไปเซ็นแล้วนั้นทำให้เขาได้หลักฐานและบุคคลเหล่านั้นไม่ทราบว่าในอนาคตจะถูกดำเนินการอะไร เนื่องจากสิ่งที่ไปเซ็นนั้นอาจจะเป็นหลักฐานมัดในภายหลังในการดำเนินคดี ซึ่งดีที่สุดคือไม่ควรเซ็น และต้องดูด้วยว่าการกล่าวหาว่าคนเหล่านั้นผิดเป็นเรื่องอะไร เพราะบางกรณีอาจเป็นเพียงการกดไลค์ หรือแชร์ต่อ ตนมองว่ามีโอกาสที่จะต่อสู้คดีได้ แต่เมื่อเซ็นแล้วพยานหลักฐานก็ถูกเก็บไปหมดแล้ว หากจะมาดำเนินคดีในภายหลังก็เท่ากับเขามีทุกอย่างแล้ว อีกประการคืออาจมีการขยายผลจากคอมพิวเตอร์หรือข้อมูลของเรา ก็อาจจะขยายไปสู่คนอื่นๆ ประการที่ 3 คือ เราก็จะไม่ปลอดภัยอีกต่อไปหลังจากนั้น จะถูกติดตามตลอด

ภาวิณี กล่าวต่อว่า ไม่แน่ใจว่าอย่างใดดีกว่ากัน แต่สิ่งสำคัญอย่างน้อยแต่ละคนจะต้องทราบว่าจะต้องเจอกับอะไร และแต่ละคนจะต้องเป็นผู้ตัดสินใจเองโดยมีคำแนะนำที่รอบด้าน ได้ปรึกษากับทนายหรือผู้อื่นที่รอบด้าน ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนทำไปเพราะไม่ได้ข้อมูลที่รอบด้าน สุดท้ายก็รู้สึกว่ามันเป็นการละเมิดสิทธิ หรือไม่เป็นธรรมกับตัวเขา

สำหรับกลุ่มคนที่ถูกกระบวนการนี้นอกจากบางรายในกลุ่มคดีสหพันธรัฐไทแล้ว ทนายความจากศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ยืนยันว่า เท่าที่ทราบนั้นยังมีกรณีอื่นๆ อีก ซึ่งอยู่ในระหว่างการติดต่อขอข้อมูล

เพจ ศาสนวิทยา dr.Sinchai Chaojaroenrat นำคำบอกเล่ากรณีผู้ผ่านกระบวนการดังกล่าวมาเผยแพร่ต่อ ซึ่งเจ้าของทวิตเตอร์บัญชีดังกล่าวปัจจุบันระงับการเผยแพร่แล้ว

นศ.ธรรมศาสตร์ โดนสอบ-MOU

จากกรณีเมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ทวิตเตอร์ชื่อ ‘@99CEREAL’ ทวิตเล่าเรื่องการถูกควบคุมตัวจากมหาวิทยาลัยไปยัง สภ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี จากกรณีการรีทวิตข้อความในทวิตเตอร์ โดยเจ้าหน้าที่รัฐไม่ได้มีการแสดงหมายจับหรือแนะนำสังกัด ภายหลังถูกนำตัวไปซักถามเป็นเวลากว่า 1 ชั่วโมง ผู้ใช้ทวิตเตอร์รายดังกล่าวยังถูกกดดันให้เซ็นบันทึกข้อตกลง โดยมีข้อหนึ่งระบุว่าจะไม่ทวิตเรื่องเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์อีก ซึ่งขณะนี้ไม่สามารถเข้าถึงทวิตดังกล่าวแล้ว

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน รายงานข้อมูลเพิ่มเติมว่า ผู้ใช้ทวิตเตอร์บัญชีดังกล่าวซึ่งเป็นหญิงใช้นามสมมติว่า “พี” เปิดเผยข้อมูลกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ถึงเหตุการณ์การควบคุมตัวดังกล่าวว่าเกิดขึ้นเมื่อช่วงวันที่ 1 พ.ย. 2562 เวลาประมาณ 9.00-10.00 น. ระหว่างที่ตนกำลังเรียนอยู่ในคาบเรียนช่วงเช้า ปรากฎว่าได้มีเจ้าหน้าที่ชายและหญิงไม่ต่ำกว่า 3 คน ในชุดนอกเครื่องแบบ โดยสวมเสื้อแจ็คเก็ตสีดำเดินทางเข้ามาติดต่อกับฝ่ายทะเบียนของภาควิชาหนึ่งในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อขอพบตัวเธอ โดยยังไม่ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้แสดงหลักฐานใดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนหรือไม่

