เมื่ออนาคตใหม่เร่งเครื่องข้อเสนอ ‘ยกเลิกเกณฑ์ทหาร’
การยกเลิกเกณฑ์ทหารกำลังเป็นกระแสอย่างมากในปัจจุบันหลังพรรคอนาคตใหม่เสนอ พ.ร.บ.เกณฑ์ทหารฉบับใหม่ที่จะเปลี่ยนจากระบบบังคับเป็นระบบสมัครใจ พรรคอนาคตใหม่ไม่ใช่พรรคเดียวที่เสนอเรื่องนี้ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง แต่ยังมีพรรคเสรีรวมไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาธิปัตย์ด้วย
กระนั้น หลังจากนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นสภาพความเป็น ส.ส.จนอาจนำไปสู่การดำเนินคดีอาญาและการยุบพรรค พรรคก็ผลักดันเรื่องนี้โดยไม่รีรอ เสมือนใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด
กฎหมายฉบับนี้จะผ่านสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาจนนำไปสู่การบังคับใช้จริงได้หรือไม่คงเป็นเรื่องที่ต้องดูกันต่อไป แน่นอนว่ามันไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากฝั่งรัฐบาล แม้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา สั่งให้ศึกษาความเป็นไปได้ในการยกเลิกการเกณฑ์ทหาร แต่ก็ได้กล่าวคัดค้านแนวคิดดังกล่าวหลังจากนั้นไม่นานนัก โดยบอกว่าทหารยังมีความสำคัญในการรับมือกับภัยพิบัติ และเห็นว่าระบบเดิมดีอยู่แล้ว
การผลักดันยกเลิกเกณฑ์ทหารถือเป็นจุดหัวเลี้ยวหัวต่อจุดหนึ่งของสังคมไทย ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียคือชายไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 21-26 ปี เฉลี่ยแล้วกองทัพจะประกาศความต้องการทหารประมาณปีละ 100,000 ราย แบ่งเป็นผู้ต้องบังคับเกณฑ์ทหารประมาณปีละ 60,000 ราย
ส่วนผู้สมัครใจเกณฑ์ทหารด้วยตนเองประมาณปีละ 40,000 รายยังไม่พบข้อมูลว่าเลือกสมัครเพื่อลดระยะเวลาการเกณฑ์จาก 2 ปีเหลือ 6 -12 เดือน เป็นสัดส่วนเท่าใด หรือสมัครเพราะความจำเป็นทางเศรษฐกิจมากน้อยเพียงใด
อย่างไรก็ตาม พรรคอนาคตใหม่ยังไม่ได้เผยแพร่ร่าง พ.ร.บ.ฉบับเต็มว่าหน้าตาชัดๆ จะเป็นอย่างไร โจทย์เรื่องการยกเลิกเกณฑ์ทหารจึงยังเป็นคำถามปลายเปิด และยังมีพื้นที่ให้เจรจาต่อรองถึงความเป็นไปได้รูปแบบต่างๆ
สำหรับเนื้อหาในเบื้องต้นตามที่ พล.ท.พงศกร รอดชมพู ส.ส.บัญชีรายชื่อและรองหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ได้เสนอไว้ก็คือ
- อายุผู้รับการเกณฑ์ทหารจะลดลงจาก 21 ปี เป็น 18 ปี
- เกณฑ์เฉพาะช่วงที่มีสงคราม รัฐมนตรีมีอำนาจในการเรียกเกณฑ์ทหาร
- เกณฑ์ได้ 1 ปีเท่านั้นโดยให้ฝึกขั้นต้น 3 เดือน ขั้นสูง 3 เดือน และให้รอดูสถานการณ์ว่าจะมีสงครามหรือไม่อีก 6 เดือน
- ในภาวะปกติคนทุกเพศที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี สามารถสมัครเกณฑ์ทหารได้ตามสมัครใจ โดยจะมีสวัสดิการและเงินเดือนให้ เพิ่มเวลาการฝึกเพิ่มความชำนาญจาก 2 ปี เป็น 5 ปี และสามารถขึ้นเป็นทหารกองประจำการได้ปกติ คือ นายทหารประทวนและนายทหารสัญญาบัตร โดยจะมีการจัดสอบทุก 5 ปี และกำหนดเกษียณตอน 46 ปี เป็นได้ถึงยศพันโท
อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอการยกเลิกเกณฑ์หทารไม่ใช่เรื่องใหม่หรือถูกนำเสนอเป็นครั้งแรกในสังคมไทย
ใครบ้างเคยเสนอยกเลิกเกณฑ์ทหาร
อันที่จริงสังคมไทยคุ้นเคยกับการผลักดันเพื่อยกเลิกเกณฑ์ทหารมาบ้างแล้ว ตัวอย่างเช่น ป๋วย อึ๊งภากรณ์ เคยพยายามเสนอให้รัฐธรรมนูญ 2517 กำหนดไว้ในมาตรา 29 ว่า “บุคคลมีเสรีภาพในความคิดและความเชื่อถือ” แทนคำว่า “บุคคลย่อมมีเสรีภาพบริบูรณ์ในการถือศาสนา นิกายของศาสนา หรือลัทธินิยมในทางศาสนา” เพื่อเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิในการไม่ต้องเกณฑ์ทหารได้บนฐานของมโนธรรมสำนึก ไม่ใช่แค่พระหรือนักบวชของศาสนาต่างๆ เพียงอย่างเดียว
ความพยายามดังกล่าวของป๋วยไม่ประสบความสำเร็จ และข้อความดังกล่าวก็ยังปรากฏเรื่อยมา โดยปัจจุบันอยู่ในมาตราที่ 31 ของรัฐธรรมนูญปี 2560
ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองขององค์การสหประชาชาติมาตั้งแต่ปี 2540 ในมาตรา 18 ของสนธิสัญญาดังกล่าวรับรองให้บุคคลมีเสรีภาพในความคิดและความเชื่อถือ (และดังนั้นจึงรับรองสิทธิบุคคลในการยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหาร) แต่ดูเหมือนว่ารัฐธรรมนูญและกฎหมายเกณฑ์ทหารของไทยซึ่งใช้มาตั้งแต่ พ.ศ.2497 ไม่สอดคล้องกับทิศทางของสนธิสัญญาดังกล่าว
ความพยายามในการยกเลิกเกณฑ์ทหารเคยเกิดขึ้นในรูปแบบอื่นๆ ด้วย เช่น ภายใต้บรรยากาศประชาธิปไตยหลังเหตุการณ์พฤษภาคมปี 2535 พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เคยแถลงนโยบายต่อสภาในฐานะนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2539 ว่าจะต้องมีการ “ปรับปรุงระบบการคัดเลือกทหารให้เป็นไป ด้วยความสมัครใจ” แต่เนื่องจากพล.อ.ชวลิตประกาศลาออกกระทันหันหลังเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งใน ปี 2540 แผนในการยกเลิกเกณฑ์ทหารที่ร่างไว้จึงไม่ได้มีการนำไปทำต่อ
การยกเลิกเกณฑ์ทหารเป็นประเด็นอีกครั้งภายใต้บรรยากาศการเมืองปัจจุบันโดยเฉพาะหลังการรัฐประหารปี 2557 เป็นต้นมา สังคมเริ่มตั้งคำถามมากขึ้นจากข่าวการละเมิดสิทธิมนุษยชนในค่ายทหารที่มีการรายงานออกมาเป็นระยะๆ ในช่วงเวลาที่ทหารควบคุมการเมืองเบ็ดเสร็จยาวนาน
ข้อมูลเท่าที่รวบรวมได้พบว่า ตั้งแต่ปี 2550 มีทหารเกณฑ์ นายทหาร และนักเรียนเตรียมทหารเสียชีวิตไปแล้วอย่างน้อย 15 คน (ดูรายชื่อผู้เสียชีวิต) รวมไปถึงกรณีล่าสุดในปีนี้เกี่ยวกับการเสียชีวิตของพลทหารลือชานนท์ นันทบุตร หลายคนจึงตั้งคำถามเกี่ยวกับกระบวนการเกณฑ์ทหารในปัจจุบัน
