ปรีดี หงษ์สต้น : พุทธจัดในสงครามกลางเมืองศรีลังกาและพุทธไทยที่ยังไม่จัด?

รายงานบทสัมภาษณ์ 'ปรีดี หงศ์สต้น' มองประวัติศาสตร์และพุทธศาสนาที่นำไปสู่สงครามกลางเมืองศรีลังกา การเมืองและผลประโยชน์ในคณะสงฆ์กลุ่มต่างๆ การใช้ศาสนาพุทธเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อหาเสียงซึ่งเท่ากับปล่อยยักษ์ออกจากตะเกียงและไม่อาจควบคุมได้ และบทเรียนทางประวัติศาสตร์นี้ไทยควรเรียนรู้อะไร

  • ความสัมพันธ์และโครงสร้างทางสังคมของศรีลังกาสมัยใหม่เป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคม ขณะที่คณะสงฆ์กลุ่มต่างๆ ต่างก็เล่นการเมืองโดยใช้อาณานิคมอังกฤษเป็นเครื่องมือเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน
  • ช่วงทศวรรษที่ 1920-1930 พระสงฆ์ศรีลังกายังเปิดกว้างรับแนวคิดของฝ่ายซ้ายเพื่อช่วยคนยากคนจน ก่อนที่จะถูกพลังอนุรักษ์นิยมของเหล่ากระฎุมพีสิงหลท้าทาย
  • โซโลมอน บันดราไนยเกแห่งพรรคเสรีศรีลังกาใช้พุทธศาสนาเป็นเครื่องมือในการหาเสียง อัตลักษณ์ความเป็นพุทธและความเป็นสิงหลจึงยิ่งแนบแน่นขึ้น ผู้ที่ไม่ใช่พุทธสิงหลจึงถูกกันออกจากพื้นที่ทางการเมืองจนนำไปสู่สงครามกลางเมือง
  • พุทธจัดมีลักษณะ 3 ประการคือการให้ความสำคัญกับชาวพุทธสิงหล เป็นวาทกรรมของกระฎุมพีสิงหล และเพิกเฉยและสนับสนุนการใช้ความรุนแรง
  • การผูกขาดสันติภาพของพุทธศาสนาเป็นอันตรายและการสร้างพื้นที่ให้คนกลุ่มต่างๆ ได้ส่งเสียง

ศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพ อาจใช่และไม่ใช่ ศาสนาคงเหมือนสิ่งอื่นๆ ในโลกใบนี้ มันขึ้นกับว่ามนุษย์จะนำมันไปใช้อย่างไร

บทสัมภาษณ์ชิ้นนี้บอกเล่าถึงสงครามกลางเมืองศรีลังการะหว่างชาวสิงหลและกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม ในส่วนของชาวสิงหล เราจำเป็นต้องเติมคำคุณศัพท์เพิ่มเข้าไปว่า ชาวพุทธสิงหล เพราะความเป็นพุทธถูกทำให้เป็นสิ่งเดียวกับความเป็นสิงหล ผู้ที่เป็นศัตรูกับชาวสิงหลย่อมเป็นศัตรูกับศาสนาพุทธและผู้ที่เป็นศัตรูกับศาสนาพุทธก็ย่อมเป็นศัตรูของชาวสิงหล

ปรีดี หงศ์สต้น นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ผู้ทำการศึกษาวิจัยสงครามกลางเมืองศรีลังกา

ปรีดี หงศ์สต้น นักวิชาการอิสระด้านประวัติศาสตร์ ผู้ทำการศึกษาวิจัยสงครามกลางเมืองศรีลังกา ย้อนอดีตกลับไปยังสมัยอาณานิคมที่ส่งผลต่อความเป็นศรีลังกาในภายหลัง ศาสนาพุทธที่เคยยืนข้างคนยากคนจน ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นเครื่องสนับสนุนความชอบธรรมในการทำสงคราม พุทธจัด (extreme Buddhism) และการเคลื่อนผ่านศัตรูจากศาสนาหนึ่งสู่อีกศาสนาหนึ่ง

แม้ความเป็นมาทางประวัติศาสตร์จะแตกต่างกับไทย ทว่า ความเหมือนคือการที่ความเป็นพุทธกับความเป็นไทยกลายเป็นสิ่งเดียวกัน คำถามมีอยู่ว่าเส้นทางสังคมของไทยจะซ้ำรอยประวัติศาสตร์ศรีลังกาหรือไม่ คำตอบที่คาดหวังคือ ไม่

การเมืองในคณะสงฆ์ศรีลังกา

ปรีดีเริ่มอธิบายว่าความสัมพันธ์และโครงสร้างทางสังคมของศรีลังกาสมัยใหม่ ส่วนหนึ่งเป็นมรดกตกทอดจากยุคอาณานิคมของอังกฤษ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับพุทธศาสนาและคณะสงฆ์ เมื่อถึงวันที่มีการลุกขึ้นของชนชั้นนำท้องถิ่นเพื่อต่อต้านอาณานิคมอังกฤษ คนเหล่านี้ก็คือชนชั้นเป็นกระฎุมพีกลุ่มหนึ่งที่ใช้พุทธศาสนาในการต่อต้านอังกฤษ เพราะฉะนั้นคนเหล่านี้จึงไม่ใช่เป็นตัวแทนของคนยากคนจนศรีลังกา ขบวนการชาตินิยมศรีลังกาไม่จำเป็นต้องเป็นขบวนการของทุกคน อาจเป็นเพียงขบวนการเฉพาะกระฎุมพีศรีลังกาบางกลุ่ม