พี เล่ากับศูนย์ทนายความฯ ว่า เจ้าหน้าที่ฝ่ายทะเบียนได้ติดต่อมายังเลขาของภาควิชา และได้พาเจ้าหน้าที่มาพบถึงห้องเรียน โดยเข้าไปแจ้งในห้องเรียนว่ามีคนต้องการพบ จึงได้ออกจากห้องเรียนไป เมื่อได้พบเจ้าหน้าที่ชุดดังกล่าว ไม่มีใครแนะนำชื่อ หรือยศ ตำแหน่งสังกัดให้ทราบ บอกเพียงว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ และยังไม่ได้มีการแสดงเอกสารใด ๆ บอกแต่เพียงว่า มาเพราะเรื่องทวิตเตอร์ในเชิงหมิ่นฯ ให้เดินตามมา โดยมีเลขาของภาควิชาได้ขอเดินทางติดตามไปด้วย

พี ถูกนำตัวขึ้นรถเก๋งที่เจ้าหน้าที่เตรียมไว้ จากนั้นถูกนำตัวขึ้นไปยังชั้น 3 ซึ่งเป็นห้องสอบสวนของ สภ.คลองหลวง และถูกซักถามโดยมีเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบไม่ทราบสังกัดประมาณ 10 คน ร่วมการซักถาม โดยไม่มีผู้ใดแนะนำตัวว่าเป็นใคร สังกัดหน่วยใด และมาจากที่ใดบ้าง และระว่างซักถามมีกล้องวีดิโอวางอยู่ด้านหน้าเพื่อบันทึกภาพ รวมทั้งยังถูกถ่ายรูปจากกล้องมือถือของเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบด้วย มีผู้ซักถามหลักราว 3 คน และมีเจ้าหน้าที่นั่งพิมพ์บันทึกบทสนทนาด้วยคอมพิวเตอร์อีกคนหนึ่ง

สำหรับประเด็นซักถามนั้น มุ่งความสนใจไปที่เรื่องการแสดงออกต่อสถาบันกษัตริย์ โดยมีการปรินท์ภาพจากทวิตเตอร์ของพีที่มีการรีทวิตข้อความของบุคคลต่างๆ เช่น ทวิตของสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ทวิตของผู้ใช้นามแฝงว่า “นิรนาม”, ทวิตข่าวสารคดีจากต่างประเทศที่นำเสนอเรื่องประเทศไทย เป็นต้น โดยทวิตแทบทั้งหมดที่ถูกนำมาสอบถามเกิดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคม รวมทั้งยังถูกซักถามความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องแฮชแท็กขบวนเสด็จ และการไม่ยืนในโรงภาพยนตร์ รวมไปถึงความคิดเห็นต่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในปัจจุบัน

เจ้าหน้าที่ชุดที่สอบสวนนี้ได้บอกให้ลบข้อความที่เคยทวิตไปแล้วทั้งหมดด้วย

เจ้าหน้าที่ ยังได้ซักถามไปถึงเรื่องเพื่อนร่วมชั้นเรียน รูมเมท และครอบครัว รวมถึงญาติผู้ใหญ่ของ “พี” และข้อมูลที่เจ้าหน้าที่นำมาพูดคุยสอบถามรวมไปถึงเรื่องราว 2-3 ปีย้อนหลัง ทำให้ “พี” ทราบว่าเจ้าหน้าที่ได้มีการขุดค้นข้อมูลในทวิตเตอร์ของเธอย้อนหลังไปมากพอสมควร

หลังจากการซักถาม เจ้าหน้าที่ได้ขอโทรศัพท์มือถือของ “พี” ไปเพื่อจะตรวจสอบถึง 3 ครั้ง แต่ พี ไม่ยินยอม ยินยอมได้เพียงให้ตรวจสอบโดยที่โทรศัพท์ยังคงอยู่ในมือของพี เจ้าหน้าที่ได้ขอถ่ายภาพ IP ของโทรศัพท์มือถือ, ชื่อล๊อคอินทวิตเตอร์, เบอร์โทรศัพท์, ชื่ออีเมล์ทั้งหมดและจดหมายที่ถูกส่งเข้ามา รวมไปถึงการขอดูแชทไลน์, Instagram story และเฟสบุ๊ก ซึ่งไม่ได้ถูกใช้งานมานานแล้วด้วย

