ป้าน้อย ภรรยาของ 'สุรชัย แซ่ด่าน' ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่คาดว่าถูกอุ้มหาย โพสต์ขอรับการสนับสนุนค่าปรับนายประกัน หลังศาลสั่งปรับถึง 4.5 แสน เหตุยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่าเสียชีวิต ต้องรอ 5 ปี ถึงขอเป็นบุคคลสาบสูญ

ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ ขณะเข้าร้องทุกข์ต่อกรมคุ้มครองสิทธิฯ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.2562

29 พ.ย.2562 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ปราณี ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ ป้าน้อย ภรรยาของ สุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือสุรชัย แซ่ด่าน ผู้ลี้ภัยทางการเมืองของไทยในประเทศลาวที่หายตัวไปเมื่อปลายปีที่แล้ว โพสต์ข้อความผ่านเฟสบุ๊ก ถึงภาระต้องผ่อนจ่ายค่าปรับนายประกันคดีพัทยาของ สุรชัย เดือนละ 3,000 บาท เป็นเวลา 150 เดือน จากยอดเต็ม 450,000 บาท บวกยึดเงินสดไปแล้ว 50,000 บาทถ้วน เริ่มจ่ายงวดแรกเดือนกุมภาพันธ์ 2561

ปราณี ระบุด้วยว่า ตนและนายประกันไปขอลดค่าปรับ แล้ว ยังไม่ได้คำตอบ ขณะนี้ตนลำบากมาก รายได้ไม่พอจ่ายค่าปรับฯ มีรายได้ค่าแบ่งบ้านให้ผู้อื่นเช่าที่ จ.นครศรีธรรมราชเดือนละ 2,000 บาท ได้เบี้ยผู้สูงวัยเดือนละ 600 บาท ทำให้ต้องใช้เป็นค่าครองชีพอย่างประหยัด เงินเก็บก็ใช้หมดแล้ว

"จึงขอความช่วยเหลือจากผู้รักปชต.และรักนับถืออ.สุรชัย แซ่ด่าน ช่วยเหลือค่าปรับฯคนละเล็กน้อยต่อเดือนตามกำลังทรัพย์ของท่านค่ะ คนละ 39 บาทหรือ 100 บาท ป้าน้อยก็จะส่งฟองน้ำมห้ศจรรย์ยี่ห้อ Mrs.WOW ไปให้จำนวน1ชิ้น(ราคา39บาท)หรือ100บาท (ได้3ชิ้นค่ะ) เพราะป้าน้อยสมัครเป็นตัวแทนขายตรงค่ะ ลงทุน 100 ชิ้นใช้ทุน2,680บาทค่ะ (2,600+ค่าส่ง80บาท) ป้าน้อยก็จะได้กำไรส่วนต่างมาใช้เป็นค่าปรับฯและใช้จ่ายในชีวิตประจำวันด้วยค่ะ" ปราณี ระบุในโพสต์

นอกจากนี้ ปราณี ยังให้ข้อมูลการติดต่อไว้ในเฟสบุ๊คที่โพสต์ในลักษณะสาธารณะด้วย ดังนี้

ผู้สื่อข่าวสอบถาม ปราณีเพิ่มเติม หลังเมื่อ ก.ย.ที่ผ่านมา ปราณี ได้ไปยื่นเรื่องขอให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม ช่วยเหลือเรื่องค่าปรับนายประกันนั้น ปราณี กล่าวว่า ไม่สามารถขอให้หยุดจ่ายค่าปรับนายประกัน เนื่องจากตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า สุรชัยเสียชีวิต โดยต้องรอให้ครบ 5 ปี จะต้องไปยื่นต่อศาลเพื่อให้ได้คำสั่งว่าสุรชัยเป็นบุคคลสาบสูญ และไปยื่นเรื่องขอหยุดจ่ายค่าปรับนายประกันต่อศาลพัทยาอีกที

ปราณี กล่าวด้วยว่า เดิม สุรชัย เคยคาดหวังว่าจะกลับไทยได้ พร้อมทั้งฟ้องกลับนายตำรวจที่แจ้งความเท็จกับ สุรชัย ด้วย และเรียกค่าเสียหายทางแพ่งกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เนื่องจาก สุรชัย ยืนยันว่า ไม่ได้บุกไปที่โรงแรมพัทยา ตนถูกกักที่แหลมบาลีฮายกับพวก ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาคุมฝูงชนที่ถูกกักเป็นพยานได้

ทั้งนี้ เมื่อ มิ.ย.61 ศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่พนักงานอัยการจังหวัดพัทยาฟ้อง พ.ต.ท.ศราวุฒ บุญชัย จำเลยคดีให้การเท็จ ซึ่งได้ให้การเบิกความเท็จทำให้หลายคนถูกตั้งข้อหา ดำเนินคดีหรือแม้กระทั่งต้องติดคุก ในคดีล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน พัทยา ปี 2552 ขณะที่ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์วันดังกล่าว การกระทำของจำเลยเป็นไปเพื่อจะแกล้งให้ผู้เสียหายต้องรับโทษทางอาญา และเบิกความอันเป็นเท็จ เป็นข้อสำคัญในคดีอาญา โดยจำเลยรับสารภาพ

จดหมายร้องทุกข์ของ ปราณี ต่อ กรมคุ้มครองสิทธิฯ ระบุตอนหนึ่งว่า เหตุของการรัฐประหารเมื่อเดือนพฤษภาคม 2557 สุรชัยมีความจําเป็นต้องเดินทางออกนอกประเทศจนไม่สามารถต่อสู้คดีอาญาที่ตัวเขาถูกฟ้องเป็นจําเลยที่ศาลจังหวัดพัทยาใต้ ซึ่งหากยังอยู่ในประเทศสุรชัยจะต่อสู้คดีอย่างเต็มที่เหมือนที่เขาได้ปฏิบัติมาตลอตทำให้ศาลสั่งปรับนายประกันเต็มตามสัญญาประกันเพื่อการขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นเงินถึง 500,0000 บาท โดยศาลได้ยึดเงินสดจํานวน 50,000 บาทไปแล้ว ยังคงค้างชําระ 450,000 บาท ตนและนายประกันได้ทําเรื่องขอผ่อนผันการช่ำระค่าปรับต่อศาลเป็นการผ่อนชําระเดือนละ 3,000 บาท ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2561 จนกว่าจะชําระเสร็จสิ้น

สำหรับ สุรชัย หายตัวไปพร้อมกับผู้ติดตามอีกสองคนคือสหายภูชนะ และสหายกาสะลอง ในคืนวันที่ 13 ธ.ค. 61 ซึ่งตรงกับการเดินทางไปประชุม ไทย-ลาว ของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีไทย ที่นครเวียงจันทร์ จนในวันที่ 26 ธ.ค.61 มีการพบศพที่บ้านท่าจำปา อ.ท่าอุเทน ซึ่งศพได้หายไป ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. ที่หน้าวัดหัวเวียง ต.ธาตุพนมและวันที่ 29 ธ.ค.61 ที่ บ้านท่าสำราญ ต.อาจสามารถ มีการพบศพอีก 2 ศพ ซึ่งจากการตรวจพิศูจน์ดีเอ็นเอ 2 ศพหลังตรงกับชัชชาญ บุปผาวัลย์หรือสหายภูชนะ และไกรเดช ลือเลิศหรือสหายกาสะลอง สองผู้ติดตาม สุรชัย ทางภรรยาของสุรชัย จึงเชื่อว่าสามีได้เสียชีวิตไปแล้วและศพที่พบศพแรกคือสามีของตน