ขณะเดียวกัน ชนชั้นนำเหล่านี้ก็เคยเป็นผู้ที่ทำงานกับเจ้าอาณานิคม แม้จะมีขบวนการชาตินิยมเกิดขึ้น แต่คนกลุ่มนี้ก็ยังประนีประนอมกับอังกฤษเพื่อให้ทรัพยากรที่อยู่ในมืออังกฤษถ่ายโอนมาที่ตน ซึ่งเป็นไปค่อนข้างราบรื่น ทำให้ศรีลังกาเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หลังได้รับเอกราชแล้วด้วยโครงสร้างการกระจุกตัวของทรัพยากร การจัดลำดับความสำคัญทางชนชั้นวรรณะที่ตกทอดมาตั้งแต่ยุคอาณานิคมอังกฤษ

“ในช่วงอาณานิคมมีจุดแยกจุดหนึ่งที่แบ่งพระสงฆ์ที่ราบสูงกับพระสงฆ์ในที่ราบลุ่ม พระสงฆ์ในที่ราบสูงเป็นเหมือนชนชั้นนำเก่าที่อยู่บนที่ราบสูงแคนดี้ ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาของศรีลังกา กับพระสงฆ์ที่ราบลุ่มที่อยู่บริเวณชายฝั่งเมืองโคลัมโบ 2 กลุ่มนี้ก็ถือเป็น 2 กลุ่มที่แยกกัน อย่างน้อยไม่เป็นเนื้อเดียวกันเสียทีเดียว เพราะว่าพระสงฆ์กลุ่มใหญ่กลุ่มนี้มีศักดิ์และสิทธิ์ในการเป็นอุปัชฌาย์ ถ้าจะบวช คุณก็ต้องไปบวชกับสงฆ์ที่มาจากสยามนิกาย ในยุคอาณานิคมอังกฤษ พระสงฆ์กลุ่มสยามนิกายมีความเข้มแข็งทางด้านอำนาจมาก ด้านหนึ่งที่สำคัญคือวัดของพระสงฆ์กลุ่มสยามนิกายมีที่ดินจำนวนมาก

“ตอนอังกฤษเข้ามาแรกสุดพยายามที่จะปฏิรูประบบที่ดินของวัดเพื่อเอาที่ดินวัดมาเป็นของอังกฤษ ปรากฏว่าทะเลาะกัน พระลุกขึ้นต่อต้าน ในประวัติศาสตร์นิพนธ์จะบอกว่าการต่อต้านนี้เป็นการต่อต้านชาตินิยม ในด้านหนึ่งอาจจะถูกก็ได้ แต่ในอีกด้านหนึ่งเราอาจจะอธิบายได้ว่าคือการพยายามทวงคืนทรัพย์สินและผลประโยชน์ของวัดก่อนที่อังกฤษจะเข้ามา จนในที่สุดอังกฤษต้องปล่อยระบบนี้ให้พระสงฆ์เป็นผู้จัดการเรื่องที่ดินเอง เพื่อลดความตึงเครียดลงไป เพราะฉะนั้นช่วงแรกๆ ที่ดูเหมือนพระสยามนิกายลุกขึ้นต่อต้านในด้านหนึ่งอาจจะใช่แต่ในอีกด้านหนึ่งถ้าเรามองให้เห็นความสัมพันธ์ของประวัติศาสตร์ทางการผลิตก็จะเห็นว่า พระเองก็มีที่ดินมาก พูดง่ายๆ คือวัดเองก็เป็นส่วนหนึ่งของการผลิตแบบศักดินา คือใครจะปลูกข้าวปลูกอะไรก็เอาไปทำบุญกับวัด ทำบุญในความหมายนี้คือการให้ผลผลิตส่วนเกินกับวัด เพราะฉะนั้นวัดก็เป็นส่วนหนึ่งในความสัมพันธ์ทางการผลิต”

เห็นได้ว่าอำนาจของพระสยามนิกายถูกท้าทายจากอังกฤษ อีกด้านหนึ่ง อังกฤษก็เข้าหาพระสงฆ์ในบริเวณที่ราบลุ่มเพื่อต่อรองกับพระสยามนิกาย ทำให้เกิดการรวมกลุ่มใหม่ก็คืออมรปุระนิกายซึ่งเป็นพระสงฆ์กลุ่มใหญ่อีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถไต่เต้าทางสมณศักดิ์ได้ เพราะถูกพระสยามนิกายควบคุมไว้ พอเจ้าอาณานิคมอังกฤษเข้ามาทำให้พระกลุ่มอมรปุระนิกายไต่เต้าทางสมณะศักดิ์ได้ พระกลุ่มนี้จึงยินดีหรืออย่างน้อยก็ไม่ต่อต้านเท่ากับพระสงฆ์กลุ่มสยามนิกาย

