3 ม.ค. 2563 BBC Thai รายงานว่า ศาลรัฐธรรมนูญเผยแพร่คำวินิจฉัยกลาง และคำวินิจฉัยส่วนตัวของตุลาการทั้ง 9 คน ในคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ว่าสมาชิกภาพของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) ของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ (อนค.) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(6) ประกอบมาตรา 98(3) หรือไม่
ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ว่านายธนาธรเป็นผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการสื่อมวลชนอยู่เมื่อ 6 ก.พ. 2562 ซึ่งเป็นวันที่ อนค. ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ ทำให้สมาชิกภาพ ส.ส. สิ้นสุดลงตั้งแต่วันที่ 23 พ.ค. 2562"
สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อย 2 คน ที่เห็นว่านายธนาธรไม่มีความคิดในคดีหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ คือ นายชัช ชลวร และนายทวีเกียรติ มีนะกนิษฐ โดยเห็นว่าข้อมูลหลักฐานต่าง ๆ ฟังได้ว่า นายธนาธรได้โอนหุ้นให้แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ มารดา ไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
ขณะที่ตุลาการเสียงข้างมากทั้ง 7 คน เห็นตรงกันว่านายธนาธรยังเป็นผู้ถือหุ้นของบริษัท วี-ลัคฯ จำนวน 675,000 หุ้น ในวันสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.บัญชี และไม่เชื่อว่านายธนาธรได้โอนหุ้นให้แก่นางสมพร ในวันที่ 8 ม.ค. 2562 ตามที่กล่าวอ้าง
บีบีซีไทยขอสรุปคำวินิจฉัยส่วนตัวของ 7 ตุลาการไว้บางส่วน ดังนี้
นายนุรักษ์ มาประณีต ประธานศาลรัฐธรรมนูญ เห็นว่า ข้อเท็จจริงที่ได้จากพยานหลักฐานของนายธนาธร "มีข้อพิรุธหลายประการยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ว่าผู้ถูกร้องโอนหุ้นของบริษัท วี-ลัคฯ ให้แก่นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ในวันที่ 8 ม.ค. 2562"
- บุคคลที่เกี่ยวข้องในการจัดทำเอกสารโอนหุ้นล้วนเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กับผู้ถูกร้องทั้งสิ้น
- การจัดทำเอกสารอาจจะดำเนินการที่สถานที่แห่งใดหรือในวันเวลาใดในภายหลังก็ได้โดยไม่มีบุคคลภายนอกรับรู้เห็น"
- กรณีผู้ถูกร้องอ้างว่าเดินทางกลับจากปราศรัย จ.บุรีรัมย์ ในวันที่ 8 ม.ค. 2562 เพื่อโอนหุ้นให้มารดา เห็นว่า "ไม่มีความจำเป็นใดที่ผู้ถูกร้องต้องรีบร้อนลำบากเดินทางด้วยรถยนต์ ทั้งที่มีเครื่องบินจาก จ.อุบลราชธานีในวันดังกล่าวไปกรุงเทพฯ"
- กรณีใช้เวลา 128 วัน ก่อนที่ภริยาของผู้ถูกร้องจะนำเช็คที่นางสมพรสั่งจ่ายค่าหุ้น จำนวน 6.75 ล้านบาท ให้แก่ผู้ร้อง ไปขึ้นเงิน เห็นว่า "การเก็บเช็คที่มีการสั่งจ่ายเงินจำนวนมากไว้นานย่อมเป็นที่ผิดปกติวิสัยวิญญูชนทั่วไป"
- กรณีนางสมพรโอนหุ้นให้นายทวี จรุงสถิตพงศ์ หลานชาย ก่อนที่หลานจะโอนหุ้นกลับมายังนางสมพร โดยอ้างความสัมพันธ์ในทางเครือญาติจึงไม่มีค่าตอบแทน แต่การโอนหุ้นระหว่างนางสมพรกับผู้ร้อง ซึ่งมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดยิ่งกว่ากลับมีค่าตอบแทน ซึ่ง "การโอนหุ้นให้แก่กันโดยไม่มีค่าตอบแทน ย่อมทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการโอนหุ้นจริงหรือไม่ คงมีเพียงตราสารโอนหุ้น สมุดทะเบียน และใบหุ้น ซึ่งต่างเป็นเอกสารที่บริษัทสามารถจัดทำขึ้นเองได้ในภายหลัง"
นายนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ เห็นว่า "ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานอันเป็นเรื่องภายในที่อยู่ในความรู้เห็นของผู้ถูกร้องและครอบครัว ตลอดจนผู้ใกล้ชิดนั้น ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะหักล้างพยานหลักฐานซึ่งเป็นเอกสารราชการหรือของบุคคลภายนอกที่ไม่มีส่วนได้เสียรู้เห็นในคดี"
นายจรัญ ภักดีธนากุล เห็นว่า "มีข้อพิรุธหลายจุดหลายประการ ประกอบกับพยานหลักฐานพฤติเหตุแวดล้อมกรณีที่สอดรับกันอย่างแน่นหนาแล้ว ย่อมมีความน่าเชื่อถือมากกว่าพยานเอกสารและคำเบิกความของพยานผู้ถูกร้อง ข้อเท็จจริงที่ได้จากพฤติการณ์แวดล้อมที่เป็นข้อพิรุธน่าสงสัยหลายประการประกอบกัน มีน้ำหนักหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายและพยานหลักฐานของผู้ถูกร้องได้"
- กรณีผู้ถูกร้องอ้างว่าได้โอนขายหุ้นให้นางสมพร ตั้งแต่วันที่ 8 ม.ค. 2562 แต่เพิ่งยื่นสำเนาบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนบริษัท 21 มี.ค. ซึ่งนานถึง 72 วัน และยังปรากฏว่าเป็น 2 วันหลังจาก ส.ส.สกลนคร เขต 2 อนค. ถูกศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งสั่งถอนชื่อออกจากการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง 2 วัน เนื่องจากเป็นเจ้าของกิจการสื่อ เมื่อพิจารณาประกอบกับตราสารการโอนหุ้นของผู้ถูกร้องที่มีทนายความรับรองลายมือชื่อ "อันเป็นการกระทำที่มากกว่าที่กฎหมายบัญญัติ แสดงให้เห็นถึงความจงใจของผู้ถูกร้อง เพื่อทำให้น่าเชื่อว่ามีการโอนหุ้นในวันดังกล่าวจริง" และเชื่อว่าเป็นการ "จัดทำเอกสารการโอนหุ้นย้อนหลังเพื่อไม่ให้ขาดคุณสมบัติ"
- กรณีผู้ร้องเบิกความอ้างว่าตั้งใจอย่างจริงจัง อยากจะทำงานการเมืองโดยที่ไม่มีข้อผลประโยชน์เหมือนที่คุณทักษิณ (ชินวัตร อดีตนายกฯ) โดนมาก่อน ไม่ได้ตั้งใจมาทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวนั้น ย่อมแสดงว่า "ผู้ถูกร้องต้องจัดการโอนหุ้นอย่างรอบคอบ เนื่องจากจะเข้าสู่การเลือกตั้ง เป็นนักการเมืองที่จะเป็นบุคคลสาธารณะที่ถูกตรวจสอบได้" ซึ่งสามารถทำได้ด้วยการนำหลักฐานการโอนหุ้นหรือบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้นไปยื่นไว้ต่อนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทโดยเร็วตามที่เคยปฏิบัติมา "ไม่มีเหตุที่ต้องปล่อยเวลาให้ล่วงเลยมาถึง 72 วัน"
- กรณีนางสมพรโอนหุ้นให้หลานชายโดยอ้างว่าให้เข้ามาฟื้นฟูกิจการ ทั้ง ๆ ที่บริษัท วี-ลัคฯ ได้หยุดประกอบกิจการและเลิกจ้างพนักงานแล้ว "ขัดต่อเหตุผลและสภาพปกติธรรมดาของเหตุการณ์อย่างชัดแจ้ง" และการเป็นผู้ถือหุ้นไม่ได้ทำให้มีอำนาจในการบริหารจัดการบริษัท ติดตามหนี้สิน และบริหารเงินสด หากนางสมพรประสงค์จะให้หลานมีอำนาจจัดการก็ควรแต่งตั้งเป็นกรรมการบริษัทมากกว่าโอนหุ้นให้เป็นผู้ถือหุ้น
นายบุญส่ง กุลบุปผา เชื่อว่า "ผู้ร้องถือครองหุ้นในบริษัทฯ ตลอดมาจนถึงวันที่ 21 มี.ค. 2562 จึงได้มีการจดแจ้งการโอนหุ้นของผู้ร้องให้แก่นางสมพร"
