Skip to main content
sharethis

ก.แรงงาน ย้ำสิทธิประโยชน์แรงงานประมงจาก พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงานในงานประมง

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน (หม่อมเต่า) เปิดเผยถึงประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่องหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข การจัดสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพและสวัสดิการแก่แรงงานประมง พ.ศ. 2562 ซึ่งมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 18 พ.ย. 2562 ว่าพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงานในงานประมงดังกล่าว มีสาระสำคัญให้เจ้าของเรือจัดให้แรงงานประมงได้รับสิทธิประโยชน์ด้านสุขภาพและสวัสดิการอันมิใช่เนื่องจาการทำงานแก่แรงงานประมง ได้แก่ 1.การคุ้มครองด้านสุขภาพอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน เจ้าของเรือต้องจัดให้มีการคุ้มครองด้านสุขภาพ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุขเรื่องการตรวจสุขภาพและประกันสุขภาพแรงงานต่างด้าว 2.เงินทดแทนการขาดรายได้จากการเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย โดยให้เจ้าของเรือจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ ในอัตราร้อยละห้าสิบของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานกำหนด สำหรับแรงงานประมงต้องหยุดงานเพื่อการรักษาพยาบาลตามคำสั่งแพทย์ ในระยะเวลาหนึ่งปีปฏิทิน ต้องไม่เกิน 180 วัน

รมว.แรงงาน กล่าวต่อวาา 3.จัดให้มีสิทธิประโยชน์เงินทดแทนกรณีแรงงานประมงทุพพลภาพ สูญเสียอวัยวะหรือสูญเสียสมรรถภาพของอวัยวะหรือร่างกาย หรือสูญเสียสภาวะปกติของจิตใจอันมิใช่เนื่องจากการทำงาน จนทำให้ความสามารถในการทำงานลดลง ไม่อาจประกอบการงานตามปกติได้ ให้เจ้าของเรือจ่ายเงินทดแทนการขาดรายได้ในอัตราร้อยละ 30 ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวัน ตามกฎหมายว่าด้วยความคุ้มครองแรงงานกำหนดคูณด้วย 30 วัน เป็นระยะเวลา 180 เดือน 4.กรณีแรงงานประมงเสียชีวิต อันมิใช่เนื่องจากการทำงาน ให้เจ้าของเรือจ่ายเงินค่าทำศพ เป็นจำนวนเงิน 40,000 บาท ให้กับผู้จัดการศพแรงงานประมง รวมทั้งเงินสงเคราะห์ในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราสูงสุดของค่าจ้างขั้นต่ำรายวันตามกฎหมายว่าด้วยความคุ้มครองแรงงานกำหนดคูณด้วย 30 วันเป็นระยะเวลา 12 เดือน ให้กับบุคคลที่แรงงานประมงทำหนังสือระบุให้เป็นผู้มีสิทธิ ถ้ามิได้มีหนังสือระบุให้นำมาเฉลี่ยจ่ายให้แก่ทายาทตามกฎหมายในจำนวนที่เท่ากัน อย่างไรก็ดีกระทรวงแรงงาน มีความมุ่งมั่นพัฒนาสวัสดิการและสิทธิประโยชน์เพื่อผู้ใช้แรงงานทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมกัน เพื่อได้รับความคุ้มครองอย่างครอบคลุมในทุกมิติ

ที่มา: สยามรัฐ, 10/1/2563

จัดหางานและแรงงานจังหวัดออกเยี่ยม 10 บ้านแรงงานอุดรในอิหร่าน เพื่อสอบถามความเป็นอยู่หากต้องการกลับประเทศไทย

9 ม.ค. 2563 นายสมหมาย สิงห์น้อย นักวิชาการแรงงานชำนาญ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี พร้อมเจ้าหน้าที่จาก สนง.แรงงาน จ.อุดรธานี , สนง.ประกันสังคม จ.อุดรธานี เดินทางเยี่ยมครอบครัวแรงงาน ที่เดินทางไปทำงานประเทศอิหร่าน ที่สำรวจพบว่ามี 11 ราย เป็นหญิง 2 ชาย 9 ใน อ.เมือง , เพ็ญ , บ้านผือ , สร้างคอม , หนองหาน และบ้านดุง เพื่อสอบถามแจ้งให้ทราบ และแนะนำกระบวนการ ให้ความช่วยเหลือของรัฐบาลไทย

รายแรกที่บ้านเลขที่ 112 ม.4 บ.ดงปอ ต.สุมเส้า อ.เพ็ญ ได้พบกับนายอภิลักษณ์ บัวทอง อายุ 34 ปี แรงงานที่ระบุว่ายังคงทำงาน ในเรือประมงที่ประเทศอิหร่าน แต่เจ้าตัวยืนยันว่ากลับมา 1 ปีแล้ว โดยยังไม่ได้ไปแจ้งเดินทางกลับ เพราะจะไม่เดินทางไปต่างประเทศอีก หลังจากทำงานช่างเชื่อมในเรือประมงมานานกว่า 10 ปี กับเถ้าแก่ที่ จ.ชลบุรี ครั้งแรกไปทำงานเรือที่อินโดนีเซีย 9 ปี ได้เงินมา 7 แสนบาท ครั้งที่สองไปที่อิหร่านได้ 4 เดือน นายจ้างจะให้ไปโซมาเรีย แต่เพราะปิดน่านน้ำ จึงตัดสินใจกลับบ้าน

“เถ้าแก่จะไปร่วมลงทุนกับพื้นที่ ออกจับปลาในน่านน้ำต่างประเทศ มีใบอนุญาตถูกกฎหมาย ออกทะเลครั้งละหลายวันจนได้ปลาเต็มลำ เอาปลากลับเข้าฝั่งมาลงเรือคอนเทเนอร์ ส่งปลากลับประเทศไทย แต่ละปีจะมีเวลาพัก 1 เดือน เงินที่ได้มานำมากินเที่ยว ตามประสาคนหนุ่ม ใช้จ่ายในครอบครัว เมื่อมีภรรยาเป็นชาวสุรินทร์ ซึ่งมีลูกด้วยกัน 1 คน ขณะนี้เลิกร้างกันไปแล้ว ลูกก็อยู่กับอดีตภรรยา ช่วงนี้กลับมาพักยาว ยังไม่คิดจะเดินทางไปอีก”

รายที่สองที่เลขที่ 50 ม.4 บ.ดงปอ ต.สุมเส้า อ.เพ็ญ พบกับนางมนฤดี สุวรรณบุตร อายุ 40 ปี ภรรยานายสุทัด สุวรรณบุตร อายุ 53 ปี ที่ขณะนี้ทำงานเรือประมงในประเทศอิหร่าน เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ก็ทำไร่ ไถนา ทำสวน มีบุตรชาย 3 คน คนโตเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ 13 ปีก่อนสมัครไปทำงานที่ประเทศจอร์แดน เสียค่านายหน้า 270,000 บาท ถูกหลอกไปลอยแพอยู่ 4 เดือน กลับมาต้องขายที่นา 10 ไร่ ขณะลูกชายคนโตก็มาประสบอุบัติเหตุเสียชีวิต

“เพื่อนสามีชวนไปทำงานประมง กับเถ้าแก่เรือที่ จ.ชลบุรี เดินทางไปแบบถูกกฎหมาย ได้เงินเดือน 17,000 บาท บวกกับเปอร์เซนต์ปลาที่จับได้ ที่ผ่านมาการเงินไม่มีปัญหา ปีแรกกลับมาพักเดือนธันวาคม ปี 61 เดินทางกลับไปอีกเดือนมกราคม ปี 63 โดยช่วงพักเถ้าแก่ก็มีเยี่ยมที่บ้าน และปีนี้มีกำหนดพักเดือนกุมภาพันธ์นี้ ขณะนี้สามีอยู่บนเรือประมง ออกจากท่าเรือไปได้ 10 วัน ไม่สามารถติดต่อได้ และยังไม่มีกำหนดกลับเข้าฝั่ง”

นางมนฤดี เล่าต่อว่า ก่อนหน้านี้ได้โทรคุยกับสามี เขาเล่าว่ามีเจ้าหน้าที่จากสถานฑูต และเจ้าหน้าที่ของไทยมาเยี่ยม ให้ความมั่นใจกับแรงงาน พร้อมนัดแนะการติดต่อหากมีปัญหา หรือเรื่องฉุกเฉิน ตอนมีข่าวว่าเขายิงจรวดใส่กัน ลูกมาบอกว่าเขารบกันแล้ว ติดต่อพ่อดูหน่อยว่าเป็นยังไงบ้าง ก็ติดต่อไม่ได้เพราะอยู่ในทะเล ก็ติดตามข่าวตลอด ดีใจที่ทางราชการมาเยี่ยม ทำให้เราอุ่นใจมากขึ้น

รายที่สามที่บ้านเลขที่ 72 ม.2 บ้านสร้างหลวง ต.เชียงหวาง อ.เพ็ญ พบกับ น.ส.ปราณี สระอุบล อายุ 42 ปี น้องสาวแม่ น.ส.สไบทิพย์ ชนไธสงค์ อายุ 23 ปี แรงงานนวดแผนไทย ในประเทศอิหร่าน เปิดเผยว่า แม่ น.ส.สไบทิพย์ ทำงานนวดแผนโบราณใน กทม. ทำให้เธอมีประสบการณ์ และไปเรียนเพิ่มเติมจนเก่ง ได้รับเลือกไปทำงานที่อิหร่าน ไม่รู้ว่าชื่ออะไรเมืองไหน อยู่กับแรงงานชาย-หญิงไทย 30 คน ส่งให้แม่เดือนละ 30,000 บาท