นอกจากนี้ พิธีอุปสมบทก็เริ่มถ่ายโอนจากแคนดี้ลงมาที่ราบลุ่มโดยเฉพาะที่วัดเกลานียา ศูนย์กลางอำนาจค่อยๆ ขยับลงมาทางตะวันตกเฉียงใต้และขยายออกมาจากพระสยามนิกายซึ่งส่วนใหญ่สังกัดวรรณะโคยิคามะ เป็นวรรณะที่สูงที่สุด มีอิทธิพลที่สุด และเป็นประชาชนส่วนใหญ่ในวรรณะนี้เป็นเจ้าที่ดินและสะสมความมั่งคั่งมาตั้งแต่ยุคโปรตุเกสและดัชท์ ดังนั้น อำนาจที่เคยกระจุกกับสยามนิกายและวรรณะโคมิยามะก็ค่อยๆกระจายออกไปสู่ระบบความสัมพันธ์ที่ไม่ได้วางอยู่บนวรรณะตายตัว แต่เปลี่ยนมาสู่ระบบความสัมพันธ์กับอาณานิคมอังกฤษ

ถึงกระนั้น พระสงฆ์กลุ่มสยามนิกายยังเป็นพระสงฆ์กลุ่มใหญ่สุด เนื่องจากมีความเชื่อมโยงกับทั้งระบบสถาบันพระมหากษัตริย์ตั้งแต่ก่อนสมัยอังกฤษและมีความสัมพันธ์กับอังกฤษในความหมายว่าผู้ที่ไปผูกสัมพันธ์กับอังกฤษก็มีวรรณะโคยิคามะซึ่งเป็นผู้สนับสนุนคณะสงฆ์สยามนิกาย ในแง่หนึ่ง กล่าวได้ว่าต่างก็ใช้ประโยชน์จากอังกฤษ

“ในแง่หนึ่งก็ประสบความสำเร็จที่ทำให้กลุ่มที่เคยคุมอำนาจถูกท้าทายมากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มเหล่านี้ก็รู้ว่าตนเองมีผลประโยชน์กับฝั่งอังกฤษเพราะอังกฤษนำมาซึ่งการขยายตัวทางการค้า ทำให้กลุ่มพระสงฆ์เหล่านี้ โยมอุปัฏฐาก และชนชั้นนำกระฎุมพีทั้งหลาย สนับสนุนการขยายตัวหรือการครองอำนาจของพระโดยเฉพาะวรรณะโคยิคามะและสยามนิกาย”

 

พุทธที่ช่วยปลดปล่อยคนจนซึ่งจบลงเพียงไม่นาน

ศาสนาพุทธมีอิทธิสูงมากในสังคมการเมืองศรีลังกา ปรีดีเล่าว่ามีนักวิชาการเสนอว่าการที่ศาสนาพุทธเป็นอัตลักษณ์ที่เข้มแข็งนี้เพราะอังกฤษมาทำให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันชาวศรีลังกาก็ใช้ความเป็นพุทธของตนเองเพื่อแยกออกจากอาณานิคมของคนขาว รวมไปถึงการเข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ของมิชชันนารีและการท้าทายเรื่องที่ดินของพระสงฆ์สยามนิกาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้เส้นแบ่งความเป็นพุทธและไม่พุทธไม่ชัดถึงขนาดนี้ นอกจากนี้ ชาวตะวันตกเองก็มีส่วนต่อความเป็นพุทธของชาวศรีลังกาด้วย

“ชาวตะวันตกที่เข้ามาศึกษาพุทธศาสนาที่วางอยู่บนภาษาบาลี ซึ่งส่งผลให้ชาวพุทธศรีลังกาตระหนักถึงความเป็นพุทธของตนเองมากขึ้นไปอีก การเข้าไปศึกษาตัวบทของพระไตรปิฎกเป็นวิธีคิดแบบคริสต์ศาสนาซึ่งสิ่งต่างๆ วางอยู่บนตัวบท เขาก็จะเข้าใจพุทธศาสนาเป็นหนึ่งในศาสนาเปรียบเทียบ ว่าความจริงอันสูงสุดของพุทธศาสนาเถรวาทต้องวางอยู่บนพระไตรปิฎกจึงไปศึกษาพระไตรปิฎก เมื่อศึกษาพระไตรปิฎก แปล ตีความนักวิชาการหรือพระส่วนหนึ่งก็ใช้เอกสารนี้บอกว่านี่คือพุทธศาสนาลังกาของเรา มีการแปลคัมภีร์มหาวงศ์ ชาวศรีลังกาเองก็ตระหนักรู้อัตลักษณ์ความเป็นพุทธของตนเองผ่านการเติบโตของการศึกษาพุทธศาสนาในยุโรป”