คนแรกๆ ที่ออกมาเสนอให้ยกเลิกเกณฑ์ทหารหลังการรัฐประหารปี 2557 คือ เนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล ที่ประกาศตนเป็นผู้คัดค้านการเกณฑ์ทหารด้วยเหตุผลมโนธรรมสำนึกในเดือนกันยายนของปีเดียวกัน และขอผ่อนผันเกณฑ์ทหารเป็นครั้งที่ 3 แล้วในเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ต่อมาในปี 2558 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล นักประวัติศาสตร์ผู้ลี้ภัยทางการเมืองก็ทวีตท้าทายเช่นกันว่า “ยกเลิกการเกณฑ์ทหาร ลดจำนวนนายพลและนายทหารระดับสูงลงอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง จะมีพรรคการเมืองไหน มีความกล้าหาญพอจะเสนอนี่เป็นนโยบายไหม?”
4 ปีต่อมาหลังการท้าทายของสมศักดิ์ มีพรรคการเมืองที่เสนอว่าจะปฏิรูปกองทัพแล้วจริงๆ หลังการเลือกตั้งในเดือนมีนาคม 2562
งานวิจัยเผย ระบบไพร่ไม่เคยถูกตั้งคำถาม
แม้จะมีการเสนอยกเลิกเกณฑ์ทหารอยู่เนืองๆ แต่มันก็ยังมีพลังไม่มากพอจะท้าทายระบบไพร่ที่แทรกซึมอยู่ในการบังคับเกณฑ์ทหารและฝังรากลึกในสังคมไทยมายาวนานกว่าร้อยปี
งานวิจัยประวัติศาสตร์การเกณฑ์ทหารของธนัย เกตวงกต โดยการสนับสนุนของมูลนิธิฟรีดริค เอแบร์ท ระบุว่า การเกณฑ์ทหารรูปแบบสมัยใหม่ปรากฏขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังมีการประกาศทดลองใช้ ข้อบังคับลักษณะเกณฑ์ทหาร ร.ศ.122 (พ.ศ.2446) โดยเริ่มที่มณฑลนครราชสีมาก่อน
บริบทก่อนเกิดข้อบังคับนี้คือ ช่วงเวลาดังกล่าวเกิดกบฎขึ้นในสยามหลายครั้งเช่นการขึ้นไปปราบฮ่อที่เมืองหลวงพระบาง (สมัยที่ยังขึ้นกับสยามอยู่) ในปีพ.ศ.2428 กบฏผีบุญ ร.ศ.120 (พ.ศ.2444–2445) รวมถึงผู้ร้ายที่ก่อการจลาจลในมณฑลพายัพเมื่อ ร.ศ.121 (พ.ศ.2445) กอปรกับอังกฤษและฝรั่งเศสเริ่มขยายอำนาจระบอบอาณานิคมเข้ามาในอินโดจีน
ระบบการเกณฑ์ทหารรูปแบบเก่าก่อนหน้านี้ไม่สามารถหากำลังพลได้เพียงพอ การเกณฑ์ทหารในยุคโบราณผูกติดอยู่กับระบบไพร่ โดยชายทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 18-60 ปีจะต้องเข้าทะเบียน “เกณฑ์เลข” กับเจ้าพนักงานด้วยการสักท้องมือระบุสังกัด จากนั้นขึ้นตรงกับขุนนางตามหัวเมืองต่างๆ แต่เนื่องจากระบบนี้เปิดโอกาสให้จ่ายเงินแก่ขุนนางเพื่อผ่อนผันการเกณฑ์ทหารมาตั้งแต่ปลายสมัยอยุธยา คนจึงพยายามจ่ายเงินเพื่อเลี่ยงการเกณฑ์ทหารมาตลอด เพราะ “คนที่ถูกเกณฑ์เป็นทหารในช่วงเวลานี้...ถูกมองว่ามีสถานะที่ต่ำกว่าไพร่ทั่วไป คือเป็นคนที่ไม่มีเงิน หรือเป็นคนต้องโทษ” นอกจากนี้ยังเป็นพวก “จำเป็นต้องทำหน้าที่เหมือนผู้ใช้แรงงานโดยไม่มีทางเลือก”
เพื่อหากำลังพลให้เพียงพอต่อการปราบกบฏและรับมือกับการล่าอาณานิคม รัชกาลที่ 5 จึงเริ่มใช้การเกณฑ์ทหารรูปแบบบังคับเป็นครั้งแรก และกำลังพลต้องขึ้นตรงต่อสถาบันกษัตริย์โดยตรงภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ แทนที่จะขึ้นกับขุนนางและหัวเมืองต่างๆ