“หลานไปทำงาน 1 ปี กลับมาพัก 1 เดือน ก่อนกลับมาคุยกันทางแชร์เฟซบุ๊ก สัญญาณขาดหายติดต่อไม่ได้ พอกลับมาเมืองไทยเล่าให้ฟังว่า เขาตัดสายเพราะมีเหตุยิงกัน เดินทางไปอีกครั้งเมื่อ 13 ธันวาคมที่ผ่านมา พอเกิดเหตุยิงจรวดใส่กันก็เป็นห่วง ติดต่อกลับไปหลานบอกว่าไม่เป็นอะไร และเมื่อวานติดต่อกลับมาถาม ว่ามีเจ้าหน้าที่โทรมาหาหรือไม่ เพราะเพื่อนอยู่ด้วยกันบอก ที่บ้านเขามี จนท.โทรไป ไม่ต้องห่วงปลอดภัยดี และเมื่อ จนท.มาถึงบ้านก็รู้สึกสบายใจ ถ้าเหตุไม่รุนแรงก็ทำงานต่อ หากรุนแรงก็อยากให้กลับ

นายสมหมาย สิงห์น้อย นักวิชาการแรงงานชำนาญ สนง.จัดหางาน จ.อุดรธานี ชี้แจงว่า มีรายชื่อแรงงานในประเทศอิหร่าน มีภูมิลำเนาในอุดรธานี 11 ราย ได้ลงพื้นที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเยี่ยมครอบครัวของแรงงานเหล่านั้น สอบถามความเป็นอยู่แรงงานในอิหร่าน และแจ้งให้รับรู้ถึงขั้นตอน การเข้าไปดูแลของสถานทูต และหน่วยงานไทยที่นั่น ว่าได้เข้าไปพบพูดคุยแรงงาน ทบทวนความพร้อมในการช่วยเหลือ ขั้นตอนในการปฏิบัติตัวเอง หากเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น โดยจะเดินทางไปพบทุกราย วันนี้พบว่ามีอยู่ 1 รายกลับมาแล้ว แต่ไม่ได้แจ้งการกลับมา

ที่มา: คมชัดลึก, 10/1/2563 

รัฐบาลเดินหน้าแผนผู้สูงอายุ รองรับสังคมผู้สูงอายุแบบสมบูรณ์ปีหน้า

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2563 นายจุรินทร์ ลักษณะวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ ที่ประชุมเห็นชอบการปรับปรุงเป็นแผนการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวให้ครอบคลุมจำนวนผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิงมากขึ้น และเป็นการบูรณาการงานในหลายด้าน คือ ด้านสุขภาพ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม มีเป้าหมายให้ผู้สูงอายุได้รับการตรวจ ป้องกัน และดูแลสุขภาพระยะยาวที่บ้านและในชุมชนตามระดับความจำเป็น สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรี มีระบบการเงินการคลังที่ยั่งยืนในการดูแลผู้สูงอายุที่มีภาวะพึ่งพิง

นางสาวรัชดา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2564 ประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ คือมีผู้สูงอายุเกิน 20% ของประชากร คิดเป็นจำนวน 13 ล้านคน และจะเพิ่มเป็น 28% ในปี 2574 ดังนั้นการเตรียมความพร้อมของสังคมในกลุ่มผู้ก่อนถึงวัยสูงอายุ (25-59 ปี) จึงเป็นเรื่องที่ต้องทำควบคู่ไปด้วยกันโดยเน้นเรื่องการออม การไม่มองผู้สูงอายุเป็นภาระ วิธีการดูแลผู้สูงอายุ และการปรับสิ่งแวดล้อมให้สอดคล้องกับสภาพผู้สูงอายุ ทั้งนี้รัฐบาลได้ขับเคลื่อนโครงการตามแผนปฏิบัติการผู้สูงอายุแห่งชาติ ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อนวัยสูงอายุและกลุ่มผู้สูงอายุ มีโครงการ อาทิ โครงการอาสาสมัครดูแลผู้สูงอายุ โครงการส่งเสริมการออมพร้อมสู่สูงวัย โครงการสร้างทัศนคติที่ดีต่อผู้สูงอายุ โครงการส่งเสริมความรู้และเข้าถึงดิจิทัลในกลุ่มผู้สูงอายุ โครงการ”โรงเรียนผู้สูงอายุ” โครงการบริหารจัดการแรงงานนอกระบบ แรงงานสูงอายุ และแรงงานผู้พิการ ซึ่งในเรื่องการส่งเสริมให้ผู้สูงอายุมีงานทำและรายได้ เป็นเรื่องที่รองนายกฯจุรินทร์ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก และกำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้ออกแบบเนื้อหาหลักสูตรที่จะสอนผู้สูงอายุให้สอดคล้องกับยุคสมัยและสามารถนำไปสร้างรายได้ๆ จริง

ที่มา: กลุ่มประชาสัมพันธ์และเผยแพร่ สำนักโฆษก, 9/1/2563 

กสร. แนะนายจ้างจัดอุปกรณ์ป้องกันสารมลพิษทางอากาศให้ลูกจ้าง ในพื้นที่ตรวจพบค่าฝุ่นพิษ PM2.5 เกินมาตรฐาน

9 ม.ค. 2563 นายอภิญญา สุจริตตานันท์ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) กล่าวว่า จากรายงาน การตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 72 สถานี ทั้งของกรมควบคุมมลพิษ และกรุงเทพมหานคร พบว่าสารมลพิษทางอากาศที่ตรวจพบเกินมาตรฐานได้แก่ ฝุ่นละออง ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน (PM2.5) ตรวจพบค่าระหว่าง 39-71 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

โดยในเขตกรุงเทพมหานครมีฝุ่นพิษปกคลุมกระทบ 33 พื้นที่ อาทิ เขตบางขุนเทียน เขตบางนา เขตปทุมวัน เขตธนบุรี เขตวังทองหลาง เป็นต้น และในเขตปริมณฑลอีก 8 พื้นที่ อาทิ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร เป็นต้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะกลุ่มลูกจ้างผู้ใช้แรงงานที่ต้องปฏิบัติงานภายนอกอาคารเป็นเวลานาน ๆ เช่น ลูกจ้างในงานก่อสร้าง งานในที่โล่งแจ้ง ลูกจ้างที่ต้องขับขี่ยานพาหนะ จึงขอแนะนำให้นายจ้างและผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว รวมถึงให้การคุ้มครอง ดูแลลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงต่อการสูดดมฝุ่นละออง เพื่อป้องกันมิให้ เกิดอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของลูกจ้าง โดยจัดหน้ากากที่กรองฝุ่นละอองขนาดเล็กได้ให้ลูกจ้าง และกำชับให้สวมใส่ตลอดระยะเวลาที่ปฏิบัติงานรวมถึงระหว่างการเดินทางไปกลับจากที่พัก และที่ทำงานด้วย เพื่อความปลอดภัยในการทำงานและสุขภาพอนามัยที่ดีของลูกจ้างเอง

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 9/1/2563 

ประสานนายจ้างในอิหร่าน-อิรัก เตรียมอพยพคนงานหากจำเป็น

ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รมว.แรงงาน เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิรัก และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน ลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมแรงงานไทย และประสานกับนายจ้างที่มีการจ้างแรงงานไทย ให้ทราบสถานการณ์ เพื่อสำรวจข้อมูลความต้องการช่วยเหลือของแรงงาน รวมทั้งให้รวบรวมข้อมูลสถานที่ทำงาน ช่องทางการติดต่อทางการกรณีได้รับผลกระทบ และเตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกแรงงานไทยและคนไทย ในการอพยพหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

น.ส.โสพิศ หมัดป้องตัว อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งรับผิดชอบดูแลประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ การ์ตา โอมาน และอิหร่าน ได้ประสานงานกับผู้จัดการบริษัทที่นำเข้าแรงงานไทยไปทำงานในกิจการประมงทะเล ที่เมืองบันดาร์อับบาส ประเทศอิหร่าน เกี่ยวกับความห่วงใยที่กระทรวงแรงงานและรัฐบาลไทยมีต่อแรงงานไทย

ซึ่งนายเมอร์ด้า เอชรา ผู้บริหารบริษัท ดาร์ยาคาร์ซูลู จำกัด ธุรกิจเรือประมงได้ตระหนักและห่วงใยสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยจะเข้าหารือกับเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในเตหะราน เรื่องส่งคนงานไทยกลับประเทศกรณีที่มีเหตุการณ์รุนแรงขึ้น

นอกจากนี้ยังประสานไปยังร้านนิโรฟา ร้านนวดไทยในกรุงเตหะราน พบว่า มีแรงงานไทย 33 คน โดยติดต่อกับนายสรธัญ บูรณวิจารณ์ อดีตหัวหน้าแรงงานไทย แจ้งว่า สถานทูตให้ใช้ช่องทางติดต่อทางการ 2 ช่องทาง ได้แก่ ทางแอพลิเคชั่นไลน์กลุ่มชุมชนไทยในอิหร่าน แรงงานไทยจึงมีช่องทางการรับข้อมูลข่าวสารจากทาง สถานทูตตลอดเวลา รวมทั้งติดตามข่าวสารจากคนไทยและลูกค้าที่มาใช้บริการ

