เมื่ออ่านหนังสือ “สิทธิมนุษยชนสร้างสันติสุขหรือสลายสังคม” ของพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ปัจจุบันดำรงสมณศักดิ์ที่ “สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์” (ต่อไปนี้จะเรียก “ท่าน ป.อ.”) ทำให้เกิดคำถามสำคัญหลายประการ
แน่นอนว่าการตั้งคำถามและวิจารณ์ “เสรีภาพ” หรือ “สิทธิมนุษยชน” ย่อมเป็นเรื่องที่ทำได้ หรือควรจะทำเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าทางความคิด แต่ที่น่าคิดคือ ขณะที่ปราชญ์พุทธบ้านเรา ตั้งคำถามว่า “สิทธิมนุษยชนสร้างสันติสุขหรือสลายสังคม?” บนจุดยืนพุทธธรรม กลับไม่พบการตั้งคำถามบนจุดยืนเดียวกันว่า “เผด็จการสร้างสันติสุขหรือสลายสังคม?”
หรือเมื่อตั้งคำถามว่า “เสรีประชาธิปไตยเป็นระบบที่สร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่?” กลับไม่พบการตั้งคำถามว่า “ประชาธิปไตยแบบไทยสร้างประโยชน์สุขแก่ประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่?” บนจุดยืนพุทธธรรม
ยิ่งกว่านั้น เมื่อใช้ (apply) จุดยืน “พุทธธรรม” กับ “เผด็จการ” ปราชญ์พุทธบ้านเรากลับยืนยัน “เผด็จการโดยธรรม” ว่าเป็นระบบการเมืองเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนส่วนใหญ่ ที่สอดคล้องประชาธิปไตยแบบไทยหรือระบบพ่อปกครองลูกที่มีมาแต่สมัยสุโขทัย ดังเห็นได้ในแนวคิด “ธัมมิกสังคมนิยมเผด็จการโดยธรรม” ของพุทธทาสภิกขุ เป็นต้น
น่าสังเกตว่า ความคิดทางสังคมและการเมืองบนจุดยืนพุทธธรรมแพร่หลายมากเป็นพิเศษในช่วงกว่าสอง-สามทศวรรษที่ผ่านมา เฉพาะหนังสือ “สิทธิมนุษยชนสร้างสันติสุขหรือสลายสังคม” ที่ตีพิมพ์ครั้งที่ 7 ในปี 2546 โดยกรมองค์การระหว่างประเทศ กระทรวงการต่างประเทศ ตีพิมพ์จำนวนมากถึง 4,500 เล่ม นึกไม่ออกว่าจะมีงานวิชาการแนวเสรีนิยมที่สนับสนุนเสรีประชาธิปไตยและสิทธิมนุษยชนเล่มใดๆ เคยได้รับการตีพิมพ์ซ้ำหลายครั้งและจำนวนมากเทียบเท่ากับงานวิพากษ์สิทธิมนุษยชนและเสรีประชาธิปไตยบนจุดยืนพุทธธรรม ในบรรณพิภพทางวิชาการของสยามประเทศนี้
สาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้ของท่าน ป.อ. คือการวิเคราะห์ให้เห็นว่า ประวัติศาสตร์ของสิทธิมนุษยชนเป็นประวัติศาสตร์ของตะวันตก, เป็นประวัติศาสตร์ของการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อให้พ้นจากการกดขี่ในทางศาสนาและการเมือง, หลักสิทธิมนุษยชนเน้นสิทธิและเสรีภาพในเชิงลบ คือเน้นการป้องกันคนอื่นไม่ให้ละเมิดสิทธิและเสรีภาพของตนเอง, เมื่อเน้นการปกป้องสิทธิและเสรีภาพเชิงลบ ปัญหาที่ตามมาคือความขัดแย้ง ความแตกสลายทางสังคม เช่น ตัวอย่างสังคมอเมริกันที่เต็มไปด้วยปัญหาการฟ้องร้องเกี่ยวกับการถูกละเมิดสิทธิ การปกป้องสิทธิของปัจเจกบุคคล กระทั่งลูกฟ้องพ่อแม่ตัวเองเป็นต้น
