ในฝรั่งเศสมีการประท้วงใหญ่เกี่ยวกับประเด็นความรุนแรงในครอบครัว โดยเฉพาะที่กระทำต่อผู้หญิง จากสถิติในปีนี้มีผู้หญิงเสียชีวิตจากคนรักหรืออดีตคนรักรวม รวม 138 ราย เพิ่มขึ้นกว่าปีที่แล้ว ทำให้ผู้จัดการประท้วงเรียกร้องให้รัฐบาลปรับปรุงนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัว
บรรยากาศการประท้วงความรุนแรงต่อผู้หญิงในปารีส (ที่มา:Twitter/Mathieu Bourdenet)
ซิลเวน เกรวิน หญิงวัยกลางคนจากแคว้นเบรอตาญประเทศฝรั่งเศส เธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะต้องออกมาประท้วง จนกระทั่งพี่สาวของเธอคือเบเนดิกเตเสียชีวิตเพราะตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในครอบครัว ทำให้เกรวินเข้าร่วมการประท้วงต่อต้านความรุนแรงในครอบครัวที่มีผู้เข้าร่วมหลายหมื่นและอาจจะถึงหนึ่งแสนคนในฝรั่งเศส เกรวินบอกว่าเธอร่วมเดินขบวนในครั้งนี้เพื่อเบเนดิกเต
ผู้ประท้วงรวมตัวกันเดินขบวนในฝรั่งเศสเมื่อช่วงวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมา ในกรุงปารีส เรียกร้องให้รัฐบาลจัดการกับปัญหาความรุนแรงในครอบครัว โดยที่กลุ่มนักสตรีนิยม "นุส์ ตูเตส" (Nous Toutes) ประเมินตัวเลขผู้ชุมนุมอยู่ที่ 100,000 คน ขณะที่สื่อบางแห่งในฝรั่งเศสประเมินตัวเลขไว้ที่ราว 49,000 คน ตำรวจฝรั่งเศสประเมินไว้ที่ 35,000 คน
49,000 (mostly) women took to the streets last Saturday in Paris to protest killings of women by male partners--137 already this year in France. Electrifying. Overwhelmingly, young women in their late teens & early 20's. "Down with patriarchy!" a favorite chant. Wow! #NousToutes pic.twitter.com/MxLBLdtyzU
— Ana Simo (@Caliban_redux) November 25, 2019
ฟุตเทจการเดินขบวนประท้วงนุส์ ตูเตส
ไม่ว่าจะด้วยจำนวนตัวเลขจากการประเมินของฝ่ายใดก็ตาม แต่นักกิจกรรมก็บอกว่าสิ่งที่แน่นอนคือนี่เป็นกรณีการประท้วงสาธารณะเพื่อประณามความรุนแรงต่อผู้หญิงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ฝรั่งเศส
สื่ออัลจาซีรานำเสนอกรณีของเบเนดิกเต ระบุว่าเธอถูกทุบตีทำร้ายจากคู่ของเธอหลายครั้งถึงแม้ว่าฝ่ายชายจะเคยถูกตัดสินลงโทษฐานทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่ปี 2555 แล้วครั้งหนึ่งโดยระบุให้มีโทษจำคุก 3 เดือนแบบรอลงอาญา เบเนดิกเตออกห่างจากคู่ของเธออยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่พวกเขาก็กลับมาอยู่ด้วยกันอีกและฝ่ายชายก็ก่อเหตุรุนแรงอีกครั้งจนกระทั่งเกรวินได้รับโทรศัพท์จากเบเนดิกเตในเดือน มี.ค. 2560