ขณะที่ น.ต.วิทวัส กู้ประเสริฐ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) แจ้งว่า ได้ประสานไปยังสถานประกอบการด้านที่พัก โรงแรม ร้านอาหาร ธุรกิจสปา และสถานประกอบการอื่นๆ ที่มีแรงงานไทย อาทิ Amazing Spirit, 300Spa, Nobel hotel, Capitol hotel ซึ่งอยู่ที่เมืองเอบิล เมืองหลวงของเคิดร์ ในเขตปกครองพิเศษเคอร์ดิสถาน ทางตอนเหนือของอิรัก เป็นต้น เพื่อตรวจเยี่ยมแรงงานไทยและประสานกับนายจ้างให้ได้รับทราบถึงสถานการณ์ รวมทั้งสำรวจความต้องการช่วยเหลือกรณีเหตุการณ์รุนแรง

ที่มา: ThaiPBS, 8/1/2563 

สรส.จี้แก้ปัญหา 'พนักงานจ้างเหมาหน่วยงานรัฐ' ได้ค่าจ้างน้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ

8 ม.ค. 2563 นายสาวิทย์ แก้วหวาน เลขาธิการสมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (สรส.) กล่าวในงานแถลงข่าว "ทางออกประเทศไทย : จากกรณีถูกตัดสิทธิพิเศษทางการค้า GSP จากการละเมิดสิทธิแรงงานในประเทศไทย" ณ สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย (FCCT) ย่านชิดลม กรุงเทพฯ ถึงปัญหาพนักงานจ้างเหมาในหน่วยงานของรัฐ ซึ่งใช้เงินนอกงบประมาณแผ่นดิน

โดยระบุว่าคนกลุ่มนี้มีประมาณ 2 ล้านคนทั่วประเทศ แต่กลับไม่ได้รับความคุ้มครองใดๆ เนื่องจากกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานภาครัฐไม่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแรงงาน อาทิ มีการกำหนดค่าจ้างไว้น้อยกว่าค่าแรงขั้นต่ำ ทั้งที่ค่าแรงขั้นต่ำเป็นมาตรฐานที่ไม่ควรมีแรงงานคนใดได้น้อยกว่านี้แล้ว คำถามคือคนกลุ่มนี้จะใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างไร ที่ผ่านมาในทุกเวทีตนจะพูดถึงเรื่องนี้เสมอ โดยหวังว่าสักวันหนึ่งจะนำไปสู่กระบวนการแก้ไข

ที่มา: แนวหน้า, 8/1/2563 

เจรจานายจ้างดูแลความปลอดภัยแรงงานไทยในอิหร่าน

นางสาวโสพิศ หมัดป้องตัว อัครราชทูตที่ปรึกษา ฝ่ายแรงงาน ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ รับผิดชอบดูแลแรงงานไทย ที่ไปทำงานในประเทศอิหร่าน ได้ประสานงานกับผู้จัดการบริษัทที่นำเข้าแรงงานไทยไปทำงานประมงทะเล ที่เมืองบันดาร์อับบาส ประเทศอิหร่าน เกี่ยวกับความห่วงใยที่กระทรวงแรงงาน และรัฐบาลไทยมีต่อแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน จากสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างอิหร่าน และสหรัฐอเมริกา

ทูตแรงงาน เตรียมเข้าหารือกับเจ้าหน้าที่สถานทูตไทยในกรุงเตหะรานเกี่ยวกับสถานการณ์และหากจำเป็นจะต้องมีการเคลื่อนย้ายแรงงานไทย ในกรณีที่มีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นที่จำเป็นต้องอพยพแรงงาน ก็จะได้ติดต่อกับ key person ที่จะรวบรวมแรงงานไทย ไปอยู่ในจุดรวมพล เตรียมออกเดินทางไปยังสถานที่ปลอดภัย หรือ Safe Zone ที่ได้มีการสำรวจเส้นทางไว้ก่อนหน้านี้แล้ว โดยยึดการคุ้มครองความปลอดภัยให้แรงงานไทยเป็นสำคัญ

ขอให้ญาติพี่น้องแรงงานไทย อย่าได้วิตกกังวลกับสถานการณ์ และขณะนี้แรงงานไทยที่ไปทำงานอยู่ในอิหร่านกว่า 300 คน ก็ไม่ได้ตื่นตระหนก กับเหตุการณ์ความตึงเครียด โดยทุกคนไม่ว่าจะทำงานอยู่ในกรุงเตหะราน ทำงาน นวดสปา ร้านอาหาร หรือ เกาะพีซ หรือแรงงานประมงกลุ่มใหญ่ ในเมืองบันดาร์อับบาส ประเทศอิหร่าน สามารถติดต่อกับสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี ได้ตลอดเวลา และได้มีการประกาศแจ้งข่าว แจ้งเตือนกันเป็นระยะๆ ขณะนี้ยังไม่ได้มีสัญญาณอันตรายใดๆ และแรงงานอยู่ในความดูแลของนายจ้าง ที่จะต้องดูแลความปลอดภัยในการทำงานเป็นสำคัญ

ที่มา: ch7.com, 8/1/2563 

กระทรวงแรงงานดึงปั๊ม ปตท. ร่วมเป็นเครือข่ายต่อต้านการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ

กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน กระทรวงแรงงาน จับมือบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ โออาร์ ดึงสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น กว่า 1,800 แห่งทั่วประเทศ ร่วมเป็นเครือข่ายต่อต้านการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ หวังให้เด็กก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้ทำงานอย่างมีคุณค่าและมีคุณภาพชีวิตที่ดี มอบเป็นของขวัญในโอกาสวันเด็กแห่งชาติ ประจำปี 2563

พลโท นันทเดช เมฆสวัสดิ์ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าว "พีทีที สเตชั่น ร่วมมือเป็นเครือข่ายต่อต้านการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายกับกระทรวงแรงงาน" ว่ากิจกรรมนี้เริ่มต้นจากการที่รัฐบาล โดยกระทรวงแรงงาน ได้ให้ความสำคัญกับการคุ้มครองดูแล เพื่อให้เด็กที่ก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้รับการจ้างงานที่เป็นธรรม

มีสภาพการทำงานที่ปลอดภัย รวมทั้งได้มีโอกาสในการพัฒนาทักษะ ประสบการณ์ในการทำงานอย่างเหมาะสมตามช่วงวัย ผ่านการสร้างความรู้ ความเข้าใจแก่ผู้เกี่ยวข้อง และการตรวจแรงงานเพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้น

รวมถึงการปรับปรุงแก้ไขกฎหมายด้วยการเพิ่มโทษสำหรับความผิดเกี่ยวกับการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายให้สูงขึ้น เพื่อป้องปรามการใช้แรงงานอย่างไม่เป็นธรรม ตลอดจนสร้างกลไกการมีส่วนร่วมระหว่างเอกชนและหน่วยงานในสังกัดกระทรวงแรงงานเพื่อให้เกิดผลการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม

ทั้งนี้ บริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) ซึ่งประกอบกิจการสถานีบริการน้ำมันภายใต้ชื่อ พีทีที สเตชั่น ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในเรื่องดังกล่าว และได้แสดงเจตจำนงในการต่อต้านการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายในทุกรูปแบบร่วมกับกระทรวงแรงงาน

โดยมีเป้าหมายในจ้างแรงงานเด็กที่เข้ามาทำงานกับบริษัทอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และร่วมเป็นเครือข่ายในการรณรงค์ ส่งเสริมการต่อต้านการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายในทุกรูปแบบ โดยใช้ช่องทางสถานีบริการน้ำมัน พีทีที สเตชั่น ที่อยู่ในความดูแลกว่า 1,800 แห่งทั่วประเทศ สร้างความตระหนักให้กับพนักงาน คู่ค้า ตลอดจนผู้ใช้บริการ ภาคประชาสังคมได้ร่วมแรงร่วมใจในการต่อต้านการใช้แรงงานเด็กผิดกฎหมายทุกรูปแบบ

ที่มา: คมชัดลึก, 7/1/2563 

ตร.เผยสถิติค้ามนุษย์ปี 2562 คดีบังคับใช้แรงงานพุ่ง แต่ค้าประเวณีลดลง

7 ม.ค. 2563 พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ รองโฆษก ตร. เปิดเผยถึง ผลการ ปฏิบัติงานด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตามนโยบายของรัฐบาล วาระแห่งชาติในการต่อต้านการค้ามนุษย์ประจำปี 2562 ว่าพล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ประกาศให้นโยบาย“การต่อต้านการค้ามนุษย์” เป็นวาระแห่งชาติ เมื่อวันที่ 3 เม.ย.2558 โดยมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) เพื่อขับเคลื่อนนโยบาย ซึ่งมอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติโดย ผบ.ตร. เป็นผู้รับผิดชอบหลักในด้านการดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมาย มีอำนาจหน้าที่ในการขับเคลื่อนและจัดทำรายงาน ด้านการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ตามมาตรา 40 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551