ท่าน ป.อ.ใช้กรอบคิดเรื่อง “ทางสายกลาง” ชี้ให้เห็น “ความสุดโต่ง” ของสังคมสองแบบ (หน้า 13) ว่า
ในสังคมใดมนุษย์ไม่คำนึงถึงสิทธิของกันและกัน ปล่อยให้มีการละเมิดต่อชีวิต ต่อทรัพย์สิน มีการกีดกันแบ่งแยก ทำให้สังคมขาดอิสรเสรีภาพ สังคมนั้นยังเข้าไม่ถึงความมีอารยธรรม
ส่วนในสังคมใด มนุษย์บีบรัดตัวเองให้แคบลงด้วยการคอยระแวงในการที่จะปกป้องพิทักษ์สิทธิของตน จนกระทั่งแม้แต่พ่อแม่กับลูกก็อยู่กันด้วยท่าทีของการปกป้องและเรียกร้องสิทธิ สังคมนั้นชื่อว่าใกล้ถึงจุดอวสานของอารยธรรรม
คำถามคือ สังคมสุดโต่งสองแบบนี้ มีอยู่จริง หรือเป็น “การมองอย่างสุดโต่ง” เสียเอง การยกตัวอย่างสังคมตะวันตก โดยเฉพาะสังคมอเมริกันทำนองว่าสอดคล้องกับสังคมที่สุดโต่งแบบที่สอง เป็นการมองอย่างสุดโต่งหรือไม่ อะไรคือสิ่งที่เรียกว่า “สายกลาง” ในทัศนะท่าน ป.อ. เราอาจเห็นได้จากมุมมองที่ว่า (หน้า 18-19)
สำหรับชาวพุทธนั้น สิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่เราจะได้ประโยชน์ เพราะเป็นหลักการและข้อปฏิบัติที่ดี อย่างน้อยก็นำมาเปรียบเทียบกับศีล 5 จะถือว่าศีล 5 นั้น เป็นหลักประกันทางสังคมที่สำคัญ ถ้าหมู่มนุษย์ประพฤติอยู่ในศีล 5 ก็ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชน และถ้ามองให้ละเอียดลงไปก็จะเห็นว่า ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติที่แยกย่อยกระจายไปละเอียดเป็นข้อย่อยมากกมายนั้น ก็อยู่ในขอบเขตของศีล 5 นี่เอง...
ผมเน้นตัวหนาเพื่อให้เห็นชัดเจนว่า “ความสุดโต่ง” ไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงว่ามีสังคมสุดโต่งอยู่จริงตามนิยามของท่าน ป.อ. และไม่ได้อยู่ที่ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับตัวหลักสิทธิมนุษยชนและหลักศีล 5 แต่อยู่ที่ “ทัศนะ” หรือ “มุมมอง” ของท่าน ป.อ.นั่นเองที่เป็น “ทัศนะสุดโต่ง” หรือ “มุมมองสุดโต่ง” เสียเอง
เหตุผลแรก สังคมที่เน้นการปกป้องสิทธิ ไม่ใช่สังคมที่แต่ละคนเห็นแก่ตัวมุ่งแต่จะได้จะเอาแต่ประโยชน์ของตนเอง โดยไร้น้ำใจต่อคนอื่น หรือไม่คำนึงถึงสังคมเอาเสียเลย เพราะหลักการ “สิทธิ” อยู่บนพื้นฐานของการยืนยัน “ความเป็นคนเท่ากัน” ของตัวเราเองและทุกคน การปกป้องและเรียกร้องสิทธิใดๆ ของตนเองต้องอยู่บนพื้นฐานของการเคารพสิทธิของคนอื่นด้วยเสมอไป เราไม่อาจเรียกร้องสิทธิของตนเองโดยไม่เคารพหรือละเมิดสิทธิคนอื่นได้