หลังจากที่เบเดดิกเตติดต่อหาเธอ เกรวินก็โทรศัพท์หาตำรวจเพื่อเล่าถึงประวัติการใช้ความรุนแรงในครอบครัวที่คู่ของเบเนดิกเตเคยกระทำมาก่อน แต่เมื่อตำรวจไปถึงที่เกิดเหตุก็กลับบอกว่าเบเนดิกเตล้มลงโดยอุบัติเหตุ พวกเขาถ่ายภาพเบเนดิกเตได้รับบาดเจ็บแล้วก็ออกมา ในตอนนั้นเกรวินไม่พอใจที่ตำรวจไม่ยอมควบคุมตัวฝ่ายชายไว้ จนกระทั่งในเวลา 10 วันต่อมาเธอก็ได้ทราบข่าวว่าเบเนดิกเตเสียชีวิตแล้วจากการบาดเจ็บอย่างรุนแรงที่ศีรษะและร่างกายของเธอก็มีแต่รอยกรีดและรอยฟกช้ำ แต่การพิจารณาคดีในเบื้องต้นก็อ้างว่าเธอเสียชีวิตเพราะล้มลงด้วยความเมา ทำให้ครอบครัวเธอเรียกร้องให้มีการสืบสวนลึกกว่านี้
ในขณะที่การประท้วงพูดถึงการเข้าร่วมของผู้คนจำนวนมาก ครอบครัวของเธอก็รวมตัวกันอยู่เงียบๆ บางคนแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อสื่อ ขณะที่เกรวินเดินถือรูปของเบเนดิกเตไปทั่วเมือง เธอบอกว่า มันเป็นเรื่องที่เกินจะรับไหวสำหรับครอบครัวเธอ
สถิติการใช้กำลังในครอบครัวต่อผู้หญิงในฝรั่งเศสปี 2562 สูงมาก
นอกจากกรณีของเบเนดิกเตแล้ว นักกิจกรรมในฝรั่งเศสเปิดเผยว่ามีคนที่เสียชีวิตด้วยน้ำมือของอดีตคู่รักหรือคู่รักคนปัจจุบันรวม 138 ราย ในปีนี้ซึ่งสูงกว่าเดิม 17 รายเมื่อเทียบกับปี 2018 โดยมีการรวบรวมสถิตินี้จากอาสาสมัครองค์กรที่ทำงานประเด็นการใช้ความรุนแรงถึงชีวิตต่อผู้หญิงโดยคนรักหรืออดีตคนรัก ขณะเดียวกับที่รายงานจากกระทรวงยุติธรรมของฝรั่งเศสเผยให้ทราบว่าช่วงระหว่างปี 2558-2559 พนักงานอัยการของรัฐไม่สั่งฟ้องคำฟ้องร้องเรื่องความรุนแรงในครอบครัวถึงร้อยละ 80
ในการชุมนุมเมื่อวันที่ 23 พ.ย. ที่ผ่านมามีการเดินขบวนเป็นระยะทาง 6 กม. จากโรงละครอุปรากรปาแลการ์นีเย ไปจนถึงที่จัตุรัสพลาสเดอลานาชอง บรรยากาศมีหลายอารมณ์ความรู้สึกสลับกันไป บางครั้งก็เคร่งขรึมจริงจัง บางครั้งเกรี้ยวกราด บางครั้งก็แทบจะเหมือนงานรื่นเริง
มีการตะโกนคำขวัญ "ระบอบชายเป็นใหญ่จงพินาศ" และ "เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับผู้หญิงทั่วโลก" ท่ามกลางเสียงดนตรีของบียอนเซที่ดังออกมาจากลำโพง ครอบครัวที่มาร่วมชุมนุมด้วยบางส่วนยังคงเจ็บปวดจากการที่ญาติของพวกเขาถูกสังหารในช่วงไม่นานนี้ เมื่อขบวนไปถึงที่หมายทุกคนก็พากันปรบมือและสวมกอดกันด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
ในวันที่ 25 พ.ย. ซึ่งเป็นวันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล (International Day for the Elimination of Violence against Women) รัฐบาลฝรั่งเศสก็ออกนโยบายชุดใหม่เพื่อชี้ให้เห็นปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเสนอแก้ไขกฎหมายอาญาให้การข่มเหงรังแกทางจิตใจและการบีบบังคับให้ฆ่าตัวตายถือเป็นความผิด การขอให้แพทย์เปิดเผยข้อมูลถ้าหากผู้หญิงตกอยู่ในอันตราย รวมถึงเพิ่มตำรวจที่เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องความรุนแรงในครอบครัวอีก 80 นาย นอกจากนี้ยังมีการถอนหน้าที่การดูแลเลี้ยงดูในฐานะพ่อแม่ต่อผู้ที่ได้รับการตัดสินว่าก่อเหตุรุนแรงในครอบครัว นอกจากนี้ยังจะจัดให้มีแผนกป้องกันไม่ให้ผู้ที่เคยกระทำผิดแล้วก่อเหตุซ้ำรอยอีก