ทั้งนี้ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ซึ่งจบวิชาการทหารจากต่างประเทศเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงกองทัพสยาม หลังจากประกาศข้อบังคับลักษณะเกณฑ์ทหาร รัชกาลที่ 5 ก็ทรงประกาศเลิกทาสต่อมาใน ร.ศ. 124 โดยส่วนหนึ่งเป็นไปเพื่อลดอิทธิพลของขุนนางและเพิ่มอำนาจรวมศูนย์ของสถาบันกษัตริย์
ผ่านไปร้อยกว่าปี แม้ว่ารูปแบบการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ และสังคมเปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล แต่อิทธิพลระบบไพร่ที่ยังอยู่ในการเกณฑ์ทหารก็คือ การนำพลทหารไปรับใช้นอกราชการ ซึ่งงานวิจัยระบุว่าเป็นความต่อเนื่องมาจากอดีต
“สำหรับประเด็นเกี่ยวกับการนำพลทหารไปเป็นทหารรับใช้หรือทหารบริการนั้น เป็นสิ่งที่สืบเนื่องมาตั้งแต่อดีต กล่าวคือ ในอดีตก่อนที่จะมีการปฏิรูปทางการทหารให้มีความทันสมัย ขุนนางเป็นผู้ควบคุมไพร่และสามารถจะมีไพร่ติดตามคอยรับใช้ที่เรือนได้ตลอดเวลา ต่อมาภายหลังการปฏิรูปทางสังคมยกเลิกระบบไพร่และระบบทาส ส่งผลให้ขุนนางไม่สามารถจะมีไพร่หรือทาสไว้รับใช้ที่เรือนได้ จำเป็นต้องใช้เงินในการจ้างตอบแทน ขณะที่ฝ่ายทหารเกือบทุกกรมกองและลำดับชั้นก็ไม่สามารถจะมีนายทหารรับใช้ ยกเว้นนายทหารสัญญาบัตรที่มีหน้าที่ปกครองทหารในกรมกองและผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้นขึ้นไปเท่านั้นที่มีอนุญาตให้มีทหารรับใช้ได้ เพราะเป็นการประหยัดพระราชทรัพย์ของพระเจ้าอยู่หัว [รัชกาลที่ 5]”
งานวิจัยระบุด้วยว่า “ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ก่อให้เกิดความไม่พอใจแก่นายทหารผู้ช่วยพลรบต่างๆ จำนวนมากเพราะไม่สามารถมีทหารรับใช้ได้ จึงต้องการจะเปลี่ยนแปลงกฎเกณฑ์ดังกล่าว อันเนื่องจากก่อให้เกิดความไม่สะดวกต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพ”
แม้ว่าความพยายามในการเปลี่ยนแปลงข้อระเบียบเกี่ยวกับเรื่องนี้ของทหารจะไม่ประสบความสำเร็จในรัชกาลที่ 5 แต่อาจตั้งข้อสังเกตได้ว่ามันกลับมาประสบความสำเร็จอีกครั้งในปัจจุบัน หลังจากทหารมีบทบาทในสังคมมากขึ้น ไม่ว่าการนำ “ไพร่/พล” มาเป็นทหารบริการจะสอดคล้องกับระเบียบปัจจุบันหรือไม่ก็ตาม
“จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า แต่เดิมเรื่องการครอบครองไพร่หรือทาสหรือทหารรับใช้เป็นอภิสิทธิ์อย่างหนึ่งของขุนนางที่มีมาแต่เดิมตั้งแต่ก่อนการปฏิรูปทางด้านสังคมให้ยกเลิกระบบไพร่และระบบทาสในสมัยรัชกาลที่ 5 ความคิดความเชื่อเกี่ยวกับอภิสิทธิ์ของขุนนางดังกล่าวยังคงสืบทอดอยู่ต่อเนื่องมา เมื่อสถาบันทางทหารเริ่มมีอำนาจอีกครั้งจึงเป็นการหวนกลับไปสู่การเกิดระบบทหารรับใช้ต่อนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และกลายเป็นที่ยอมรับสืบทอดต่อกันมา โดยไม่ได้ถูกตั้งคำถามอย่างจริงจังในสังคมไทยแต่อย่างใด"