พล.ต.อ. จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.ได้ดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลฯ โดย จัดตั้งศูนย์พิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศพดส.ตร.) โดยมอบหมายให้ พล.ต.ท.จารุวัฒน์ ไวศยะ ผู้ช่วย ผบ.ตร. เป็นผู้อำนวยการศูนย์โดยมีอำนาจหน้าที่ในการควบคุมกำกับดูแล และกำหนดแผน มาตรการ วางระบบการข่าว และระบบฐานข้อมูลในงานพิทักษ์เด็ก สตรี ครอบครัว และป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ โดยมีการบูรณาการการทำงานกับทุกหน่วยงาน สามารถสรุปผลการดำเนินงานในการต่อต้านการค้ามนุษย์ในปี 2562 ได้ ดังนี้

สถิติการดำเนินคดีค้ามนุษย์ ปี 2562 ดำเนินคดีไปแล้ว 286 คดี มีจำนวนผู้กระทำความผิด 552 คน จำนวนผู้เสียหายหรือเหยื่อ 1,818 คน ซึ่งสถิติการกระทําความผิดฐานค้ามนุษย์ในรูปแบบการค้าประเวณีซึ่งเป็นรูปแบบส่วนใหญ่ของการค้ามนุษย์ในประเทศไทยลดลง จาก 251 คดี ในปี 2561 เป็น 157 คดี ในปี 2562 เนื่องจากการทํางานแบบ บูรณาการระหว่างหน่วยงานบังคับใช้กฎหมาย NGO และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆทั้งในขั้นตอนการสืบสวน ดําเนินคดีและการคุ้มครองผู้เสียหายนอกจากนี้ยังได้รณรงค์สร้างความตระหนักรู้ให้กับกลุ่มเสี่ยงเพื่อป้องกัน การตกเป็นเหยื่อในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์ทางเพศโดยการจัดกิจกรรมในโรงเรียนเป้าหมายทั่วประเทศ และร่วมกับภาคเอกชนในการจัดประกวดภาพยนตร์สั้นเพื่อให้ความรู้และเตือนภัยเยาวชนจากการใช้อินเตอร์เน็ต

ส่วนสถิติการกระทําความผิดฐานการค้ามนุษย์ในรูปแบบการแสวงหาประโยชน์จากการบังคับใช้ แรงงานการเอาคนลงเป็นทาสและการขูดรีด เพิ่มสูงขึ้นจาก 32 คดีใน ปี 2561 เป็น 89 คดีในปี 2562 เนื่องจากมีมาตรการสืบสวน จับกุม ดําเนินคดีอย่างจริงจังกับขบวนการลักลอบขนแรงงานต่างด้าวไปแสวงหา ประโยชน์ในประเทศที่สาม แม้จะมีความยากในการรวบรวมพยานหลักฐาน เนื่องจากข้อมูลมีความเกี่ยวข้องกับ ประเทศต้นทางและประเทศปลายทาง แต่บางคดีสามารถรวบรวมพยานหลักฐาน สืบสวน ขยายผลให้เป็น ความผิดฐานค้ามนุษย์ ส่งผลให้ ประเทศไทยได้รับการปลดสถานะใบเหลืองของภาคประมงจาก EUอันเป็นผลมาจากการที่ สามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาการทําประมงผิดกฎหมายได้ รวมถึงการลดปัญหาการค้ามนุษย์ในรูปแบบการ บังคับใช้แรงงานภาคประมงได้สําเร็จ ด้วยมาตรการการดําเนินคดีกับผู้กระทําผิดด้านการบังคับใช้แรงงานภาค ประมงแบบครบวงจร ตั้งแต่ท่าเทียบเรือ แพปลา และการตรวจจับทางทะเล

โดยนำรูปแบบการทํางานแบบ Inter-AgencyTaskforce ที่เป็นการบูรณาการรรวมกันระหว่าง หน่วยงานภาครัฐ ตํารวจ อัยการ และองค์กรภาคเอกชน มาปรับใช้อย่างจริงจังในการสืบสวน สอบสวนเพื่อ ดําเนินคดีกับผู้ต้องหา การคุ้มครองเหยื่อ และการสร้างความตระหนักรู้ให้กับกลุ่มเสี่ยงทําให้การป้องกัน ปราบปรามการค้ามนุษย์มีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับใช้มาตรการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์อย่างต่อเนื่องและจริงจัง ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยมาตรการทางการบริหารในการป้องกันเจ้าหน้าที่ของรัฐมิให้เกี่ยวข้อง กับการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2558 ตามนโยบายของรัฐบาลทําให้จํานวนเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ ลดลงอย่างชัดเจน พร้อมนำแนวคิดการนำผู้เสียหายเป็นศูนย์กลาง (Victim Centric Approach) มาปรับใน ทุกขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการพิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายมากขึ้น อาทิเช่น สํานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินเสนอแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการยึดทรัพย์จาก ผู้กระทําผิดในคดีค้ามนุษย์โดยขอให้สามารถนําทรัพย์นั้นมาชดเชยเยียวยาและใช้เป็นสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายได้ กระบวนการพิจารณาของศาลมีการสืบพยานล่วงหน้ามากขึ้นและพยายามที่จะให้พยานเผชิญหน้า กับจําเลยให้น้อยที่สุด นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขกฎหมายประมวลวิธีพิจารณาความอาญา เพื่อป้องกันไม่ให้ ผู้เสียหายหรือผู้ให้ความช่วยเหลือผู้เสียหายถูกฟ้องเพื่อกลั่นแกล้งหรือข่มขู่

รอง โฆษก ตร. กล่าวต่ออีกว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้มีการกำชับการป้องกันปราบการค้ามนุษย์ ตามนโยบายของรัฐบาล มาโดยตลอด และให้คำมั่นในการปราบปรามการค้ามนุษย์ทุกรูปแบบ อย่างจริงจัง เพื่อเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมโลก ทั้งการป้องกันโดยการ ดำเนินการสกัดกั้น คนต่างชาติที่เข้าเมืองโดยผิดกฎหมายในพื้นที่ตลอดแนวชายแดนและอาณาเขตทางทะเล การแนะนำให้ความรู้คนต่างด้าวที่เข้าเมืองโดยถูกกฎหมายที่เป็นกลุ่มเสี่ยง เพื่อไม่ให้ตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ และ การปราบปราม โดยตรวจค้น จับกุมดำเนินคดี ผู้กระทำความผิดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด เน้นการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการที่กระทำผิดกฎหมาย พร้อมทั้งสืบสวนขยายผลการจับกุมเครือข่าย ขบวนการค้ามนุษย์ให้ครบทั้งขบวนการ ได้แก่ ผู้นำพา ผู้ค้า ผู้ให้ที่พักพิง นายจ้าง นายหน้า นายทุน ผู้ให้การสนับสนุน และผู้ที่อยู่เบื้องหลัง ประกอบการทำการตรวจสอบ เร่งรัดผลการสอบสวน และผลการพิจารณาคดีค้ามนุษย์ ทั้งในชั้นพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาลยุติธรรม เพื่อความยุติธรรม รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ชัดเจน โปร่งใส ตรวจสอบได้

ที่มา: มติชนออนไลน์, 7/1/2563 

ปคม.เตรียมเสนอรายงานแก้ปัญหาการค้ามนุษย์ต่อสหรัฐฯ

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ (ปคม.) โดยมีวาระสำคัญในการพิจารณาร่างรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ของประเทศไทยประจำปี 2562 ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบร่างรายงานทั้ง 2 ฉบับ โดยมีผลการดำเนินงาน 3 ด้านคือ ด้านดำเนินคดีและบังคับใช้กฎหมายการคุ้มครองช่วยเหลือซึ่งผู้เสียหายได้รับเงินชดเชยจากกองทุนเพื่อการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ 11.87 ล้านบาท และได้รับเงินค่าสินไหมทดแทน 3.3 ล้านบาท

นอกจากนี้ได้มีการจัดทําคิวอาร์โค้ดนำเสนอกรณีตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในการคุ้มครองการช่วยเหลือผู้เสียหายอย่างมีประสิทธิภาพไว้ในรายงานด้วย และเรื่องสุดท้ายด้านการป้องกัน ที่กำหนดให้นายจ้าง ทำสัญญาจ้าง 3 ภาษาคือภาษาแรงงานต่างด้าว ภาษาไทย และภาษาอังกฤษ ไว้ในฉบับเดียวกันเพื่อคุ้มครองแรงงานต่างด้าวให้ได้รับสิทธิประโยชน์ตามกฎหมายและเพิ่มประสิทธิภาพการตรวจ แรงงานกลุ่มเสี่ยงและดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเกี่ยวกับ การละเมิดสิทธิแรงงานอย่างเข้มงวด

โดยรายงานผลการดำเนินงานป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ประจำปี 2562 ทั้งฉบับภาษาไทยและภาษาอังกฤษ จะนำขึ้น รายงานนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 15 มกราคมนี้ หลังจากนั้นจะส่งต่อให้ประเทศสหรัฐอเมริกาภายในวันที่ 31 มกราคม เพื่อเป็นข้อมูลประกอบการจัดระดับประเทศไทยในรายงานการค้ามนุษย์ประจำปี 2563