การที่กฎหมายรับรองสิทธิในการฟ้องพ่อแม่ของตนเองได้ ก็ไม่ใช่การกำหนดให้พ่อแม่ลูกอยู่กันด้วยการเรียกร้องสิทธิจากกันและกันเท่านั้น แต่คือการวางหลักประกันว่าหากเกิดการละเมิดสิทธิกันขึ้น ก็ต้องมีทางแก้ไข คือมีกฎหมายเป็นทางออกของปัญหา
การมีกฎหมายเป็นทางออกของปัญหากรณีที่พ่อแม่ละเมิดสิทธิของลูก ไม่ใช่เงื่อนไขให้เราอยู่กันอย่างปราศจากความรักระหว่างพ่อแม่ลูก เพราะมนุษย์เรามารถที่จะมีทั้งความรักต่อกันและเคารพสิทธิกันและกันได้ ไม่ใช่ว่าการให้ความสำคัญกับสิทธิจะทำให้มนุษย์ไร้หัวใจ ตรงกันข้ามหากมองให้ลึก การคำนึงถึงสิทธิของกันและกันต่างหากที่แสดงถึงการมีหัวใจเคารพในความเป็นคนของกันและกันอย่างลึกซึ้ง และเป็นรากฐานของความรัก ความเอาใจใส่กันและกันในสัมพันธภาพแบบต่างๆ ของมนุษย์ อย่างที่พูดกันว่า พ่อแม่รักลูกก็ต้องเคารพเหตุผล ความต้องการ ความฝัน และความเป็นตัวของตัวเองของลูกด้วย หรือเมื่อเรารักใครสักคนก็ควรยอมรับตัวตนของอีกฝ่าย เคารพสิทธิ และอิสรภาพของกันและกัน เป็นต้น
โดยเฉพาะเมื่อพูดถึงหลักการพื้นฐานของสังคมเสรีประชาธิปไตยที่ถือว่า รัฐต้องรักษาสิทธิและเสรีภาพเป็น “กติกากลาง” ให้ปัจเจกบุคคลแต่ละคนสามารถเลือกคุณค่า ความเชื่อ ศาสนา ศีลธรรม ปรัชญาเกี่ยวกับการมีชีวิตที่ดีหรือความสุขในความหมายใดๆ ด้วยตนเอง ก็ไม่ได้แปลว่าหลักการพื้นฐานนี้จะสลายสังคมที่ดีงาม และสันติสุขแต่อย่างใด ยิ่งจะเป็นการดีด้วยซ้ำที่สังคมจะมีคุณค่า ความดีที่แตกต่างหลากหลายให้เลือกและแต่ละคนที่เลือกสิ่งแตกต่าง ก็อยู่ร่วมกันบนพื้นฐานของการเคารพสิทธิและเสรีภาพของกันและกัน หลักการที่ฟรีและแฟร์เช่นนี้ต่างหากที่จะลดความขัดแย้ง หรือเป็นแนวทางแก้ปัญหาความขัดแย้งต่างๆ ได้ดีกว่า
ทัศนะสุดโต่ง “ทางหลักการ” ที่เห็นได้ชัดของท่าน ป.อ.คือทัศนะที่ว่า ถ้าหมู่มนุษย์ประพฤติอยู่ในศีล 5 ก็ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งที่เรียกว่าสิทธิมนุษยชน และถ้ามองให้ละเอียดลงไปก็จะเห็นว่า ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนของสหประชาชาติที่แยกย่อยกระจายไปละเอียดเป็นข้อย่อยมากมายนั้น ก็อยู่ในขอบเขตของศีล 5 นี่เอง...” นี่คือการพยายาม “ตักมหาสมุทรใส่ถ้วยชา” เพราะหลักสิทธิมนุษยชนครอบคลุมกว้างขวางมาก ทั้งสิทธิการเลือกตั้ง สิทธิทางการเมือง สิทธิพลเมือง ความเท่าเทียมทางเพศ เสรีภาพทางศาสนา ฯลฯ ที่กรอบคิดของศีล 5 ไม่เคยครอบคลุมถึงทั้งในแง่ตัวหลักการและการใช้ศีล 5 จริงในทางประวัติศาสตร์ และแม้จะพยายามตีความศีล 5 ให้ “ขยายขอบเขต” อย่างไร ก็ไม่มีทางครอบคลุมหลักสิทธิมนุษยชนสากลได้ครบถ้วนเลย (ยกเว้นจะว่าเอาเอง) ท่าน ป.อ.ยังเสนอต่ออีกว่า (หน้า 19)