แต่พุทธศาสนาของชาวศรีลังการก็ไม่ได้เป็นแบบนี้มาตั้งแต่ต้น ปรีดีเล่าถึงความเปลี่ยนแปลงในช่วงทศวรรษ 1920 และ 1930 โดยมีหมุดหมายตั้งแต่การปฏิวัติบอลเชวิคในปี 1917 (ในรัสเซีย) พุทธศาสนาศรีลังกาในช่วงนั้นมีการประสานความคิดเพื่อต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น พระสงฆ์ได้กลายเป็นหนึ่งในพลังของสังคม รวมทั้งนักการเมือง สหภาพ ผู้แทนชาวนาชาวไร่ เกิดเป็นพันธมิตรระหว่างพระสงฆ์และผู้ที่มีอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย

ทั้งนี้เนื่องจากผู้ชายศรีลังกาจะไต่เต้าทางสังคมหรือจะเรียนได้ จำเป็นต้องบวชเพราะมีฐานะยากจน ด้วยเหตุที่พระสงฆ์ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากคนยากจนในชนบททำให้มีความเข้าใจชาวบ้านและแรงงาน พระสงฆ์เหล่านี้จึงมีบทบาทในการเชื่อมชาวนาในชนบทกับสหภาพแรงงานในโคลัมโบเข้าด้วยกัน กล่าวได้ว่าพระเหล่านี้มีบทบาทเชื่อมโยงกับชาวบ้านมากกว่านักการเมืองและนักเคลื่อนไหวในเมืองในช่วงเวลานั้นด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นทั้งสองพลังที่เกิดขึ้นคือพุทธศาสนาไม่ได้ปิดกั้นความคิดสังคมนิยมฝ่ายซ้ายและทำงานร่วมกันได้ ทำให้การเคลื่อนไหวของพระสงฆ์กับการเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองฝ่ายซ้ายเช่นพรรคการเมืองลังกาสมาสมาช (Lanka Sama Samaja Party)เป็นไปอย่างสมานฉันท์พอสมควร ซึ่งเป็นภาพที่ดูขัดกับพุทธแบบชาตินิยมค่อนข้างมาก

ทว่า พันธมิตรดังกล่าวก็ถูกท้าทายด้วยพลังกลุ่มอนุรักษ์นิยมของเหล่ากระฎุมพีสิงหล ซึ่งเป็นกลุ่มที่สนับสนุนนายโซโลมอน บันดาราไนยเก ในช่วงปี 1930

‘วาระพุทธ’ เมื่อยักษ์ถูกปล่อยออกจากตะเกียง

“ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กลายเป็นว่าคนยึดโยงกับความเป็นพุทธของตนเองมากและต่อต้านคนที่ไม่ใช่พุทธมากขึ้น ที่สำคัญคือในช่วงพุทธชยันตี 1950 เป็นช่วงที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นจนเป็นสงครามกลางเมือง”

จุดเปลี่ยนที่สำคัญมาจากระดับโลกและจากภายในศรีลังกาเอง เมื่อพรรคการเมืองแรกที่ตั้งขึ้นมาคือพรรคชาติสามัคคีหรือยูเอ็นพี (United National Party: UNP) เป็นพรรคที่ผู้นำและสมาชิกพรรคมีความเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษมาก่อน ปัญหาคือกลุ่มเหล่านี้ยึดกุมทรัพยากรอำนาจไว้มากโดยไม่มีใครท้าทายจนกระทั่งในช่วง 1950 เมื่อศรีลังกาได้รับเอกราช พรรคยูเอ็นพีก็ถูกท้าทายจาก พรรคเสรีศรีลังกา (Sri Lanka Free Party) และเพื่อคะแนนเสียงทางการเมือง พรรคเสรีนิยมศรีลังกาจึงใช้ประเด็นทางพุทธศาสนาเข้าไปท้าทายพรรคยูเอ็นพี พรรคเสรีศรีลังกานำโดยนายโซโลมอน บันดาราไนยเก สร้างพันธมิตรในชื่อมหาชนเอกสัทเปรามุนา ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างกลุ่มเสรีนิยม ซ้าย และซ้ายกึ่งเสรีนิยม เพื่อต่อต้านพรรคยูเอ็นพีที่เป็นอนุรักษ์นิยมและนายทุน