ข้อค้นพบอีกประการหนึ่งจากงานวิจัยชิ้นนี้ก็คือการที่กฎหมายเกณฑ์ทหารได้มีการกำหนดคุณสมบัติของผู้ได้รับการยกเว้นเอาไว้เสมอ แม้หลักเกณฑ์จะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย นอกจากนี้งานวิจัยยังพบเห็นตัวอย่างการหนีทหารมาโดยตลอด
ข้อเท็จจริงเหล่านี้สะท้อนว่าชายไทยไม่อยากเกณฑ์ทหารตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน การหาจุดสมดุลระหว่างความมั่นคงและเสรีภาพเป็นปัญหาทางทฤษฎีและทางปฏิบัติที่สำคัญมาโดยตลอด คำถามคืออะไรจะเป็นทางเลือกสำหรับสังคมไทยได้บ้าง
ทางเลือกสำหรับสังคมไทย
หากลองพิจารณาตำราต่างๆ จะพบว่าการผลักดันเพื่อยกเลิกการเกณฑ์ทหารไม่ได้มีอยู่เฉพาะแต่ในประเทศไทย แต่เป็นประสบการณ์ของผู้คนมาตลอดประวัติศาสตร์ของมนุษย์
ตัวอย่างเช่น นักบุญแม็กซิมิเลียนแห่งเทเบสซาที่ขอไม่มีส่วนร่วมในการเกณฑ์ทหารของกองทัพโรมันใน ค.ศ.295 เพราะเห็นว่าการเข่นฆ่าเป็นสิ่งผิดตามหลักศาสนาคริสต์ จนถูกตัดสินโทษประหารชีวิตในที่สุด
กรณีของนักบุญแม็กซิมิเลียนนับว่าน่าสนใจ เพราะเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดที่เรียกว่า “การคัดค้านด้วยมโนธรรมสำนึก (conscientious objection)” หมายถึงการคัดค้านเกณฑ์ทหารเพราะเชื่อว่าการจับอาวุธเพื่อเข่นฆ่ามนุษย์ด้วยกันเป็นสิ่งผิด ความเชื่อที่ว่านี้ไม่จำเป็นต้องมาจากรากฐานของศาสนา แต่อาจจะมาจากมโนธรรมสำนึกรู้ผิดชอบชั่วดีของคนคนนั้นเองก็ได้
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่นำไปสู่การยกเลิกเกณฑ์ทหาร อาจไม่ได้มาจากศาสนาหรือศีลธรรมเกี่ยวกับการสงครามด้วยตัวมันเองเสมอไป แต่อาจมาจากเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องศีลธรรมสูงส่งด้วยก็ได้ เช่น การเกณฑ์ทหารทำให้พลาดโอกาสสำคัญในชีวิต ไม่มีโอกาสดูแลครอบครัวในยามยาก ไม่อยากเผชิญกับความรุนแรงในค่ายทหาร
วิธีการหลีกเลี่ยงเกณฑ์ทหารของคนในประเทศต่างๆ |
||
ภายใต้กรอบของกฎหมาย |
ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ของกฎหมาย |
การต่อต้านระบบเกณฑ์ทหาร |
ขอใช้สิทธิของผู้คัดค้านด้วยมโนธรรมสำนึก บนฐานความเชื่อทางจริยธรรมและศาสนา |
ขอใช้สิทธิของผู้คัดค้านด้วยมโนธรรมสำนึก ด้วยการใช้ความเชี่ยวชาญในความเชื่อทางศาสนาและจริยธรรมอย่างไม่จริงใจ |
ปฏิเสธที่จะไปลงทะเบียนเพื่อเกณฑ์ทหาร ในประเทศที่กฎหมายกำหนดให้ต้องลงทะเบียน |
ขอใช้สิทธิผ่อนผัน เมื่อยังอยู่ในระหว่างกำลังศึกษา |
ขอใช้สิทธิผ่อนผัน เมื่อนักเรียนนักศึกษาตั้งใจศึกษาในโรงเรียนต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร |
ไม่รายงานผลการตรวจร่างกาย หรือผลการคัดเลือกทหาร หรือไม่ไปรายงานตัวในประเทศที่กฎหมายกำหนดว่าต้องทำ |
ขอใช้สิทธิผู้ป่วยทางร่างกายและจิตใจ เมื่อเจ็บป่วยจริงและร้ายแรง |
ขอใช้สิทธิผ่อนผัน เมื่อนักเรียนนักศึกษาตั้งใจศึกษาในโรงเรียนต่อไปเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร |
มีส่วนร่วมในการเผาหมายเรียกเกณฑ์ทหาร หรือการเข้ามอบตัว |
ขอใช้สิทธิคนรักเพศเดียวกัน เมื่อเป็นคนรักเพศเดียวกันจริง ๆ และกองทัพไม่รับคนรักเพศเดียวกันเป็นทหาร |
ขอหรือจ้างให้หมอออกใบรับรองว่าผู้เข้าคุณสมบัติไม่สามารถเกณฑ์ทหารได้เนื่องจากปัญหาสุขภาพ |
ใช้เอกสารปลอมตัวเป็นบุคคลอื่น หลังจากตรวจพบว่าหนีทหาร |
ขอใช้สิทธิคนจน เมื่อยากจนจริง ๆ และกองทัพรับรองสิทธิดังกล่าว |
ขอใช้สิทธิคนรักเพศเดียวกัน แม้ไม่ได้เป็นคนรักเพศเดียวกัน |
หนีไปยังประเทศอื่น แทนที่จะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือก |
ทำงานในตำแหน่งที่รัฐบาลรับรองให้ยกเว้นเกณฑ์ทหารได้ |
ขอใช้สิทธิคนจน แม้ไม่ได้จนถึงขนาดที่กล่าวอ้าง |
ยอมเข้าคุก แทนที่จะเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกหรือบำเพ็ญประโยชน์ทดแทน |
จ่ายเงินเพื่อยกเว้นไม่ต้องเกณฑ์ทหาร ในประเทศที่อนุญาตให้สามารถทำได้ |
จงใจสอบไม่ผ่านในวิชาที่เกี่ยวข้องกับการทหาร
|
จัดประท้วงอย่างสันติบนท้องถนนเพื่อคัดค้านการเกณฑทหาร หรือสร้างขบวนการต่อต้านสงคราม งเห็นว่าการต่อต้านการเกณฑ์ทหารเป็นส่วนคัญที่ขาดไม่ได้ของขบวนการดังกล่าว |
จับฉลากแล้วไม่ถูกเลือก หรืออายุไม่อยู่ในเกณฑ์ที่ต้องไปเกณฑ์ทหาร |
ตั้งใจมีครรภ์เพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหารในประเทศที่ผู้หญิงต้องเป็นทหาร |
สนับสนุน ส่งเสริม ให้หนีเกณฑ์ทหาร และให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่หนีการเกณฑ์ทหาร |
ไม่มีเงินจ่ายค่าเกราะ เมื่อรัฐบาลกำหนดให้ต้องนำเกราะมาเอง |
ขอให้คนที่มีอิทธิพลในกระบวนการเกณฑ์ทหารช่วยเหลือเพื่อหลีกเลี่ยงการเกณฑ์ทหาร |
ทำลายเอกสารของหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องการเกณฑ์ทหาร |
|
ติดสินบนเจ้าพนักงานที่รับผิดชอบกระบวนการเกณฑ์ทหาร |
ก่อเหตุหรือมีส่วนร่วมในการจลาจลเพื่อต่อต้านการเกณฑ์ทหาร |
ที่มา: https://en.wikipedia.org/wiki/Draft_evasion
ด้วยเหตุนี้ เราจึงพบว่าผู้คนในโลกมีเหตุผลและวิธีการในหลีกเลี่ยงหรือคัดค้านการเกณฑ์ทหารหลากหลายวิธี วิกิพีเดียรวบรวมเอาไว้ได้ถึง 32 วิธี แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่ วิธีการภายใต้กรอบของกฎหมาย วิธีการที่ใช้ช่องโหว่ของกฏหมาย และวิธีการที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงกฏหมาย ขณะเดียวกัน ประเทศต่าง ๆ ก็ได้พยายามพัฒนาระบบเพื่อรองรับแนวคิดการไม่เกณฑ์ทหารไว้หลายรูปแบบ
ข้อมูลจาก Pew Research Center ของสหรัฐอเมริการายงานในเดือนเมษายน 2562 ว่า ปัจจุบันประเทศทั้งหมด 191 ประเทศทั่วโลกที่หาข้อมูลได้ มีประเทศที่ยังบังคับเกณฑ์ทหารในบางรูปแบบอยู่ประมาณ 60 ประเทศ ถือว่าน้อยกว่า 1 ใน 3 ของประเทศทั่วโลก