เป็นการดีที่ว่าถ้าศีล 5 และหลักธรรมเหล่านี้ (เช่นทิศ 6) ยังเป็นเพียงคำสอน การมีปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนก็มาหนุนโดย
1. เป็นการนำเอาคำสอนนั้นมากำหนดวางเป็นกติกาทางสังคมให้ชัดเจนลงไป ที่จะต้องปฏิบัติให้จริงจัง โดยมีมาตรฐานในการที่จะควบคุมดูแล จึงยิ่งดีใหญ่ เป็นการสนับสนุนให้ศีล 5 มีผลจริงขึ้นมาในสังคม นอกจากวางเป็นกฎเกณฑ์ให้มีผลจริงจังชัดเจนแล้ว
2. ยังมีการแยกแยะรายละเอียดลงไปให้เห็นชัดในรายละเอียดมากยิ่งขึ้น เช่น ศีลข้อที่ 1 ในเรื่องการไม่ละเมิดต่อชีวิตและร่างกาย หรือข้อที่ 2 ในเรื่องไม่ละเมิดในด้านทรัพย์สิน ก็กำหนดลงไปว่าจะเอาอย่างไร จึงมีข้อย่อย ซึ่งอาจจะแยกจากศีลข้อเดียวกระจายออกไปเป็น 4-5 ข้อ และพูดให้ชัด ให้เหมาะแก่การปฏิบัติในยุคสมัย
เป็นอันว่า เมื่อตักมหาสมุดใส่ถ้วยชาคือ สรุปรวบยอดว่าหลักสิทธิมนุษยชนสากลอยู่ใน “ขอบเขตของศีล 5” ก็นำมาสู่ข้อเสนอให้นำศีล 5 มากำหนดวางเป็นกติกาของสังคม ซึ่งตามหลักสิทธิมนุษยชนสากลแล้ว ไม่อาจนำหลักความเชื่อของศาสนาใดๆ มาอ้างอิงบัญญัติกฎหมายให้คนทุกศาสนาและคนไม่มีศาสนาปฏิบัติตามได้ เพราะไม่ยุติธรรมกับคนศาสนาอื่นๆ และคนไม่มีศาสนา
หรือถ้าอ้างว่าควรตีความหลักศีลห้าให้สอดคล้องและส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชน ก็ย่อมแปลว่าศีล 5 เป็นเพียงสิ่งที่จะสามารถนำมาใช้เป็นกติกาทางสังคมได้ ก็ต่อเมื่อถูกตีความหรือปรับให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้สิทธิมนุษยชนจึงไม่ได้อยู่ขอบเขตของศีล 5 แต่ศีล 5 ต่างหากที่ถูกปรับให้เข้ากันได้ หรือให้อยู่ในขอบเขตของสิทธิมนุษยชน
ยิ่งกว่านั้น ขณะที่ท่าน ป.อ.เน้นว่า “สิทธิมนุษยชนเป็นจริยธรรมเชิงลบ” พร้อมๆ กับบอกว่าสิทธิมนุษยชนอยู่ในขอบเขตของศีล 5 ถ้าปฏิบัติอยู่ในศีล 5 สิทธิมนุษยชนสากลก็ไม่จำเป็น แต่อันที่จริงแล้ว ศีล 5 ต่างหากที่เป็นจริยธรรมเชิงลบ เพราะศีล 5 คือการ “ไม่ทำ” ในทางละเมิด 5 เรื่องหลักๆ ดังที่เราท่องกันขึ้นใจ
ขณะที่หลักสิทธิมนุษยชนครอบคลุมทั้งสิทธิเสรีภาพเชิงลบ และสิทธิเสรีภาพเชิงบวก เช่น สิทธิเลือกตั้ง สิทธิพลเมือง เสรีภาพทางการเมืองส่วนที่รองรับการริเริ่มและการมีส่วนร่วมของประชาชนในการเลือกตัวแทน นโยบาย และเสนอความคิดเห็น ความรู้ แนวทางต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงและปรับปรุงระบบสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และอื่นๆ ให้ดีขึ้น ยุติธรรมขึ้น หรือก้าวหน้าขึ้นเป็นต้น ซึ่งหลักศีล 5 ทิศ 6 ที่ท่าน ป.อ.อ้างถึง หรือแม้แต่พุทธธรรมทั้งระบบก็ไม่อาจครอบคลุมถึง
ที่มาภาพ: www.matichon.co.th
ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)