“ปัญหาก็คือว่าพรรคเสรีศรีลังกาใช้ประเด็นเรื่องพุทธศาสนาโดยเฉพาะในช่วง 1950 ซึ่งเป็นช่วงพุทธชยันตีหรือกึ่งพุทธกาลซึ่งในโลกเถรวาทก็มีคตินี้ร่วมกัน ในช่วงนี้มีพลัง 2 พลัง ด้านหนึ่งมันแย้งกันไปด้วยในตัว ปี 1956 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงทางรากฐานในหลายแง่ เช่นการบูรณะฟื้นฟูพุทธศาสนาให้กลับเป็นยุคก่อนอังกฤษเข้ามา มีลักษณะโหยหาอดีต มีการผลักดันให้เปลี่ยนภาษาทางการจากภาษาอังกฤษให้เป็นภาษาสิงหล และเริ่มทำให้พุทธเด่นขึ้นมาเป็นอัตลักษณ์แห่งชาติ โดยผู้ที่มีบทบาทในการเคลื่อนไหวเหล่านี้ก็เป็นพระสงฆ์และองค์กรพุทธ และคนเหล่านี้ก็สนับสนุนพรรคเสรีศรีลังกา เพื่อที่จะยึดอำนาจที่เคยเป็นของอังกฤษ ชนชั้นนำท้องถิ่น หรือพรรคยูเอ็นพีมาเป็นของตน จึงใช้พุทธศาสนาในการโจมตี ก็เร่งตัวเองให้เป็นพุทธมากขึ้นและเร่งให้คนอื่นหรือพรรคยูเอ็นพีไม่ใช่พุทธมากขึ้น การทำแบบนี้ได้ 2 ทางคือด้านหนึ่งทำให้ศาสนาพุทธคึกคัก แต่อีกด้านหนึ่งกลายเป็นว่าทำให้พุทธเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในการแสดงตนออกมาในสังคมของชาวสิงหล”

ประเด็นสำคัญก็คือในพันธมิตรของพรรคเสรีศรีลังกามีการจับมือกันอย่างหลวมๆ กับกลุ่มนักการเมืองชาวทมิฬซึ่งอย่างน้อยพรรคเสรีศรีลังกาในช่วงต้นยังมีท่าทีเจรจาหรือพูดคุยกันได้ มีเสียงในสภาที่ยังออกเสียงให้กันและกันได้

พรรคเสรีศรีลังการชนะการเลือกตั้งในปี 1956 เป็นชัยชนะที่มีราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อในเวลาต่อมา เพราะพรรคเสรีศรีลังกาได้ปลดปล่อยพลังในสังคมออกมาที่ตนเองก็ควบคุมไม่ได้ และยังเป็นจุดสิ้นสุดของความสัมพันธ์ทางการเมืองระหว่างกลุ่มพระสงฆ์กับพรรคการเมืองฝ่ายซ้าย กลุ่มชาวพุทธกระฎุมพีที่สนับสนุนวาระพุทธศาสนาเป็นตัวตั้งเริ่มไม่เอาฝ่ายซ้ายเพราะตนเองก็นายทุน นายโซโลมอน บันดาราไนยเก จึงวุ่นวายกับการพยายามเจรจากับกลุ่มต่างๆ มากมายในพรรคเสรีศรีลังกา แต่กลุ่มที่ยึดเอาพุทธศาสนาเป็นแกนหลักกลับไม่ต้องการเจรจากับคนทมิฬและฝ่ายซ้าย โดยขู่ว่าจะถอนเสียงออก

“แต่นายโซโลมอนจะไม่คุยกับกลุ่มทมิฬก็ไม่ได้ เพราะตัวเขาเองก็พยายามดำเนินการทางการเมืองแบบเสรีนิยมในศรีลังกาไว้ จุดเปลี่ยนคือการที่เขาถูกลอบสังหารโดยพระภิกษุ พอนายโซโลมอนเสียชีวิต มันก็เหมือนเขื่อนแตก กลุ่มที่เป็นพุทธก็เริ่มผลักดันเรื่องพุทธเข้ามาเป็นใจกลางในสภาและผลักกลุ่มอื่นๆ ฝ่ายซ้ายก็ไม่เอาแล้ว ฝ่ายทมิฬก็ถอย เมื่อทมิฬถอยก็เป็นปัญหา หมายถึงถอยออกจากการมีที่นั่งในสภา ไม่ส่งตัวแทนเข้าไป  เพราะฉะนั้นตั้งแต่ปี 1956 มีการเปลี่ยนแปลงทางพุทธศาสนาในฐานะวิธีปฏิบัติทางศีลธรรมไปสู่ศาสนาในฐานะทุนทางการเมืองและวัฒนธรรม นั่นหมายความว่าพุทธศาสนาจะกลายเป็นส่วนประกอบสำคัญในความสัมพันธ์ทางสังคมวิทยาตั้งแต่ช่วง 1956 เป็นต้นมา ทำให้กลุ่มอื่นๆ ถูกผลักออกเป็นพลังที่รองลงไป”

เป็นสาเหตุให้ศาสนาพุทธผูกพันกับอัตลักษณ์สิงหลอย่างแนบแน่น ปัญญาชน นายทุนที่เคยเป็นโยมอุปัฏฐากพระ คนเหล่านี้ต้องการให้พุทธสิงหลเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ศรีลังกาควรเป็นประเทศพุทธสิงหล และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วสงครามกลางเมืองระหว่างพุทธสิงหลกับทมิฬที่ส่วนใหญ่นับถือฮินดูก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นี่คือที่มาของกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลม

พื้นที่ของศรีลังกาอ้างโดย Liberation Tigers of Tamil Eelam - LTTE ซึ่งส่วนใหญ่ของการต่อสู้ช่วงสงครามกลางเมืองปี 1983 – 2009 (ที่มาภาพ วิกิพีเดีย)