ที่มา: สำนักข่าวไทย, 6/1/2563 

ห่วงแรงงานไทยในอิรัก-อิหร่าน สั่งเจ้าหน้าที่สร้างการรับรู้ ประสาน กต. ใกล้ชิด

6 ม.ค. 2563 ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างสหรัฐอเมริกากับอิหร่านและอิรัก กรณีการสังหาร นายพลกอซิม สุไลมานี นายพลเชื้อสายอิหร่านในอิรักว่า กระทรวงแรงงานมีความห่วงใยพี่น้องแรงงานไทยที่ทำงานอยู่ในประเทศอิรักและอิหร่าน โดยได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) สำนักงานแรงงานในประเทศซาอุดิอาระเบีย (กรุงริยาด) ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิรัก และอัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายแรงงาน) ประจำสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงอาบูดาบี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นเขตพื้นที่รับผิดชอบดูแลแรงงานไทยในประเทศอิหร่าน เฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ สร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์แจ้งข่าวสารให้แรงงานไทยทั้งสองประเทศรับทราบเป็นระยะ

ม.ร.ว.จัตุมงคล กล่าวต่อว่า กระทรวงแรงงานยังได้สั่งการให้อัครราชทูตที่ปรึกษาฝ่ายแรงงาน ทั้งสองประเทศ ประสานการดำเนินงานอย่างใกล้ชิดกับสถานกงสุล และเอกอัครราชทูตไทยประจำประเทศนั้นๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการอำนวยความสะดวกแรงงานไทยและคนไทยในการอพยพหากสถานการณ์ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น นอกจากนี้ กระทรวงแรงงาน โดยกรมการจัดหางาน ยังมีเงินกองทุนเพื่อช่วยเหลือคนหางานไปทำงานในต่างประเทศเพื่อให้การช่วยเหลือแรงงานไทยที่ได้รับความเดือดร้อนในการไปทำงานในต่างประเทศตามขั้นตอนของกฎหมายอีกด้วย

ทั้งนี้ ปัจจุบันมีแรงงานไทยที่เดินทางไปทำงานในประเทศอิหร่านจำนวน 257 คน และเดินทางไปทำงานในประเทศอิรักจำนวนประมาณ 25 คน ส่วนใหญ่ไปทำงานในตำแหน่งช่างเทคนิค กุ๊ก บริการนวด พนักงานบริการ ช่างเชื่อม งานประมง ผู้ปฏิบัติงานในโรงงาน เป็นต้น

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 6/1/2563 

จุลสารราชดำเนินสำรวจ 'โบนัส-ขึ้นเงินเดือน' คนข่าว-องค์กรสื่อ เข้าปี 2563

จุลสารราชดำเนินเปิดเผยว่าปีนี้ 2563 นักวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจหลายสำนัก ยังประเมินว่า ยังเป็นอีกปี ที่สภาพเศรษฐกิจไทยยังน่าเป็นห่วงจากสาเหตุหลายปัจจัย ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการของธุรกิจหลายแขนง

สำหรับธุรกิจสื่อมวลชนไม่ว่าจะเป็นสื่อแขนงไหน จะสื่อใหญ่-กลาง-เล็ก สื่อใหม่-สื่อเก่า ล้วนอยู่ในสภาพ”ทรง-ทรง”มานานหลายปีแล้ว บางรายไปต่อไม่ไหว ก็ต้องแก้ปัญหาของตัวเองไป เช่น ใช้มาตรการรัดเข็มขัดทุกอย่าง แต่หากไปไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องเลิกรา หรือเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินงาน

รอบปี 2562 ที่ผ่านพ้นมา ธุรกิจสื่อหลายแห่ง บางรายก็พอฟื้นตัวได้บ้าง มีรายได้เข้ามาจากปัจจัยต่างๆ เช่น การลงโฆษณาหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองต่างๆ ในช่วงการเลือกตั้ง 24 มีนาคม2562ที่ผ่านไป แต่ก็พบว่าหลายองค์กร ส่วนใหญ่แค่พอประคองให้อยู่รอด ส่วนบริษัทที่ได้กำไรในปี 2562 พบว่าหลายแห่ง รายได้-กำไรลดลง อย่างต่อเนื่อง

ทำให้ในปี 2563 ธุรกิจสื่อ-นักข่าว-กองบก.หลายสำนัก ยังคงต้องต่อสู้ ยืนหยัดทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

สำหรับปี 2562 ที่ผ่านมา องค์กรสื่อแต่ละค่าย ทั้งค่ายใหญ่ ค่ายเล็ก มีการให้โบนัสกับฝ่ายข่าว -กองบรรณาธิการข่าว -พนักงาน กันอย่างไรบ้าง “เพจจุลสารราชดำเนิน” ไปสำรวจมานำเสนอให้ทราบพอสังเขป

เริ่มที่ “สถานีโทรทัศน์ดิจิตอล” ที่ปัจจุบัน มีสถานีลดน้อยลงจากเดิม หลังมีการคืนใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อให้บริการโทรทัศน์ภาคพื้นดินในระบบดิจิตอล รวมจำนวน 7 ช่องให้กับสำนักงาน กสทช.ไปเมื่อช่วงเดือน พ.ค. 2562 ทำให้การแข่งขันเรื่องเรตติ้งและเม็ดเงินโฆษณา แม้จะไม่แข่งกันแรงเหมือนก่อนหน้านั้น แต่ด้วยภูมิทัศน์สื่อที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดจนผลกระทบทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้ เม็ดเงินโฆษณาที่จะเข้าสู่ธุรกิจทีวีดิจิตอล ก็ไม่มากเหมือนในอดีต รายได้และผลประกอบการ บางสถานี จึงยังไม่กระเตื้องมากนัก บางสถานี แม้จะไม่ขาดทุนแต่ผลประกอบการพบว่ากำไรลดลง ปัจจัยดังกล่าว จึงส่งผลต่อเรื่องสวัสดิการต่างๆ ของนักข่าว-ฝ่ายข่าว ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

อย่างที่ “สถานีวิทยุโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3”ในเครือบริษัท บริษัท บีอีซี เวิลด์ จำกัด (มหาชน) ที่หลังบริษัทในเครือคือบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย จำกัด ได้คืนใบอนุญาต ช่อง 28 หรือ ช่อง 3SD และช่อง 13 หรือ ช่อง 3 Family

ในส่วนของปี 2562 ที่ผ่านมา ข่าวว่าบริษัทไม่ได้มีการให้โบนัสกับพนักงาน-ฝ่ายข่าวช่อง 3 แต่อย่างใด อันเป็นสภาพที่เกิดขึ้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว เช่นเดียวกับการปรับขึ้นเงินเดือน ก็ยังไม่มีสัญญาณจากผู้บริหารในสถานีหรือผู้บริหารฝ่ายข่าวแต่อย่างใด

ส่วน “สถานีโทรทัศน์ช่อง 7” ของบริษัทกรุงเทพวิทยุและโทรทัศน์ ( บีบีทีวี) ข่าวบอกว่า ปีนี้มีการให้โบนัส เบื้องต้นอยู่ที่ไม่ต่ำกว่าครึ่งเดือน และมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือน

ขณะที่ “ช่อง 8” สถานีในเครือของ บริษัท อาร์เอสวิชั่น จำกัด เป็นสถานีโทรทัศน์ที่มีการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน-ฝ่ายข่าวมาสองปีติดต่อกันแล้วคือในปี 2560 จ่ายให้ 2 เดือน ส่วนปี 2561 ลดลงมาเล็กน้อยเหลือคนละ 1 เดือนครึ่ง

ส่วนในปี 2562 จะมีการให้โบนัสเท่าใด เป็นที่รู้กันในกลุ่มพนักงานว่าให้รอลุ้นกันช่วงตรุษจีน เพราะสถานีจะมีการให้โบนัสในช่วงการจ่ายเงินเดือนตอนเทศกาลตรุษจีน รวมถึงต้องคอยดูว่าจะมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนให้หรือไม่

ถัดมาที่ “ช่อง 9 MCOT HD” ในเครือของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ที่มีสื่อในเครือข่ายอย่าง สำนักข่าวไทย -สถานีวิทยุ อสมท. พบว่ารอบนี้ ยังไม่มีการจ่ายโบนัสให้กับพนักงานแต่อย่างใดอันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอสมท.ในยุคหลังๆ

ทว่าที่สวนกระแส แตกต่างจากองค์กรสื่อรายอื่นๆ ก็คือ เบื้องต้น พนักงาน -ฝ่ายข่าว ได้รับแจ้งว่าในปี 2563 จะมีการพิจารณาปรับอัตราเงินเดือนให้กับพนักงานในเครือ ซึ่งเป็นสิ่งที่องค์กรข่าวส่วนใหญ่ช่วงหลังไม่ค่อยมีใครทำ เพราะการปรับโครงสร้างเงินเดือนหรือการขึ้นเงินเดือน ก็จะส่งผลต่อเรื่องของเงินค่าล่วงเวลาและการให้โบนัสที่เพิ่มขึ้นตามมาด้วย แต่ในปีนี้ บริษัทอสมท.จะมีการปรับขึ้นเงินเดือนให้กับพนักงาน โดยจะมีการพิจารณาปรับขึ้นโดยดูจากการประเมินผลงานของพนักงาน -ฝ่ายข่าวรายบุคคล เรียกได้ว่า สวนกระแสองค์กรข่าวหลายแห่ง