ท้ายที่สุด “พี” ถูกกดดันให้ลงชื่อในเอกสารข้อตกลง (MOU) ที่มีเนื้อหาที่สำคัญ คือการยินยอมให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอุปกรณ์ และอนุญาตให้นำข้อมูลไปใช้, การให้การรับรองว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการข่มขู่ ทำร้ายร่างกาย และข้อตกลงว่าจะไม่ทวิตข้อความเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์อีก หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่ได้นำตัว “พี” ขึ้นรถกลับมาส่งที่คณะ หลังจากใช้เวลาสอบถามประมาณ 1 ชั่วโมง

“พี” เปิดเผยกับศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ด้วยว่าประสบการณ์ดังกล่าว ทำให้รู้สึกถูกคุกคาม ถึงโดยรวมเจ้าหน้าที่จะไม่ได้พูดจาไม่ดี แต่ก็สร้างความรู้สึกเครียด เพราะถูกรุมล้อมและซักถามโดยเจ้าหน้าที่จำนวนมาก และยังได้รับความกดดัน เพราะตนไม่ได้มีความรู้ทางกฎหมาย และเจ้าหน้าที่บีบคั้นให้เปิดเผยข้อมูลต่างๆ  จนหลังจากเหตุการณ์แล้ว ได้มาศึกษาเบื้องต้น ก็พบว่าเจ้าหน้าที่ไม่ได้มีสิทธิมากระทำการในลักษณะนี้กับประชาชน และตนเองก็ไม่จำเป็นต้องให้ข้อมูลเช่นนั้น จึงคิดว่าคนอื่นๆ ควรจะได้ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ และได้เลือกออกมาเปิดเผยข้อมูลว่ามีการกระทำเช่นนี้

ในส่วนข้อสังเกตว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่จึงสามารถระบุตัวตนของผู้ใช้งานทวิตเตอร์รายดังกล่าวได้ ทั้งที่ไม่ได้มีการใช้ชื่อสกุลจริงในการใช้งาน  “พี” สันนิษฐานว่าก่อนหน้านั้นหลายเดือน ตนได้เคยทวิตภาพเอกสารที่อาจจะใช้ระบุตัวตนได้ออกไป จึงอาจเป็นไปได้ว่าเจ้าหน้าที่อาจจะใช้ภาพดังกล่าวติดตามตัวตนต่อมา

ไม่มีการร้องขอข้อมูลกับ ‘ทวิตเตอร์’

จากกรณีข้างต้น การตามตัวของเจ้าหน้าที่นั้น แม้ “พี” สันนิษฐานมาจากการทวิตภาพเอกสารที่อาจจะใช้ระบุตัวตนได้ จนเป็นหลักฐานมาติดตามตัว แต่ก็มีคนตั้งข้อสังเกตว่าได้รับความร่วมมือจากผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอย่าง ทวิตเตอร์ ด้วยหรือไม่ อย่างไรก็ตามจากรายงานการขอข้อมูลของทวิตเตอร์เองปีนี้ ยังไม่มีการถูกร้องขอมา

แต่ช่วงเดือน ก.ค.-ธ.ค.ปี 61 นั้น มีคำขอข้อมูลกับทวิตเตอร์ 1 ครั้ง แต่ทวิตเตอร์ไม่ได้ให้ข้อมูล หลังจากนั้นต้องย้อนกลับไปถึง ม.ค.-มิ.ย.57 เลยที่มีการขอข้อมูลกับทวิตเตอร์ แต่ทวิตเตอร์รายงานว่าไม่ได้ให้ข้อมูลเช่นกัน

รายงานการร้องขอข้อมูลจากทั่วโลกที่ทวิตเตอร์เปิดเผย https://transparency.twitter.com 

5 ข้อสังเกตและคำแนะนำของศูนย์ทนายฯ

ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน มีข้อสังเกตต่อกรณีดังกล่าวว่า แม้ในระยะหลังมีแนวโน้มการดำเนินคดีต่อการแสดงออกที่เกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ที่เปลี่ยนไป แต่กลับพบรูปแบบการใช้กระบวนการนอกกฎหมายในการค้น ควบคุมตัว ขอข้อมูลส่วนบุคคล และทำบันทึกข้อตกลง ซึ่งศูนย์ทนายความฯ มีข้อสังเกต และคำแนะนำต่อกรณีดังกล่าวต่อไปนี้

1. การโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียนั้น ไม่ใช่การกระทำความผิดซึ่งหน้า ดังนั้น หากเป็นการควบคุมตัวจากเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้น จำเป็นต้องแสดงหมายจับหรือหมายเรียก หากไม่มีหมายเรียกหรือหมายจับ เจ้าหน้าที่หรือบุคคลใดๆ ก็ไม่อาจควบคุมตัวเราไปได้ หากเราไม่ยินยอม พึงระลึกว่ากระบวนการดังกล่าวนั้น “เป็นกระบวนการนอกกฎหมาย” แม้กลุ่มบุคคลดังกล่าวจะอ้างตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ก็ตาม หากเผชิญกระบวนการในลักษณะนี้ ไม่ควรติดตามไปโดยไม่ทราบว่าเป็นบุคคลใด จะพาไปยังสถานที่ใด ด้วยสาเหตุใด และเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมายใด เพราะอาจเกิดเหตุการณ์ที่นอกเหนือความคาดหมายมากกว่าการซักถาม หรือถูกบังคับให้ข้อมูลได้