พุทธจัด (extreme Buddhism)

พลังที่ถูกปลดปล่อยออกมาจนควบคุมไม่ได้ก่อตัวเป็นแนวคิดแบบพุทธจัดในศรีลังกา ปรีดีอธิบายว่ามีลักษณะ 3 ประการ

“อันแรกคือ ความเคลื่อนไหวทางสังคมและการเมืองที่มีภาษาสิงหล ศาสนาพุทธ และวัฒนธรรมพุทธสิงหลเป็นประเด็นนำ ความคิดเหล่านี้มีหลากหลายตั้งแต่การเผยแพร่ความคิดพุทธจัดในคอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ บทความในวารสารวิชาการ การชุมนุมเรียกร้องทางการเมืองบนท้องถนน การอภิปรายในรัฐสภา การเคลื่อนไหวทางสังคม และการเมืองเหล่านี้แสดงออกชัดเจนโดยมีการเสนอนโยบายที่เรียกว่า เฉพาะชาวสิงหลเท่านั้น”

ประการที่ 2 ความคิดพุทธจัดเป็นวาทกรรมกระฎุมพี หมายความว่าตั้งแต่ช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ที่กำเนิดมาจากชาวสิงหลวรรณะโคยิคามะซึ่งทำการค้าสะสมทุนกับเจ้าอาณานิคมอังกฤษ กลุ่มทุนนิยมวานิชเหล่านี้ได้เริ่มสถาปนาคุณค่าทางชนชั้นของตนเองขึ้นมาเพื่อที่จะใช้รักษาสถานะนำของตนเอง กลุ่มชนชั้นใหม่นี้ได้รับการศึกษาและสามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี ทำให้สามารถรับความรู้จากตะวันตกผ่านภาษาอังกฤษ กลุ่มกระฎุมพีของชนชั้นนี้จะมีส่วนร่วมทั้งในการส่งเสริมและต่อต้านวาระแบบพุทธจัด

“พุทธจัดมาจากวงศาวิทยาเดียวกัน เพราะฉะนั้น 2 กลุ่มนี้อยู่ภายใต้วาทกรรมชุดเดียวกัน มีการบอกว่ามีพุทธจัดและโดยนัยบอกว่ามันมีพุทธที่ไม่จัด แล้วเราอยู่ในโลกที่มีการถกเถียงแบบนี้มันดำรงอยู่ ในปัจจุบันนี้คู่ตรงข้ามมันดูจะเป็น extreme กับ moderate ซึ่งในสมัย 1920 ถึง 1930 extreme ไม่ได้เป็นสิ่งผิดในตัวมันเอง อย่างนักปฏิวัติไม่สามารถอธิบายว่าเป็นกลางได้แน่ๆ

“แต่ช่วงปี 1970 ถึง 1980 ลงมามันกลายเป็นว่ากลุ่มคนที่ extreme กลุ่มหนึ่งกับกลุ่มคนที่ไม่ extreme ซึ่งกลุ่มหลังเป็นกลุ่มที่ถูกต้องและกลุ่มที่ extreme เป็นกลุ่มที่ผิด ซึ่งผมคิดว่าไม่ว่าเราจะมีจุดยืนทางการเมืองอย่างไรก็ตามทั้งผู้ที่สนับสนุนและต่อต้านอยู่ในวาทกรรมชุดเดียวกันด้วยว่าด้วยเรื่องการมีและไม่มีพุทธจัด”

ประการที่ 3 คือท่าทีอันเพิกเฉยและสนับสนุนการใช้ความรุนแรง พุทธจัดมีส่วนสำคัญในการส่งเสริมความรุนแรงในช่วงสงครามกลางเมืองอันยืดเยื้อยาวนาน

“สามประการนี้เป็นส่วนประกอบที่ค่อนข้างจะเกี่ยวข้องกันบ้างหรือว่าหลายๆ ครั้งมันไม่ได้เป็นเนื้อเดียวกันเสมอไป แต่ทั้งหมดนี้ผมพยายามจะพูดให้ครอบคลุมว่าเราอยู่ในยุคแบบที่เรียกว่าพุทธจัดในศรีลังกาปัจจุบัน”

บทเรียนจากศรีลังกาสู่ไทย

เมื่อนำประสบการณ์ของศรีลังกาย้อนกลับมาไทยก็น่าสนใจว่าพุทธไทยจะเดินตามรอยพุทธจัดในศรีลังกาหรือไม่ เนื่องจากพุทธเถรวาทในไทยก็มีความเชื่อมโยงกับพุทธเถรวาทในศรีลังกาและพม่าโดยเฉพาะพระวีระธูที่เป็นหัวหอกสำคัญในการต่อต้านมุสลิม ปรีดีคิดว่ามีทั้งความเหมือนและต่าง สิ่งที่ต่างกันแน่นอนคือพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ ขณะที่คณะสงฆ์ศรีลังกาผ่านยุคอาณานิคม คณะสงฆ์ไทยไม่ได้มีประสบการณ์นี้ แต่เผชิญกับการรวมศูนย์เข้าสู่ส่วนกลาง