- กรณีนายธนาธรเปิดแถลงข่าวเมื่อ 23 มี.ค. โดยอ้างว่าได้โอนหุ้นให้มารดาตั้งแต่ 8 ม.ค. 2562 เพื่อแก้ข่าวไม่ให้สังคมเข้าใจผิด หลังสำนักข่าวอิศรานำเสนอข่าวนี้ เห็นว่า เช็คค่าหุ้นที่ผู้ร้องอ้างว่าได้รับเป็นค่าโอนหุ้นจากนางสมพรเพิ่งปรากฏเป็นหลักฐานขึ้นมาเป็นครั้งแรกในจังหวะช่วงเวลานั้น "จึงน่าเชื่อว่าเช็คที่ผู้ถูกร้องนำมาแสดงซึ่งได้ปรากฏต่อสาธารณะเป็นครั้งแรก เช็คธนาคารดังกล่าวนี้ไม่มีทางที่จะเรียกเก็บเงินได้ก่อน 23 มี.ค. 2562"
- กรณีภริยาของผู้ถูกร้องอ้างว่าติดธุระไม่สะดวกนำเช็คไปขึ้นเงิน "เป็นการผิดปกติของวิญญูชนโดยทั่วไป"
- ในชั้นไต่สวน "ผู้ถูกร้องเบิกความเป็นพิรุธหลายขั้นตอน" โดยเฉพาะรายละเอียดของเหตุการณ์ในวันที่ 8 ม.ค. 2562 ซึ่ง "ใช้คำตอบทำนองว่าไม่ทราบหลายคำถาม" ทั้งเรื่องกำหนดการเดินทาง และขั้นตอนการโอนหุ้น
นายปัญญา อุดชาชน เห็นว่า "เมื่อประมวลการวิเคราะห์การกระทำทั้งในวันที่ 8 ม.ค. 2562 และหลังวันที่ 8 ม.ค. 2562 ด้วยหลักการทางนิติศาสตร์และพฤติกรรมศาสตร์แล้ว เห็นว่าผู้ร้องยังคงเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท วี-ลัคฯ ในวันที่ 6 ก.พ. 2562"
นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี ชี้ว่า "มีพิรุธให้สงสัยว่ามีการโอนหุ้นและชำระด้วยเช็คในวันดังกล่าวอ้างหรือไม่ เป็นกรณีไม่สามารถยืนยันได้ว่ามีการโอนหุ้นกันจริง"
นายวรวิทย์ กังศศิเทียม เห็นว่า "พยานหลักฐานยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะฟังได้ว่าในวันที่ 8 ม.ค. ผู้ถูกร้องโอนหุ้นของบริษัท วี-ลัคฯ ให้นางสมพรจริง"
- กรณีการโอนหุ้นระหว่างผู้ถูกร้องกับมารดา ไม่มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นต่อนายทะเบียนตามที่เคยกระทำมา ส่วนที่อ้างว่าไม่มีนักบัญชีคอยจัดการทางเอกสารเพราะบริษัท วี-ลัคฯ เลิกจ้างพนักงานไปแล้วนั้น จากการเบิกความของ น.ส.ลาวัณย์ จันทรเกษม พยานศาล เบิกความว่าตนสามารถทำได้ถ้ามีคำสั่งให้ทำ เห็นว่า การยื่นแบบ บอจ.5 สามารถมอบหมายให้บุคคลอื่นดำเนินการแทนได้ และไม่มีความยุ่งยาก "ข้อกล่าวอ้างว่า ไม่มีพนักงานดำเนินการจึงไม่อาจรับฟังได้"
- กรณีนางรวิพรรณไม่นำเช็คไปขึ้นเงิน เห็นว่า "เป็นเรื่องผิดปกติวิสัยของวิญญูชนทั่วไป โดยเฉพาะผู้ประกอบกิจการค้าที่ต้องการเงินสดมาหมุนเวียน จึงมีเหตุน่าสงสัยว่ามีการชำระค่าหุ้นในวันที่ 8 ม.ค. 2562 จริงหรือไม่"
- กรณีนางสมพรโอนหุ้นให้หลานชาย ก่อนที่หลานจะโอนหุ้นกลับมายังนางสมพร โดยอ้างความสัมพันธ์ในทางเครือญาติจึงไม่มีค่าตอบแทน ย่อมทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่ามีการโอนหุ้นจริงหรือไม่ คงมีเพียงตราสารโอนหุ้น สมุดทะเบียน และใบหุ้น ซึ่งต่างเป็นเอกสารที่บริษัทสามารถจัดทำขึ้นเองได้ในภายหลัง ทั้งนี้ถ้าผู้ถูกร้องโอนหุ้นของตนและภริยาให้มารดา จำนวนผู้ถือหุ้นก็จะเหลือ 8 คน แต่ในการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นบริษัท วี-ลัคฯ วันที่ 19 มี.ค. 2562 ในรายงานกลับระบุว่ามีผู้ถือหุ้นเข้าประชุม 10 คน จึงจำเป็นต้องอ้างว่านางสมพรโอนหุ้นให้หลานชาย 2 คน วันที่ 14 ม.ค. 2562 เพื่อให้จำนวนผู้ถือหุ้นครบ 10 คนตามเดิม จึงไม่น่าเชื่อว่านางสมพรโอนหุ้นให้หลานชายตามที่กล่าวอ้าง