ด้าน "ไทยรัฐทีวี" เป็นปีที่คนไทยรัฐทีวี ได้เฮ เพราะหลังเปิดสถานีไทยรัฐทีวี มาร่วมจะเกือบ 7 ปี ปีนี้เป็นปีแรกที่พนักงาน-ฝ่ายข่าว -กองบก.ไทยรัฐทีวี ได้รับสัญญาณแจ้งอย่างไม่เป็นทางการว่าจะมีการให้ค่าตอบแทนพิเศษหรือโบนัสกับพนักงาน-กองบก.เพราะผลการประเมิน KPI ที่ผู้บริหารค่ายไทยรัฐ วางไว้พบว่ารอบปี 2562 ที่ผ่านมา ทุกอย่างเป็นไปตามเป้าทั้งรายได้จากการโฆษณา-เรตติ้งคนดู แต่สาเหตุที่ยังไม่มีการแจ้งกับพนักงานว่าจะให้โบนัสคนละเท่าใด เพราะผู้บริหารขอรอดูสรุปผลประกอบการรายได้-รายจ่าย ผลกำไร-ขาดทุน อย่างเป็นทางการที่มีการปิดรอบบัญชี 31 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา และน่าจะประกาศได้ภายในเดือนมกราคมนี้ แต่เบื้องต้น มีข่าวว่า คนไทยรัฐทีวีรอบนี้ น่าจะได้โบนัสอย่างน้อยน่าจะอยู่ที่คนละไม่ต่ำกว่าหนึ่งเดือน แต่หากใครมีผลงานที่โดดเด่น ก็อาจจะได้มากกว่านั้น เลยเป็นข่าวดีของชาวไทยรัฐทีวีไป หลังก่อนหน้านี้ เช่น ช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมา แม้จะมีการให้เงินพิเศษกับพนักงานและฝ่ายข่าว แต่ก็เป็นการให้แบบเงินขวัญถุง เช่น บางคนได้ 8,000บาท บางคนได้ 12,000 บาท ตามเกณฑ์การประเมินผลงาน แต่ไม่ใช่เป็นโบนัส นอกจากนี้ ยังมีข่าวว่า ในปีนี้ คนไทยรัฐทีวีอาจจะได้รับการพิจารณาปรับฐานเงินเดือนพนักงานด้วยเช่นกัน แต่น่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส2 ของปีนี้

มาต่อกันที่ “สถานีข่าว TNN” ของ บริษัท ไทย นิวส์ เน็ตเวิร์ค (ทีเอ็นเอ็น) จำกัด ในเครือของ บริษัท ทรู วิชั่นส์ จำกัด ยักษ์ใหญ่ในวงการธุรกิจของประเทศไทย กับช่องข่าว TNN 16 เป็นสถานีซึ่งจะมีการให้โบนัสกับพนักงาน ฝ่ายข่าว ในช่วงเทศกาลตรุษจีน เช่น ในปีนี้ 2563 ตรุษจีนจะตรงกับวันที่ 25 มกราคม ที่ปกติ เป็นวันที่เงินเดือนพนักงานออกอยู่แล้ว ก็จะมีการให้โบนัสกับพนักงานในวันดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้น แม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ แต่กองบก.ได้รับสัญญาณมาว่า จะมีการให้โบนัสกับพนักงาน ฝ่ายข่าว แต่รูปแบบการให้น่าจะคล้ายกับปีที่ผ่านมา ที่การให้ จะเป็นการให้แบบพิจารณาจาก ผลงาน-การประเมิน ในรอบปีของพนักงานคนนั้นๆ โดยปี 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการจ่ายโบนัสของปี 2561 ก็พบว่า พนักงาน-ฝ่ายข่าว-กองบก.จะได้รับโบนัสไม่เท่ากัน บางคนผลการประเมินทำผลงานได้ดี ก็จะได้โบนัส2 เดือน บางคน ก็อาจได้ 1 เดือนครึ่ง บางคนก็ครึ่งเดือน แต่ก็มีบางคนเหมือนกันที่ผลการประเมินไม่ผ่าน ไม่ได้รับโบนัส

ขณะที่การปรับขึ้นเงินเดือน ข่าวบอกว่า ในปีนี้อาจจะมี โดยต้องรอสัญญาณ จากผู้บริหารในช่วงปลายเดือนมกราคมว่าจะมีการพิจารณาอย่างไร โดยที่ผ่านมา สถานี TNN จะมีการพิจารณาปรับขึ้นเงินเดือนตาม KPIของแต่ละคน

ส่วน "สถานี PPTV" ย่านวิภาวดีรังสิต ของบริษัท บางกอกมีเดียแอนด์บรอดคาสติง จำกัด ที่เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ถูกมองว่า สายป่านยาว -เงินทุนหนา เพราะเป็นธุรกิจสื่อในเครือของ นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ นักธุรกิจรายใหญ่และเศรษฐีหุ้นเมืองไทยอันดับต้นๆ เจ้าของกิจการสายการบิน บางกอกแอร์เวย์ และเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ เป็นต้น

ข่าวว่าเวลานี้พนักงาน-ฝ่ายข่าว กำลังรอลุ้นกันอยู่ว่าจะได้หรือไม่ได้ และจะได้อย่างไร หลังก่อนหน้านี้เมื่อปีที่แล้ว มีการให้”เงินขวัญถุง”กับพนักงาน-กองบก.แบบเหมาจ่ายคือให้คนละ 1 หมื่นบาทเท่ากันหมด โดยรอบดังกล่าวมีการให้ตั้งแต่ช่วงสิ้นปี แต่รอบของปี 2562 ยังอยู่ระหว่างการรอสัญญาณกันต่อไป

ขณะที่ สถานีโทรทัศน์ “MONO29” (โมโน 29)ของบริษัท โมโน บรอดคาซท์ จำกัด ที่มี นายพิชญ์ โพธารามิก นักธุรกิจโทรคมนาคมชื่อดัง เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ แม้จะเป็นสถานีที่มีจุดขายสำคัญคือ "หนังดี ซีรีส์ดัง"จนเป็นสถานีที่ได้รับความนิยมจากประชาชนจำนวนไม่น้อย แต่ก็เป็นอีกช่อง ที่มีรายการข่าวเช่นกัน เบื้องต้น ข่าวว่า มีการจ่ายโบนัสให้กับพนักงานและฝ่ายข่าวไปแล้วเมื่อช่วงสิ้นปีในอัตรา โบนัสขั้นต่ำ ได้คนละไม่ต่ำกว่า ครึ่งเดือน ของเงินเดือน

ถัดมาที่ "สื่อสิ่งพิมพ์" เริ่มที่หนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ค่ายวิภาวดีรังสิต “ไทยรัฐ” ตามข่าวบอกว่า จากปกติที่กองบก.ไทยรัฐ ถือเป็นหนังสือพิมพ์ที่มีการจ่ายโบนัสให้กับพนักงาน กองบก. มากที่สุดในบรรดาหนังสือพิมพ์ด้วยกันเอง เช่นหลายปีที่ผ่านมาจะจ่ายโบนัสให้พนักงานประมาณ 2-3 เดือน

อย่างไรก็ตาม สำหรับรอบปีนี้ พบว่าจนถึงต้นเดือนมกราคม พนักงานและกองบก.ในส่วนของหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ซึ่งไม่เกี่ยวกับ ไทยรัฐทีวีและไทยรัฐออนไลน์ ยังไม่ได้รับสัญญาณการให้โบนัสกับพนักงาน กองบก.แต่อย่างใด จากปกติ ที่การจ่ายเงินโบนัสพร้อมเงินเดือนรอบสุดท้ายของปี จะมีการโอนเงินเข้าบัญชีพนักงานในช่วงวันที่ 27ธันวาคม ที่คือวันเกิดของผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ กำพล วัชรพล จึงทำให้ นักข่าวไทยรัฐบางส่วนเริ่มเชื่อว่า คงไม่ได้รับรับโบนัสกันแล้วหลังผ่านช่วงต้นปีมาหลายวัน เพราะไม่มีสัญญาณใดๆ ออกมาจากผู้บริหาร

ส่วน "เดลินิวส์" พบว่ารอบปีนี้ พนักงานของหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ได้โบนัสที่ 0.75 เดือน หรือ 75 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนนั่นเอง โดยเป็นการจ่ายแบบเหมารวมให้เท่ากันหมดทุกคน ซึ่งเป็นอัตราที่ได้เท่ากับปีก่อนหน้านี้คือปี 2561 ส่วนเรื่องการปรับขึ้นเงินเดือนประจำปี ของเดลินิวส์ เป็นที่รู้กันในกองบก. ว่าจะต้องรอฟังสัญญาณหลังวันที่ 22 มีนาคม 2563 ที่เป็นวันเกิดหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ที่หลังจากนั้น ผู้บริหารของบริษัทจะพิจารณาว่าจะมีการพิจารณาให้หรือไม่ ที่ปกติก็จะมีการพิจารณากันในช่วงประมาณเดือนเมษายน โดยหากเห็นชอบให้มีการปรับขึ้นเงินเดือน กับพนักงาน-กองบก. ก็จะมีการพิจารณาเสร็จสิ้นช่วงเดือนพฤษภาคม โดยให้มีผลในช่วงกลางปี ประมาณเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม

ขณะที่ "เครือมติชน" ไม่ว่าจะเป็นมติชนรายวัน ข่าวสด ประชาชาติธุรกิจ เบื้องต้น ข่าวว่า พนักงานต่างได้รับแจ้งเป็นการภายในว่า ให้รอการประกาศผลประกอบการของบริษัทมติชนฯ หลังสิ้นสุดไตรมาสที่ 4 เมื่อเดือนธันวาคม 2562 ที่ผ่านมาก่อน โดยคาดว่า น่าจะมีการให้โบนัสกับพนักงาน-กองบก. ได้ในช่วงเดือนมีนาคม อย่างไรก็ตามรอบปี 2562 ที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้มีการปรับโครงสร้างเงินเดือน-ค่าตอบแทนให้กับพนักงานฝ่ายข่าวในเครือมติชน มาแล้วรอบหนึ่งทำให้ฝ่ายข่าวได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้น จึงทำให้มีการคาดการกันว่าในปี 2563 อาจจะยังไม่มีการปรับขึ้นเงินเดือนแต่อย่างใด

ส่วนสื่อในเครือ "Bangkok Post" เช่นหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ -เว็บไซด์โพสต์ทูเดย์ พบว่ารอบปีนี้ ไม่มีการให้โบนัสกับพนักงานแต่อย่างใด เช่นเดียวกับไม่มีสัญญาณการปรับขึ้นเงินเดือนเช่นกัน แต่เริ่มมีการผ่อนคลายมาตรการรัดเข็มขัดเช่นการเปิดรับนักข่าว-กองบก. ทั้งนักข่าวสายเศรษฐกิจและการเมืองตั้งแต่ต้นปี

ฟาก "เครือเนชั่นกรุ๊ป-ย่านบางนา" รอบปีนี้ กองบก.-ฝ่ายข่าวบางส่วนได้แฮปปี้กันพอสมควร เพราะมีการให้โบนัสที่เรียกว่า “เงินตอบแทนพิเศษและเงินขวัญถุง”แม้ในประกาศของบริษัทเรื่องการจ่ายเงินตอบแทน จะระบุตอนหนึ่งว่า ภาพรวมบริษัทยังมีผลประกอบการขาดทุน แต่ก็ส่งสัญญาณในประกาศดังกล่าวว่า การประกอบการมีแนวโน้มดีขึ้นตามลำดับ จนบางธุรกิจมีกำไรและบางธุรกิจเสมอตัว สอดรับกับที่ “ฉาย บุนนาค ประธานกรรมการบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด”เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่า ปัจจุบันหนี้ของเครือเนชั่นอยู่ที่ 200 ล้านบาท จากเดิมเมื่อสองปีที่แล้วอยู่ที่ 3,000 ล้านบาท

อย่างไรก็ตาม การจ่ายโบนัสของสื่อในเครือเนชั่นกรุ๊ป ไม่ได้ให้แบบเหมารวมแต่ให้ตามผลประกอบการของสื่อแต่ละแพลตฟอร์มในเครือ โดยหน่วยงานที่มีผลประกอบการได้กำไร อย่าง กรุงเทพธุรกิจ จะได้ค่าตอบแทนพิเศษในอัตรา 100 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน ส่วนพนักงานที่อยู่ในหน่วยงานที่ผลประกอบการยังไม่ได้กำไร เช่น คมชัดลึก จะได้คนละ 5,000 บาท แบบเหมารวม โดยการจ่ายดังกล่าวจะจ่ายพร้อมเงินเดือนในช่วงมกราคม

ถัดมาที่สื่อใน "เครือผู้จัดการ-ถนนพระอาทิตย์" พบว่ายังเป็นอีกปีที่ สื่อเครือผู้จัดการ ไม่มีการจ่ายโบนัสให้กับกองบรรณาธิการข่าว ทั้งในส่วนของสื่อสิ่งพิมพ์และกองบรรณาธิการออนไลน์ต่างๆ -ทีวีดาวเทียม รวมถึงไม่มีการสัญญาณการปรับขึ้นเงินเดือน ค่าตอบแทน ซึ่งสื่อในเครือผู้จัดการ อยู่ในสภาพเช่นนี้มาหลายปีติดต่อกันแล้ว

ขณะที่ "ไทยโพสต์" พบว่าในปีนี้ มีการให้เงินโบนัสค่าตอบแทนพิเศษ กับพนักงาน-กองบก.ทุกคน ในอัตรา 50 เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนแต่ละคน โดยให้ในอัตราดังกล่าว แบบเท่ากันหมด

ส่วน "แนวหน้า" พบว่าเป็นอีกรอบปีที่ บริษัทไม่มีการให้โบนัส กับพนักงานแต่อย่างใด รวมถึงในการตรวจสอบล่าสุดช่วงต้นปี ก็พบว่าฝ่ายข่าว กองบก. ยังไม่ได้รับสัญญาณการปรับขึ้นเงินเดือน ค่าตอบแทนในปี 2563 แต่อย่างใด แต่ก่อนหน้านี้ บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างเงินเดือน กองบรรณาธิการข่าวทั้งหมด ทำให้ฐานเงินเดือนมีการปรับขึ้นบางส่วนมาแล้ว ขณะเดียวกัน ก็ยังคงมีการรัดเข็มขัดเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายต่างๆ ในกองบรรณาธิการข่าว เช่น ตัดงบค่าอาหารที่ทำเลี้ยงให้กับกองบรรณาธิการข่าว เป็นต้น ส่วนสวัสดิการอื่นๆ ยังคงเหมือนเดิม

เช่นเดียวกับ "สยามรัฐ" ก็พบว่าเป็นอีกรอบปีที่ไม่มีการให้โบนัสกับพนักงานและฝ่ายข่าวแต่อย่างใด รวมถึงยังไม่มีสัญญาณการปรับขึ้นเงินเดือนแต่อย่างใด

เป็นความเคลื่อนไหวของสื่อแต่ละค่าย ที่บอกเล่าให้รู้กันพอสังเขป ที่ทำให้พอเห็นภาพกว้างๆได้ว่า ธุรกิจสื่อ-คนข่าว จะค่ายใหญ่ ค่ายเล็ก ต่างก็ยังคงต้องต่อสู้ ทำหน้าที่ของตัวเองต่อไป

ที่มา: จุลสารราชดำเนิน, 6/1/2563 

ผลสำรวจวันเด็ก 2563 พบ 'หมอ' อันดับ 1 อาชีพในฝัน 'ยูทูบเบอร์' อาชีพมาแรงแห่งปี

เมื่อวันที่ 6 ม.ค. 2563 กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ได้เปิดเผยผลสำรวจ 'อาชีพในฝันของเด็กไทย' ครั้งที่ 11 ปี 2563 ที่สำรวจในกลุ่มตัวอย่างเด็กไทยอายุ 7-14 ปี จำนวน 4,050 คน จากทั่วทุกภูมิภาค พบว่าอาชีพในฝันเด็กของเด็กไทยในปีนี้ 'หมอ' นำลิ่วมาอันดับหนึ่ง ด้านอันดับสองยังคงเป็นอาชีพ 'ครู' ไม่ต่างจากปีที่แล้ว นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบว่าส่วนใหญ่เด็กที่เลือกอาชีพหมอเป็นเด็กที่อยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล ขณะที่เด็กที่เลือกครูส่วนใหญ่เป็นเด็กที่อาศัยในจังหวัดอื่น ซึ่งสะท้อนถึงค่านิยมที่แตกต่างกันในแต่ละพื้นที่

ส่วนอาชีพมาแรงประจำปีนี้ ได้แก่ อาชีพ 'ยูทูบเบอร์' ที่ไต่อันดับขึ้นมาอยู่ในอันดับที่สาม แซงอาชีพ 'นักกีฬา' และ 'ทหาร' โดยเด็กไทยมองว่าอาชีพยูทูบเบอร์เป็นอาชีพที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ สบาย รายได้สูง มีอิสระ มีชื่อเสียง และคิดว่าตัวเองมีทักษะและความสามารถในการทำอาชีพนี้ได้ หลายคนได้รับแรงบันดาลใจจากยูทูบเบอร์และนักแคสเกมที่ตนชื่นชอบ

จากผลสำรวจพบว่าเด็กไทยกว่า 93% ใช้ยูทูบ นำหน้าสื่อโซเชียลมีเดียอื่นๆ ส่วนสื่อที่เด็กนิยมใช้รองลงมาคือเฟซบุ๊ก ไลน์ และติ๊กตอก โดยยูทูบเป็นสื่อที่มีอิทธิพลต่อการเลือกอาชีพในฝันและไอดอลที่ชื่นชอบ โดยกว่า 48% ของเด็กที่ตอบแบบสอบถาม เลือกยูทูบเบอร์เป็นไอดอลในดวงใจ ทำให้ปีนี้มียูทูบเบอร์เข้ามาติดโผจำนวนมาก

ในปีนี้ไอดอลที่เด็กไทยเทใจให้มากที่สุด ได้แก่ 'เก๋ไก๋สไลเดอร์' ยูทูบเบอร์สาววัย 23 ปีที่มียอดผู้ติดตามมากที่สุดในประเทศไทยกว่า 11 ล้านคน โดยเด็กๆ ให้เหตุผลว่าพี่เก๋ มีความน่ารัก สดใส ตลก พูดเพราะ ทำคลิปสนุกๆ และมีประโยชน์ ด้านอันดับ 2 ได้แก่ 'BLACKPINK' เกิร์ลกรุ๊ปเกาหลีมาแรงแห่งปี เจ้าของเพลงฮิต 'Kill This Love' โดยสมาชิกในวงที่เป็นที่ชื่นชอบของน้องๆ มากที่สุด ได้แก่ ลิซ่า-ลลิษา มโนบาล อันดับ 3 ได้แก่ แป้ง 'Zbing Z.' ยูทูบเบอร์และนักแคสเกมที่ติดโพลล์มา 3 ปีซ้อนติดต่อกัน อันดับ 4 ศิลปินเกาหลีวง 'BTS' และอันดับ 5 'CGGG' นักแคสเกม Free Fire ชื่อดัง