“ผมคิดว่าพระสงฆ์ของศรีลังกาและพม่ามีลักษณะใกล้เคียงกันคือลุกขึ้นต่อต้านรัฐ แต่ในยุคของพวกเขาคือยุคอาณานิคม ในพม่าต่อต้านทั้งอาณานิคมและต่อต้านรัฐบาล แต่เราจะนึกไม่ออกในกรณีของคณะสงฆ์ไทย เพราะว่าพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของคณะสงฆ์ไทยคือการรวมศูนย์และถึงแม้จะมีกลุ่มที่ต่อต้านรัฐอยู่บ้าง แต่พัฒนาการของคณะสงฆ์ไทยทำให้เราไม่เห็นภาพการลุกฮือขนาดใหญ่ของพระสงฆ์เพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ แต่มีลักษณะเป็นเนื้อเดียวกับรัฐไทยสมัยใหม่อย่างแนบแน่น”

ขณะนี้ศัตรูของพุทธจัดในศรีลังกาก็เปลี่ยนจากศาสนาคริสต์เป็นศาสนาอิสลาม ปรีดีอธิบายว่าในศรีลังกาความขัดแย้งระหว่างพุทธกับอิสลามไม่ได้มีบริบททางประวัติศาสตร์ แต่มันถูกสร้างขึ้น ซึ่งมีอิทธิพลจากเหตุการณ์ 9/11 และการเชื่อมโยงทางความคิดผ่านโซเชียลมีเดียด้วย เขาคิดว่าในระดับหมู่บ้านที่มีผู้คนหลากหลายศาสนาอยู่ร่วมกัน ความรุนแรงจะเกิดขึ้นได้ต้องมีการกระพือโหมความเกลียดชัง แต่โดยรวมแล้วการต่อต้านคนศาสนาอื่นเป็นวาทกรรมกระฎุมพี แต่โดยหัวใจของมันเขาคิดว่านี่เป็นปัญหาทางชนชั้น ไม่ใช่ปัญหาทางศาสนา

“ผมคิดว่าปัญหาที่ผมสนใจอยู่ที่พุทธที่เป็นคนจนกับพุทธที่เป็นคนรวยจะเป็นคนละพุทธกันเลย กลายเป็นว่าพุทธศาสนาสมัยใหม่หรือที่เราใช้อธิบายโลกหรือโฆษณามันทำให้คนจนหรือรวยกลายเป็นคนพุทธด้วยกันทั้งที่คนจนพุทธกับคนรวยพุทธเป็นคนละโลกกันอย่างสิ้นเชิง หมายความว่ากลุ่มนี้ก็มีความขัดแย้งกันแต่กลายเป็นว่าอัตลักษณ์พุทธมีความครอบคลุม ไม่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันไปโดยปริยาย ซึ่งตรงนี้อาจเป็นสิ่งที่เราต้องพิจารณาใหม่ ขณะเดียวกันคนพุทธจนกับคนมุสลิมจนมีความทุกข์กับชีวิตเหมือนกัน แต่กลายเป็นว่าคนพุทธจนกับคนมุสลิมจนต้องมาตีกัน”

เมื่อถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ไทยจะเกิดแนวคิดแบบพุทธจัด ปรีดีตอบว่าเป็นไปได้ แต่ต้นตอความรุนแรงที่แท้จริงไม่ใช่ไม่ได้เกิดขึ้นในนามศาสนา แต่ในนามของสิ่งอื่นๆ ความขัดแย้ง ความไม่เท่าเทียมทางการเข้าถึงทรัพยากร ความไม่เท่าเทียมกันทางเพศ ความไม่เท่าเทียมกันระหว่างชนบทกับเมือง และอื่นๆ การเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นพุทธจัดหรือ extreme อื่นๆ ไม่ใช่ปัญหาเรื่องศาสนาเพียงอย่างเดียว แต่ศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคน

“ถามว่าไทยจะเป็นพุทธจัดไหม ถ้าให้ตอบก็ไม่อยากให้เป็น แต่เมื่อเป็นแล้วจะทำอย่างไรให้พอเข้าใจประเด็นเหล่านี้ เพื่อจะบอกว่า เวลาคนคนหนึ่งลุกขึ้นทำร้ายอีกคนหนึ่ง ประเด็นไม่ได้อยู่ที่เขาเป็นชาวพุทธหรือไม่ใช่ชาวพุทธก็ได้ ยังมีประเด็นอื่นๆ อีกมากมายที่ส่งผลต่อการกระทำนั้นๆ”

การผูกขาดสันติภาพและการสร้างพื้นที่ให้ส่งเสียง

ปรีดียังตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจต่อศาสนาพุทธและการผูกขาดสันติภาพว่า