ในจำนวนนี้แบ่งเป็นประเทศที่บังคับเกณฑ์ผู้ชายเป็นทหารเท่านั้น 45 ประเทศ และบังคับเกณฑ์ทั้งชายและหญิงด้วยทั้งหมด 11 ประเทศ ส่วนอีก 4 ประเทศไม่ทราบเพราะไม่มีข้อมูลเรื่องเพศกำหนดไว้
ส่วนประเทศที่ยกเลิกการเกณฑ์ทหารแล้ว แบ่งเป็นประเทศที่ไม่มีกฎหมายบังคับเกณฑ์ทหารอีกต่อไปแล้ว 85 ประเทศ ประเทศที่ไม่มีกองทัพประจำการ 23 ประเทศ และมีกฎหมายเกณฑ์ทหารแต่ไม่มีการบังคับใช้ 23 ประเทศ
ประเทศที่ยังมีการบังคับเกณฑ์ทหารอยู่ในบางรูปแบบ
ที่ |
ประเทศ |
เพศ |
บำเพ็ญประโยชน์ทดแทน* |
1. |
รัสเซีย |
ชายเท่านั้น |
มี |
2. |
ฟินแลนด์ |
ชายเท่านั้น |
มี |
3. |
สวีเดน |
ทั้งชายและหญิง |
มี |
4. |
นอร์เวย์ |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่ต้องบำเพ็ญประโยชน์ทดแทน |
5. |
เดนมาร์ก |
ชายเท่านั้น |
มี |
6. |
เกาหลีเหนือ |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
7. |
เกาหลีใต้ |
ชายเท่านั้น |
มี (เฉพาะคนที่มีปัญหาสุขภาพเท่านั้น) |
8. |
มองโกเลีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
9. |
คาซัคสถาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
10. |
เวียดนาม |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
11. |
ลาว |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
12. |
ไทย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
13. |
สิงคโปร์ |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
14. |
คีร์กีซสถาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
15. |
ทาจิกาสถาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
16. |
อุซเบกิสถาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
17. |
เติร์กเมนิสถาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
18. |
อิหร่าน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
19. |
คูเวต |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
20. |
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
21. |
การ์ตา |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
22. |
จอร์เจีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
23. |
อาร์เมเนีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
24. |
อาร์เซอร์ไบจาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
25. |
ตุรกี |
ชายเท่านั้น |
มี |
26. |
ซีเรีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
27. |
เอสโตเนีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
28. |
ลัตเวีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
29. |
ลิทัวเนีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
30. |
เบลารุส |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
31. |
ยูเครน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
32. |