สำหรับอันดับช่องยูทูบที่เด็กไทยให้ความนิยมมากที่สุด ได้แก่ 'เก๋ไก๋สไลเดอร์' รองลงมาคือช่อง 'Zbing Z.' 'CGGG' และ 'UDIE' ช่องแคสเกม ที่ได้อันดับ 2 3 และ 4 ตามลำดับ ส่วนอันดับ 5 ได้แก่ 'บี้เดอะสกา'

เมื่อสอบถามถึงวิธีหาความรู้นอกห้องเรียน เด็กไทยกว่า 50% ตอบว่า 'อินเทอร์เน็ต' ไม่ว่าจะเป็นการหาความรู้ผ่านการเสิร์ชกูเกิ้ล การเข้าเว็บไซต์ต่างๆ หรือดูยูทูบ ทั้งผ่านคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน เพื่อค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม ขณะที่อีก 25% เลือกค้นคว้าผ่านการ 'อ่านหนังสือและการเข้าห้องสมุด'

สำหรับของขวัญวันเด็กที่เด็กไทยอยากได้มากที่สุดในปีนี้คือ 'สมาร์ทโฟน' โดยคิดเป็น 25% ของจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามทั้งหมด รองลงมาคือ 'คอมพิวเตอร์' 'ตุ๊กตา' 'เงิน' และ 'หนังสือ' ตามลำดับ ซึ่งของขวัญเหล่านี้ก็สอดคล้องกับงานอดิเรกที่เด็กไทยชอบทำคือ เล่นเกม เล่นอินเตอร์เน็ต เล่นกับเพื่อน อ่านหนังสือ อ่านการ์ตูน ดูภาพยนตร์ และไปเที่ยว

คุณธิดารัตน์ กาญจนวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอเด็คโก้ประเทศไทย เผยว่า “ผลสำรวจอาชีพในฝันของอเด็คโก้ที่เราทำจะสำรวจในกลุ่ม เด็กอายุ 7-14 ปี ซึ่งก็แบ่งได้เป็นสองเจนเนอเรชัน คือ GEN Z และ Gen Alpha ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตมากับเทคโนโลยี คุ้นชินกับการใช้สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต มาตั้งแต่เด็ก จึงไม่น่าแปลกใจว่าภาพรวมของคำตอบในปีนี้จะเห็นความเป็นดิจิทัลมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็น อาชีพยูทูบเบอร์ที่มาแรงขึ้นมาเป็นอันดับสามและมีแนวโน้มที่สูงขึ้นทุกปี หรือการที่เด็กเกือบครึ่งโพลล์เลือกยูทูบเบอร์เป็นไอดอลในดวงใจ รวมถึงพฤติกรรมของเด็กในยุคนี้ที่ชอบเล่นเกม สื่อสารผ่านโซเชียลมีเดีย ค้นหาความรู้ทางอินเทอร์เน็ต ล้วนสะท้อนให้เห็นถึงความเป็น Digital native ของเด็กไทยในปัจจุบัน”

“การที่พวกเขาเกิดมาพร้อมกับโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีและข้อมูลข่าวสาร Mark McCrindle นักประชากรศาสตร์และนักวิจัยทางสังคม มีการพยากรณ์ว่า Gen Alpha หรือเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 10 ปี จะเป็นเจเนอเรชันที่ได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด และเป็น Gen ที่ฉลาดที่สุด และใช้เทคโนโลยีเก่งที่สุด เมื่อเทียบกับ Gen อื่นๆ ตอนมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน ขณะที่ Gen Z หรือผู้ที่ปัจจุบันมีอายุตั้งแต่ 26 ปีลงไป งานวิจัยจากต่างประเทศรายงานว่า Gen Z ก็จะก้าวเข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญขององค์กร โดยจะมีสัดส่วนเป็นร้อยละ 27 ของแรงงานทั้งหมดภายในอีก 5 ปีข้างหน้า Gen Z มีแนวโน้มที่จะเลือกอาชีพที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนและเปลี่ยนแปลงสังคมโลก ทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีและการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ รวมถึงสนใจการเป็นผู้ประกอบการและทำอาชีพอิสระ ซึ่งเป็นมุมมองการเลือกอาชีพที่แตกต่างไปจากคนรุ่นก่อน”

“เด็กในรุ่นนี้จะโตมากับอนาคตของโลกการทำงานที่เปลี่ยนไป หลายอาชีพจะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ แต่ก็จะมีอีกหลายอาชีพเกิดขึ้นใหม่เช่นเดียวกัน มีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2025 ร้อยละ 60 ของแรงงานจะทำงานในอาชีพที่ไม่มีอยู่ในปัจจุบัน จึงเป็นหน้าที่ของผู้ใหญ่ที่จะช่วยกันพัฒนาศักยภาพเด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการใช้ชีวิตและทักษะทางสังคม ซึ่งเป็นทักษะที่หุ่นยนต์ไม่สามารถทดแทนได้ รวมทั้งปลูกฝังค่านิยมการเรียนรู้ตลอดชีวิต เพื่อให้พวกเขาสามารถที่จะเรียนรู้และต่อยอดองค์ความรู้เดิมที่มีอยู่ เพราะในอนาคตความรู้ใหม่ๆ จะมีความสำคัญมากกว่าใบปริญญา”

“การเรียนรู้ตลอดชีวิตและปรับตัวให้ทันกับความเปลี่ยนแปลง จะกลายเป็นคำขวัญสำคัญของเด็กยุคใหม่ที่จะช่วยให้พวกเขาเติบโตอย่างมั่นคงในโลกที่มีการ Disruption ตลอดเวลา”

ที่มา: กลุ่มบริษัทอเด็คโก้, 6/1/2563

ก.แรงงาน ลุยตรวจสอบต่างชาติแอบทำงานในไทยจริงจัง ปรับสูงสุด 1 แสน

หม่อมราชวงศ์จัตุมงคล โสณกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ระบุว่า ปี 2563 ลุยตรวจสอบการทำงานของคนต่างด้าวและสถานประกอบการอย่างเคร่งครัด รวมถึงคนต่างชาติที่ลักลอบทำงานในประเทศไทยโดยใช้วีซ่าท่องเที่ยว (TOURIST VISA) หรือไม่มีใบอนุญาตทำงานจากกรมการจัดหางาน โดยได้สั่งการให้กรมการจัดหางานบูรณาการร่วมกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองและกรมการปกครอง ลงพื้นที่ตรวจสอบทั่วประเทศ

ด้าน นายสุชาติ พรชัยวิเศษกุล อธิบดีกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน กล่าวเพิ่มเติมว่า คนต่างชาติที่ทำงานอยู่ในประเทศไทยหรือประสงค์จะทำงานในประเทศไทยทุกคนต้องขอใบอนุญาตทำงาน (Work Permit) จากกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน อีกทั้งต้องมีวีซ่า NON IMMIGRANT ที่ไม่ใช่ในฐานะนักท่องเที่ยว (TOURIST) หรือ ผู้เดินทางผ่าน (TRANSIT) เช่น นางแบบ นายแบบ โค้ชชาวต่างชาติหรือหรือนักฟุตบอลชาวต่างชาติที่จะมาเล่นในลีกของไทย ต้องขอใบอนุญาตทำงานในหลักเกณฑ์เดียวกันกับแรงงานข้ามชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศ

"คนต่างด้าวที่ทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน จะมีโทษปรับตั้งแต่ 5,000 50,000 บาท และถูกผลักดันส่งกลับ ส่วนนายจ้างที่จ้างคนต่างด้าวโดยไม่มีใบอนุญาตทำงาน มีโทษปรับ 10,000-100,000 บาทต่อคนต่างด้าวที่จ้างหนึ่งคน หากกระทำผิดซ้ำต้องมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 50,000 200,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และห้ามจ้างคนต่างด้าวทำงานเป็นเวลา 3 ปี" นายสุชาติ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่พบคนต่างด้าวทำงานผิดกฎหมายหรือพบการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทำงานของคนต่างด้าว สามารถแจ้งเบาะแสหรือร้องเรียนได้ที่ กองทะเบียนจัดหางานกลางและคุ้มครองคนหางาน กรมการจัดหางาน โทร. 0 2354 1729 หรือสำนักงานจัดหางานกรุงเทพมหานครพื้นที่ 1-10 หรือที่สำนักงานจัดหางานจังหวัดทุกจังหวัด หรือโทร.สายด่วนกระทรวงแรงงาน 1506 กด 2 กรมการจัดหางาน เพื่อให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบต่อไป

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ, 5/1/2563 

 

 

ร่วมบริจาคเงิน สนับสนุน ประชาไท โอนเงิน กรุงไทย 091-0-10432-8 "มูลนิธิสื่อเพื่อการศึกษาของชุมชน FCEM" หรือ โอนผ่าน PayPal / บัตรเครดิต (รายงานยอดบริจาคสนับสนุน)

ติดตามประชาไท ได้ทุกช่องทาง Facebook, X/Twitter, Instagram, YouTube, TikTok หรือสั่งซื้อสินค้าประชาไท ได้ที่ https://shop.prachataistore.net