“ผมคิดว่าการต่อต้านมุสลิมไม่ได้เป็นสิ่งที่มีที่มาจากสังคมใดสังคมหนึ่ง ชาวมุสลิมเหมือนเป็นภาพแทนของความรุนแรงเพราะว่าชาวพุทธไปผูกขาดสันติภาพ คล้ายๆ ว่าศาสนาพุทธจะต้องไม่รุนแรง ต้องสันติ แม้ว่าผู้พูดจะมีความประสงค์ดีอย่างไรก็ตามว่าแก่นของพระพุทธศาสนาจะต้องไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตต้องไม่รุนแรง ขณะเดียวกันก็พยายามผูกขาดสันติภาพซึ่งมันมีความอันตรายเหมือนกัน เพราะกลายเป็นว่ามันทำให้คนอื่นเป็นตัวแทนของความรุนแรงได้

“ในทางประวัติศาสตร์เราก็เห็น แต่พอเป็นเรื่องระดับวาทกรรม ซึ่งกระบวนการนี้ไม่ได้เป็นกระบวนการที่ถูกกระทำขึ้น เฉพาะโลกพุทธเถรวาทอย่างไทย ศรีลังกา พม่า แต่การที่พุทธเป็นศาสนาแห่งสันติภาพมันถูกกระทำขึ้นในโลกตะวันตกด้วย เช่นเราจะเห็นชาวอเมริกันที่ตกตะลึงว่าทำไมพุทธรุนแรง คำถามแบบนี้เป็นคำถามที่มีจุดตั้งต้นว่าพุทธควรเป็นศาสนาที่ไม่รุนแรง เรื่องความรุนแรงดีหรือไม่ดีเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่การเห็นว่าพุทธซึ่งผสมผสานการเคลื่อนไหวแบบคานธีอย่างแนบแน่น การทำให้พุทธผูกขาดสันติภาพในทางหนึ่งมันส่งผลโดยที่อาจไม่ตั้งใจก็ตามแก่ผู้ที่ไม่ใช่พุทธไปด้วยในเวลาเดียวกัน กลายเป็นว่าผู้ที่ไม่ใช่พุทธก็คงจะรุนแรงได้ มันก็จะไปสู่ระดับที่ทำให้พอมีความรุนแรงปุ๊บก็บอกว่าไม่ใช่พุทธแท้ขึ้นมา การผูกขาดสันติภาพอาจมีประโยชน์แต่ก็มีอันตรายด้วยเช่นเดียวกัน”

ประเด็นจึงอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรไม่ให้ความรุนแรงปะทุขึ้นโดยศาสนาถูกนำมาเป็นเชื้อไฟ ปรีดีตอบผ่านกรณีศรีลังกาว่า

“ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม จะขึ้น จะลง จะรุนแรง จะสันติ ในศรีลังกาตลอดช่วงอาณานิคมจนถึงได้รับเอกราช ศรีลังกาไม่เคยถอยออกจากระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเลย ตั้งแต่ได้รับเอกราชศรีลังกาพยายามอย่างยิ่งที่จะใช้กลไกของระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาในการแก้ไขความขัดแย้ง จะดี จะชั่ว จะสำเร็จ จะล้มเหลวอย่างไรก็ตาม แต่เมื่อตัวแทนกลุ่มต่างๆ ไม่มีความสมดุลในสภาก็เกิดความเคลื่อนมวลชนไหวนอกรัฐสภา จนเกิดกลุ่มพยัคฆ์ทมิฬอีแลมในกรณีศรีลังกา ถ้าคุณยังมีพื้นที่ให้คนที่ไม่ได้เป็นพุทธอยู่ มันอาจไม่เป็นถึงขนาดนี้ก็ได้ แต่ในขณะเดียวกัน ถ้ารัฐสภาไม่ได้ยึดโยงกับคนที่เป็นชาวบ้านร้านช่อง มันก็เกิดได้แน่นอนเพราะคนไม่มีพื้นที่ที่จะส่งเสียงความทุกข์ของพวกเขาออกมา

“แม้กระทั่งในศรีลังกาเอง เมื่อรัฐสภาไม่ฟังก์ชั่น มันก็ผลักให้ชนกลุ่มน้อยออกไป ปัญหาก็เกิดขึ้นในแง่นี้ แม้ว่ากลไกรัฐสภาจะมีข้อจำกัดอย่างยิ่งในหลายๆ อย่าง แต่ขณะเดียวกันเราไม่แน่ใจว่าในสังคมไทยได้ลองใช้ระบบรัฐสภาอย่างจริงๆ จังๆ แล้วหรือยัง ดังนั้น โอกาสที่จะนำไปสู่ความรุนแรงโดยใช้ศาสนาเป็นข้ออ้าง ถ้ามันไม่มีช่องทางในการแสดงออกถึงความทุกข์ของตนเองไม่ว่าจะพุทธหรือไม่พุทธก็ตามก็มีความขัดแย้งแน่”

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไทอัพเดท ได้ที่:
Facebook : https://www.facebook.com/prachatai
Twitter : https://twitter.com/prachatai
YouTube : https://www.youtube.com/prachatai
Prachatai Store Shop : https://prachataistore.net
ข่าวรอบวัน
สนับสนุนประชาไท 1,000 บาท รับร่มตาใส + เสื้อโปโล

ประชาไท