แคโรลีน เดอ ฮาส จากองค์กรนุส์ตูเตสกล่าวว่ามาตรการเหล่านี้อย่างเดียวไม่เพียงพอ องค์กรนุสตูเตสร่วมกับองค์กรอื่นๆ อีก 4 องค์กรเรียกร้องให้มีการลงงบประมาณไปกับการลดจำนวนการสังหารจากความรุนแรงในครอบครัวมากกว่านี้ รวมถึงเสนอให้มีการฝึกอบรมภาคบังคับในประเด็นนี้ต่อเจ้าหน้าที่ทางการ เพิ่มสถานพักพิงฉุกเฉินแก่คนที่เผชิญความรุนแรง และเปิดให้มีการสอนประเด็นนี้ในชั้นเรียน
อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรีฝรั่งเศสก็ยังคงเสนองบประมาณจำนวนเท่าเดิมในเรื่องความรุนแรงต่อสตรี ทำให้ฮาสวิจารณ์ว่า มันเป็นเรื่องย้อนแย้งที่มีประชาชนจำนวนมหาศาลเดินขบวนเรียกร้องในเรื่องความรุนแรงในครอบครัว แต่ทางการก็ไม่ยอมเปลี่ยนนโยบาย ถ้าพวกเขาไม่เปลี่ยนแปลงก็ยากที่จะทำให้ความรุนแรงหมดไป
ฮาสกล่าวว่าส่วนหนึ่งที่ทำให้ขับเคลื่อนผู้คนให้คนหันมาสนใจในเรื่องนี้มาจากผลพวงจากขบวนการ #MeToo ซึ่งเป็นการใช้แฮชแท็กทางเว็บไซต์โซเชียลมีเดียเพื่อพูดถึงประเด็นการล่วงละเมิดทางเพศ
หนึ่งในคนที่ร่วมจัดทำวัสดุอุปกรณ์การประท้วงต่างๆ เป็นหญิงอายุ 22 ปีชื่อ ออเดรย์ แรนเดรียมานดราโต เธอบอกว่าที่เธอร่วมประท้วงเพราะเธอเคยถูกทำร้ายบนท้องถนนมาก่อน การที่สภาพแวดล้อมรอบตัวไม่ปลอดภัยเช่นนี้ถือเป็นเรื่องไม่ปกติ "พวกเราต้องสร้างแรงสะเทือนอย่างแท้จริงต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในโลก ต้องแสดงให้เห็นว่ากลุ่มกองกำลังของผู้หญิงกำลงผงาดขึ้น"
เกรวินบอกว่าการประท้วงทำให้เธอรู้สึกมีความหวัง มันแสดงให้เห็นว่าพวกเธอได้รับการสนับสนุน การที่มีครอบครัวต่างๆ ที่สูญเสียในแบบเดียวกันคอยช่วยเหลือทำให้เธอรู้สึกไม่เดียวดาย แต่เธอก็เข้าใจว่าครอบครัวส่วนหนึ่งก็ไม่สามารถดำเนินการประท้วงต่อไปได้เรื่อยๆ เพราะพวกเขาก็ยังคงอยากไว้อาลัยและยังไม่สามารถทำใจจะเข้าร่วมประท้วงได้
ทั้งนี้อัลจาซีรายังได้นำเสนอแผนภาพที่ระบุถึงสถิติจากทั่วโลกแสดงให้เห็นว่า โดยอัตราส่วนแล้วผู้หญิง 1 ใน 3 คนเผชิญกับความรุนแรงในครองครัว ผู้หญิงที่ถูกสังหารร้อยละ 58 ถูกสังหารโดยคู่รักหรือครอบครัว มีหญิงวัยรุ่นจำนวนมากที่ตกเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์และการถูกบังคับข่มขืน ผู้หญิงในสหภาพยุโรปร้อยละ 45-55 เคยเผชิญกับการล่วงละเมิดทางเพศมาก่อนในช่วงวัยรุ่น นอกจากนี้ยังระบุถึงปัญหาการบังคับเด็กขริบคลิตอริส (FGM) ใน 30 ประเทศ รวมถึงปัญหาการบังคับให้เด็กหญิงที่ยังอายุต่ำกว่า 18ปี แต่งงานด้ว
เรียบเรียงจาก
Why has it been such a deadly year for French women?, Aljazeera, Nov. 26, 2019
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)