2. กลุ่มบุคคลดังกล่าวมักจะไม่แสดงตัวว่าชื่ออะไร สังกัดใด แต่จะหว่านล้อมและจูงใจ โดยอ้างว่าการให้ความร่วมมือจะเป็นประโยชน์มากกว่า และมีข้อแลกเปลี่ยนว่าหากยินยอมให้ข้อมูลและลงชื่อในบันทึกข้อตกลง  การดำเนินการในขั้นตอนต่าง ๆ จะยุติลง และจะไม่ถูกดำเนินคดี แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าเมื่อเราให้ข้อมูลแล้วจะไม่มีการดำเนินคดีเกิดขึ้น ในทางตรงกันข้ามเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ผู้ถูกควบคุมตัวมักถูกกดดันจนต้องยอมให้ข้อมูลส่วนตัว หรือต้องอธิบายความจนอาจเป็นเหตุให้ถูกดำเนินคดีได้ นอกจากนี้ ศูนย์ทนายความฯ พบว่าบันทึกข้อตกลงในบางกรณีนั้นเป็นบันทึกที่ลงชื่อโดยผู้ถูกควบคุมตัวเพียงฝ่ายเดียว ไม่ได้มีเจ้าหน้าที่ที่ควบคุมตัวร่วมลงชื่อร่วมด้วย

3. กรณีเป็นการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ การที่เจ้าหน้าที่จะทำสำเนาข้อมูล เข้าถึงข้อมูล หรือให้ส่งมอบอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ (รวมถึงโทรศัพท์มือถือ) นั้น จะทำได้ก็ต่อเมื่อมีหมายศาลเท่านั้น ไม่ควรให้สำเนาอุปกรณ์ หรือรหัสผ่าน (password) แก่บุคคลอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคคลที่ไม่แสดงตัว เพราะข้อมูลดังกล่าวอาจถูกนำไปใช้เพื่อวัตถุประสงค์อื่นอันก่อความเดือดร้อนมากกว่าความเป็นจริงได้

4. ข้อความที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาแสดงหรือกล่าวหา หากถูกดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมยังต้องได้รับการตรวจสอบจากพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ว่าเข้าข่ายเป็นความผิดกี่ข้อความและต้องถูกดำเนินคดีด้วยข้อหาใดบ้าง ไม่ใช่ว่าเราจะถูกดำเนินคดีตามข้อความที่กลุ่มบุคคลดังกล่าวนำมาแสดงทุกข้อความ อีกทั้งภาพบันทึกหน้าจอ (capture) เพียงอย่างเดียวไม่สามารถระบุตัวตนของผู้โพสต์ข้อความได้ พยานหลักฐานในการดำเนินคดีจะแน่นหนาเพียงใดนั้นต้องพิจารณาในชั้นศาล

5. อย่างไรก็ตาม หากยินยอมเข้าสู่กระบวนการดังกล่าว พึงระลึกว่าเรายังมีสิทธิอย่างเต็มที่ในการที่จะให้ข้อมูลหรือไม่ให้ข้อมูล มีทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจระหว่างกระบวนการ ปรึกษาทนายความก่อนเข้าร่วมกระบวนการ แจ้งญาติ หรือนัดหมายในวันเวลาและสถานที่ที่เราสะดวก และหากเปลี่ยนใจในระหว่างกระบวนการ สามารถถอนความยินยอม หรือไม่ลงชื่อในเอกสารใดๆ ก็ตามได้ทุกเมื่อ เนื่องจากขั้นตอนดังกล่าวนั้นไม่ใช่ขั้นตอนตามกฎหมาย การดำเนินการต่างๆ จึงขึ้นอยู่กับความยินยอมของเราเพียงเท่านั้น

คำแนะนำกรณีถูกควบคุมตัว ถูกจับกุม หรือได้รับหมายเรียก

สำหรับผู้ที่สนใจคำแนะนำของศูนย์ทนายความฯฉบับเผยแพร่สามารถ Download เป็นเอกสารได้ที่ 2015-12-17_Guideline on arrested from using social media (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.tlhr2014.com/?p=11685)

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net