มอลโดวา |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
33. |
สวิตเซอร์แลนด์ |
ชายเท่านั้น |
มี |
34. |
ออสเตรีย |
ชายเท่านั้น |
มี |
35. |
กรีซ |
ชายเท่านั้น |
มี |
36. |
โมร็อกโก |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
37. |
แอลจีเรีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
38. |
ตูนีเซีย |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
39. |
อียิปต์ |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
40. |
ซูดาน |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
41. |
เอริเทรีย |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
42. |
มาลี |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
43. |
ไนเจอร์ |
ไม่ทราบข้อมูล |
ไม่มี |
44. |
เบนิน |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
45. |
เซเนกัล |
ไม่ทราบข้อมูล |
ไม่มี |
46. |
กินี-บิสเซา |
ไม่ทราบข้อมูล |
ไม่มี |
47. |
อิเควทอเรียลกินี |
ไม่ทราบข้อมูล |
ไม่มี |
48. |
แองโกลา |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
49. |
โมซัมบิก |
ทั้งชายและหญิง |
ไม่มี |
50. |
บราซิล |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
51. |
โบลิเวีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
52. |
ปารากวัย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
53. |
โคลอมเบีย |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
54. |
เวเนซุเอลา |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
55. |
คิวบา |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
56. |
เม็กซิโก |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
57. |
อิสราเอล |
ทั้งชายและหญิง |
มี |
58. |
ไซปรัส |
ชายเท่านั้น |
มี |
59. |
เอลซัลวาดอร์ |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
60. |
กัวเตมาลา |
ชายเท่านั้น |
ไม่มี |
ในจำนวนประเทศที่มีและไม่มีการบังคับเกณฑ์ทหาร หากเข้าไปดูเป็นรายประเทศจะพบว่าแต่ละประเทศมีการบริหารจัดการความมั่นคงแตกต่างหลากหลาย
ในบริบทของการเมืองของไทย ระบบเหล่านี้มีความเหมาะสมมากน้อยต่างกันไป โดยเฉพาะในสถานการณ์ทางการเมืองที่มีการเสนอให้เปลี่ยนจากระบบบังคับไปสู่ระบบสมัครใจไปแล้ว คงสร้างข้อจำกัดให้พรรคการเมืองและกลุ่มต่างๆ ในสังคมไม่สามารถขยับกลับไปสู่ข้อเสนอที่รอมชอมกับกองทัพกว่านี้ได้ อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากประสบการณ์ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จะพบว่าระบบสมัครใจเป็นหนึ่งในทางเลือกหลายๆ รูปแบบที่มีอยู่ในโลก
ในตอนหน้าเราจะทำความเข้าใจกันแบบละเอียดในระบบสมัครใจของสหรัฐอเมริกา ต่อด้วยโมเดลที่แตกต่างออกไปอีก ไม่ว่าแบบออสเตรียหรือคอสตาริกา